คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย 88 ทุกคนไปจับสัตว์กันเถอะ
จินเฟยเหยาใช้ชีวิตอย่างมีระบบระเบียบ ทุกวันนอกจากฝึกบำเพ็ญ ก็ศึกษาการสร้างยันต์ ยันต์ซ่อนกายเป็นสิ่งที่สามารถใช้ได้จริง นางต้องเตรียมไว้มากหน่อย
โชคดีหลังสร้างฐานแล้วอัตราความสำเร็จในการสร้างยันต์เพิ่มมากขึ้น มียันต์ซ่อนกายห้าหกใบใกล้จะถึงสิบใบแล้ว ยันต์อื่นๆ นางก็วาดไว้ไม่น้อย
จินเฟยเหยาผู้อยู่ว่างนำบันทึกท่องเที่ยวออกมาอ่าน ดูว่าโลกอื่นๆ เป็นเช่นไร ทว่าแผนที่ในบันทึกเดินทางเล่มนั้นถูกนางฉีกออกมา ก่อนหน้านี้ที่นางบอกว่าคุ้นตา เพราะในกระเป๋าเก็บของที่ได้จากดินแดนลึกลับลั่วเซียนก็มีแผนที่ใบหนึ่ง แผนที่สองใบวาดได้คล้ายกันมาก แต่ก็มีสถานที่ที่แตกต่างกัน
จินเฟยเหยานำแผนที่สองใบมาพลิกดูไปมา คิดจะต่อเข้าด้วยกัน ทว่าก็ทำไม่ได้ สุดท้ายนางโยนแผนที่สองใบไว้ด้านข้าง พลันพบว่าดูเหมือนจะซ้อนทับกันได้พอดีโดยไม่ตั้งใจ จึงนำแผนที่กระดาษที่ฉีกออกมาจากบันทึกเดินทางแช่ในน้ำให้โปร่งใส จากนั้นวางทับบนแผนที่อีกแผ่นหนึ่ง
แผนที่สองใบทับกันสนิท สถานที่ซึ่งตั้งอยู่โดดๆ ทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน แผนที่อันครบถ้วนแผ่นใหม่ก็ปรากฏออกมา จินเฟยเหยามองดูแผนที่ใบนี้อย่างละเอียด อาศัยที่หลายปีมานี้คลุกคลีอยู่รอบเมืองลั่วเซียน ในไม่ช้าก็พบเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งทางด้านล่างขวา ข้างเมืองเล็กๆ มีรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนอันหนึ่ง นี่คือเมืองลั่วเซียนและดินแดนลึกลับลั่วเซียนมิใช่หรือ
หลังจากดูออกว่าเป็นเมืองลั่วเซียนได้ก็ขยายออกไปรอบด้าน นางจดจำสถานที่ได้ไม่น้อย ทว่าบนแผนที่กลับไม่ได้ทำสัญลักษณ์เส้นทางใดๆ ไว้ มีเพียงเส้นหนาสีดำเส้นเดียว โค้งไปมาจนถึงด้านบนของแผนที่ ด้านบนของแผนที่มีเมืองแห่งหนึ่ง ไม่ได้ติดชื่อไว้ แต่เดาว่าน่าจะเป็นเมืองผู้บำเพ็ญเซียนแห่งหนึ่ง ดูตามอัตราส่วน เส้นสีดำเส้นนั้นน่าจะนำไปสู่โลกอื่น
ทว่าเส้นสีดำเส้นนั้นอยู่ใกล้ๆ เมืองลั่วเซียน แต่กลับไม่เคยเห็นเส้นทางนี้ เรื่องที่ทำให้จินเฟยเหยาไม่เข้าใจคือ ถ้าเป็นแค่เส้นทางธรรมดา เหตุใดจึงทำสัญลักษณ์แยกออกมา
“จุดเริ่มต้นของเส้นทางสายนี้อยู่ที่ใด?” จินเฟยเหยาครุ่นคิดอย่างละเอียดเส้นสีดำเริ่มต้นที่เมืองลั่วเซียน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเส้นเล็กๆ สองเส้นข้างเส้นสีดำดูเหมือนจะเป็นแม่น้ำลั่ว
“หรือว่าเป็นแม่น้ำลั่ว เหตุใดเส้นทางนี้จึงทำสัญลักษณ์ไว้ในแม่น้ำ?” จินเฟยเหยาพลันนึกถึงถ้ำในแม่น้ำที่สูงขนาดคนสองคนขึ้นมา ตำแหน่งใกล้เคียงกับบนแผนที่ อีกทั้งเสาศิลาสองต้นตรงปากถ้ำ ตอนนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนสัญลักษณ์ชนิดหนึ่ง
“หรือว่านี่เป็นแผนที่ซึ่งนำไปสู่โบราณสถานใต้ดิน? ถ้าเป็นเรื่องจริง ข้าจะรวยแล้ว” จินเฟยเหยาตบฝ่ามือลงบนแผนที่ เป็นแผนที่ซ่อนสมบัติจริงๆ ด้วย จะต้องหาเวลาไปให้ได้สักรอบ ขอข้าคิดดูหน่อย แม่น้ำมืดมิดยาวถึงปานนั้นจะพกพาสิ่งใดไปดี ถ้าตลอดเส้นทางเป็นน้ำทั้งหมด แม้แต่พั่งจื่อก็ต้องจมน้ำตายอยู่ในนั้น
จินเฟยเหยาเริ่มเตรียมตัวอย่างตื่นเต้นยินดี ในสมองเต็มไปด้วยความสงสัยว่าสมบัติซ่อนอยู่ในเมืองใต้ดิน ไม่ได้ใคร่ครวญว่าจะพบเจออันตรายหรือไม่
ในขณะที่จินเฟยเหยากำลังนึกถึงสมบัติอย่างแสนสุข ไป๋เจี่ยนจู๋ก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือเกาะทองคำราวกับวิญญาณที่ไม่ไปผุดไปเกิด
ไป๋เจี่ยนจู๋จะปรากฏตัวขึ้นที่เกาะทองคำเป็นครั้งคราว ใช้ข้ออ้างว่ามาหาคนรู้จักแลกเปลี่ยนความรู้ในการฝึกบำเพ็ญ หรือหาสหายออกไปค้นหาสัตว์ปิศาจหรือสมบัติ มักจะมาใช้การรับรู้ขู่ขวัญจินเฟยเหยาเสมอ เขาไม่เข้าใจ ที่แท้จินเฟยเหยามีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด สามปีเต็มๆ ไม่เคยออกไปข้างนอกเลย หดหัวอยู่ในเกาะทองคำตลอดเวลา อย่างมากก็ไปซื้อยาและของใช้ในการวาดยันต์บ้างทุกครั้งที่ไปตลาดกลางคืน
เพื่อจับตาดูจินเฟยเหยา ไป๋เจี่ยนจู๋ใช้จ่ายเงินไปไม่น้อย ให้ผู้บำเพ็ญเซียนบนเกาะทองคำจับตาดูนาง แต่คิดไม่ถึงว่ายายนี่จะไม่ออกไปไหนจริงๆ แต่สิ่งที่เขามีคือเวลา ต่อให้ต้องรอจนแก่ชราก็ต้องรอจนจินเฟยเหยาออกมาให้ได้ เขาไม่เชื่อว่า จินเฟยเหยาจะมีศิลาวิญญาณให้ใช้ไม่หมดสิ้น
เปลือกนอกเขาสงบเยือกเย็น ทว่ากลับยืนอยู่บนหมื่นลูกข่างอย่างหงุดหงิดในใจ ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะไปดื่มชาที่ถ้ำเซียนของผู้ใดดีพลันได้รับยันต์ถ่ายทอดเสียงด่วนจากอาจารย์ ขณะเดียวกันก็เห็นยันต์ถ่ายทอดเสียงจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากในห้องโถงหลักของเกาะทองคำ บินไปยังแต่ละถ้ำเซียนในหลุมใหญ่
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ไป๋เจี่ยนจู๋รีบหมุนตัวรุดกลับไปสำนักชิงซวีทันที
ในเวลาเดียวกัน จินเฟยเหยาก็ได้รับยันต์ถ่ายทอดเสียงที่ห้องโถงหลักส่งมา ยันต์คำสั่งเร่งด่วนแบบนี้ส่งเสียงแสบแก้วหู ทำให้คนคิดจะไม่อ่านก็ไม่ได้
“มีเรื่องอะไร ถึงกับส่งคำสั่งด่วน หรือว่าสำนักเฉวียนเซียนพบเจอศัตรูร้ายกาจต้องสลายตัว?” จินเฟยเหยาเดินพึมพำเข้าไปฉีกยันต์ถ่ายทอดเสียง ได้ยินด้านในมีน้ำเสียงเข้มงวดดังมา “ให้ศิษย์ทั้งหมดมารวมตัวกันที่ห้องโถงหลัก”
จินเฟยเหยาลูบจมูก รู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง หลังจากนางมาถึงเกาะทองคำนอกจากวันแรกนี่เป็นครั้งที่สองที่มีคนเรียกนางไปห้องโถงหลัก หลายปีมานี้ ขนาดผู้อาวุโสของสำนักเฉวียนเซียนสักคนนางก็ไม่เคยพบ หลี่ว์เหนียงเนียงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เคยเรียกนางไปพบสักครั้ง จินเฟยเหยาคิดนิดหนึ่งก็จัดแจงเสื้อผ้าและผมเผ้า เหยียบพรมบินเหาะไปห้องโถงหลัก
ทุกคนเหมือนผึ้งแตกรัง ทั้งหมดบินออกมาจากถ้ำเซียนอันร่มเย็นเหาะไปยังห้องโถงหลัก จินเฟยเหยาเร่งรุดมาถึงห้องโถงหลัก แลเห็นคนมากมาย ก็หาที่ยืนตรงมุมแห่งหนึ่ง ในเวลาเช่นนี้ย่อมต้องยืนอยู่ด้านหลัง ผู้ใดจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ยืนอยู่ด้านหน้าถ้าถูกลากออกไปเป็นนกโผล่หัว[1]ก็ยุ่งยากแล้ว
รอครู่หนึ่ง มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานยืนอยู่เต็มห้องโถงหลักแล้ว ทุกคนต่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่รู้จักมักคุ้นก็รวมตัวกระซิบกระซาบกัน ข้างหูจินเฟยเหยาได้ยินแต่เสียงดังหึ่งๆ ทอดตามองไปกลับหาคนที่พูดไม่พบ รู้สึกเหมือนเหนือศีรษะมีผึ้งบินอยู่ฝูงหนึ่ง ไล่อย่างไรก็ไม่ไป
“เงียบ ผู้อาวุโสโม่มีเรื่องจะพูด” ทันใดนั้น ด้านหน้าห้องโถงหลักมีคนตะโกนขึ้นเสียงดัง บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่เอะอะเงียบลงทันที ทั้งหมดมองตรงไปด้านหน้าห้องโถงหลัก
จินเฟยเหยาก็ชะเง้อ มองไปด้านหน้าผ่านช่องว่างระหว่างศีรษะคน เห็นชายชราผมหงอกขาวผู้หนึ่งเดินมาข้างหน้าอย่างเกียจคร้าน
“เอ๋ นี่คือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนที่ข้าเคยพบมิใช่หรือ ที่แท้เขาแซ่โม่”
ผู้อาวุโสโม่เดินมาถึงด้านหน้าผู้บำเพ็ญเซียนทุกคน จามฮัดชิ้วหนหนึ่ง ล้วงหูพลางเอ่ยว่า “เจ้าหนูอย่างพวกเจ้าจงฟังให้ดี หาเจ้านายของสัตว์อะไรนะ อ้อ สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณพบแล้ว เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณชื่ออะไรซีๆ สักอย่างของสำนักชิงโซ่ว ตอนนี้ตำหนักลั่วเซียนกำลังตามล่าเขาอยู่ พวกเราได้รับการจัดสรรให้ไปทางทิศตะวันตก พวกเจ้าไปล้อมทางทิศตะวันตกเอาไว้ จะสังหารหรือจับเป็นก็ตามสบาย อย่างไรเสียคนที่สังหารก็ได้เงินรางวัลก้อนใหญ่ เอาละพวกเจ้าไสหัวไปได้แล้ว ข้ายังต้องกลับไปนอนอีก”
ผู้อาวุโสโม่เอ่ยตามสบายจบก็ทิ้งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานกลุ่มนี้ไว้แล้วสะบัดก้นจากไป
จากนั้นศิษย์ทำธุระขั้นสร้างฐานคนหนึ่งจึงรีบเดินมาข้างหน้า ประสานมือเอ่ยขออภัยทุกคน “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณอันตรายไม่เบา ขอให้ทุกท่านระวังตัว ขอเพียงสามารถจับเป็นหรือสังหารเจ้านายหรือสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณได้ ตำหนักลั่วเซียนจะมอบอาวุธเวทชั้นยอดหนึ่งชิ้นและตำหนักทองปราณหยางหนึ่งหลังให้เป็นถ้ำเซียนสำหรับฝึกบำเพ็ญ หวังว่าทุกท่านจะเตรียมตัวให้พร้อม สามารถออกเดินทางได้เดี๋ยวนี้เลย”
“อาวุธเวทชั้นยอดและตำหนักทองปราณหยาง?” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานในที่นั้นต่างสูดลมหายใจ อาวุธเวทชั้นยอดเป็นของล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าตำหนักทองปราณหยางเป็นสิ่งที่ล้ำค่าหายากยิ่งกว่า
จินเฟยเหยามาตำหนักทองคำหลายปีแล้ว ย่อมรู้จักตำหนักทองปราณหยาง ตอนกลางวันเกาะทองคำร้อนถึงปานนั้น เป็นเพราะเกาะลอยได้แห่งนี้สร้างปราณหยางชั้นยอดขึ้นได้เอง หากใช้ฝึกบำเพ็ญจะสามารถเพิ่มคุณภาพของห้วงการรับรู้ได้ขั้นใหญ่
ห้วงการรับรู้เป็นแหล่งกำเนิดพลังของผู้บำเพ็ญเซียน ขอเพียงห้วงการรับรู้แข็งแกร่งขึ้น พลังของผู้บำเพ็ญเซียนจึงสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ ดังนั้นปราณหยางชนิดนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ผู้คนต่างช่วงชิง เพียงแต่ไม่รู้ว่าสำนักเฉวียนเซียนใช้วิธีการอะไร จึงสร้างตำหนักทองเหล่านี้บนเกาะได้ ปราณหยางบนเกาะทองคำจึงถูกดูดซับเข้าไปในตำหนักทองจนไม่เหลือสักนิด ผู้บำเพ็ญเซียนที่อาศัยอยู่ในหลุมใหญ่จึงดูดซับปราณหยางไม่ได้เลย
ปกติมีเพียงผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมและบรรดาเจ้าสำนักที่สามารถใช้ตำหนักทองได้ และยังมีศิษย์ผู้สืบทอดบางคน หรือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่ได้รับคำสั่งมาเป็นกรณีพิเศษจึงสามารถอยู่บางมุมของตำหนักทองได้ คนอย่างจินเฟยเหยาอย่าได้คิดเพ้อฝันไป ครั้งนี้คิดไม่ถึงว่าจะนำตำหนักทองปราณหยางมาเป็นรางวัล เห็นได้ชัดว่าตำหนักลั่วเซียนให้ความสำคัญกับสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวนี้เพียงใด
ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ ไปก่อนหนึ่งก้าวจะมีโอกาสหาสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวนี้พบเพิ่มขึ้นอีกนิด ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนต่างนึกถึงจุดนี้เหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งหมดกรูกันออกไป พริบตาก็ว่างเปล่า
จินเฟยเหยาย่อมมิอาจล้าหลัง เมื่อเผชิญหน้ากับของดีเช่นนี้ ถ้ายืนนิ่งไม่ขยับจะมิทำให้คนสงสัยหรือ นางแสร้งกลับไปเตรียมตัว กลับไปยังถ้ำเซียนเหมือนกับผู้บำเพ็ญเซียนบางคนก่อน อย่างไรเสียก็ไม่มีใครสังเกตเห็นนาง นางจึงไม่ได้รีบออกไป ทว่าเดินไปมาอยู่ในถ้ำเซียนดุจมดบนกระทะ[2]
“หวาซีถูกพบตัวได้อย่างไร ข้าจะทำอย่างไรดี ถ้าเขาถูกจับ ถ้าถูกตรวจค้นในการรับรู้ ข้ามิถูกพบว่าเป็นพวกเดียวกันไปด้วยหรือ เดี๋ยวนะ ถ้าข้าพบตัวเขาก่อน จากนั้นฆ่าปิดปากเขา ข้าก็ปลอดภัยแล้ว ทั้งยังได้ของวิเศษชั้นยอดและตำหนักทองปราณหยางด้วย ตอนนี้ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานแล้ว เขายังเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลาย เรื่องนี้น่าจะไม่ยาก” จินเฟยเหยาเดินไปเดินมายังตัดสินใจไม่ได้
ในขณะนี้เอง ยันต์ถ่ายทอดเสียงใบหนึ่งก็บินเข้ามาในถ้ำเซียน ใครนะส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงมาในเวลาเช่นนี้ จินเฟยเหยาใช้มือฉีกอย่างอารมณ์ไม่ดี ด้านในมือเสียงหวาซีลอยออกมา
ฟังคำพูดของเขาจบ จินเฟยเหยาก็ตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าหวาซีจะเสี่ยงอันตรายติดต่อตนเองบอกว่าอยากพบนาง
หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียด จินเฟยเหยาก็เก็บพั่งจื่อลงในกระเป๋าสัตว์ภูติอย่างไม่ยินยอม ตบยันต์ซ่อนกายใบหนึ่งลงบนพรมบินและร่างของตนเอง แอบออกจากถ้ำเซียนเหาะไปยังสถานที่ที่หวาซีบอก
ตลอดทางนางพบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนของตำหนักลั่วเซียนจำนวนไม่น้อย คนเกือบทั้งหมดออกปฏิบัติการ จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณเป็นสิ่งของใด ครั้งที่แล้วตนเองใช้ความลับที่พั่งจื่อตัวใหญ่ขึ้นไปแลกเปลี่ยนหวาซีก็ไม่ยอมแพร่งพรายสักนิด
เห็นท่าทีของตำหนักลั่วเซียน สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณต้องเป็นสิ่งที่ฝืนลิขิตฟ้าแน่ๆ หากไม่ได้มันมาก็ต้องทำลายมันทิ้ง
นางซ่อนกายมาถึงส่วนเว้าของภูเขาลูกนี้ตามที่หวาซีบอกอย่างระมัดระวัง มองเห็นหวาซีกำลังพิงอยู่บนร่างสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณกินถั่วรอนางอย่างเบื่อหน่ายแต่ไกล
จินเฟยเหยามองหวาซีอย่างหมดวาจา ผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อยนับพันกำลังตามหาเขาอยู่ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณตัวเล็กๆ อย่างเขา กลับมายืนอยู่ที่นี่อย่างเอ้อระเหยลอยชาย ไม่ได้ออกมาท่องเที่ยวเสียหน่อย
ขณะที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าตนเองจะปรากฏกายดีหรือจะลงมือจู่โจมสังหารหวาซีภายใต้ฤทธิ์ของยันต์ซ่อนกายก่อนดี สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณพลันเงยหน้าขึ้นมองจินเฟยเหยาที่กำลังซ่อนกายอยู่ ส่วนหวาซีก็แย้มยิ้มเอ่ยว่า “สหายเซียนจิน ไม่ถูกสิ สมควรเรียกว่าผู้อาวุโสจิน เจ้ายังเจ้าเล่ห์เหมือนเดิมนะ มาถึงแล้วยังไม่ปรากฏตัว คงไม่ได้คิดจะลอบสังหารข้าหรอกนะ”
“ผู้อาวุโสอะไรกัน เจ้ายังมีอารมณ์มาพูดล้อเล่นที่นี่อีก ทั้งตำหนักลั่วเซียนกำลังตามหาเจ้าอยู่นะ” จินเฟยเหยาได้แต่ถอนฤทธิ์ยันต์ซ่อนกาย ปรากฏตัวออกมาให้เห็น
[1] นกโผล่หัว หมายถึง เป็นจุดเด่น
Comments