ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ 598 ตกเป็นที่สนใจ
ทันทีที่มู่เฉียนซีพุ่งเข้าไปในหอร้อยหลอม พลันพบกับคู่ต่อสู้ของนางนั่นก็คือมนุษย์โลหะที่เป็นเพียงหุ่นไร้ชีวิตกลุ่มใหญ่ พลังความแข็งแกร่งของมันอยู่ในขั้นราชาแห่งภูตระดับเก้าเหมือนกับนาง
นี่มัน…
ในเมื่อความแข็งแกร่งเทียบเท่ากัน และตัวของนางเองที่มีความสามารถในการต่อสู้ข้ามระดับขั้น เช่นนั้นแล้วการรับมือกับพวกมันมิใช่เรื่องยาก
— ปัง! ปัง! ปัง! —
นางโจมตีใส่พวกมันไปทีละตัวพลางกวาดตามองไปรอบด้านเพื่อคิดหาวิธีขึ้นไปชั้นต่อไป
ทว่าไม่ง่ายขนาดนั้น เจ้ามนุษย์โลหะฝ่ายตรงข้ามกระโจนเข้ามาตัวหนึ่ง จากนั้นก็เข้ามาอีกตัวเป็นสองต่อหนึ่ง สามต่อหนึ่ง…
สี่ต่อหนึ่ง…
ความสามารถของพวกมันเพียงแค่ระดับเก้าเท่านั้น เมื่อเข้ามาสิบต่อหนึ่งพร้อมกัน มู่เฉียนซีก็จัดการทีเดียวจนเรียบร้อยสิ้นไปตามเรื่อง
— ครืด! ครืด! —
โซ่เหล็กเส้นหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้า
“เอ๊ะ! โซ่ แสดงว่าไม่มีบันได ทำได้แค่ปีนโซ่เหล็กขึ้นไปเท่านั้น เจ้าหอนี่มันจริง ๆ เลย” มู่เฉียนซีพึมพําแต่ก็จำใจปีนขึ้นไป
เมื่อมาถึงชั้นสอง ก็พบกับกลุ่มมนุษย์โลหะเจ้าเก่า ที่คราวนี้วนกันเข้ามาต่อสู้รัว ๆ แทบไม่ให้นางได้มีจังหวะหายใจหายคอ อย่างไรก็ตาม นางค้นพบสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากนั่นคือความแข็งแกร่งของพวกมนุษย์โลหะเหล่านี้ยังคงเท่ากับนางอีกเช่นเคย มู่เฉียนซีคิดกับตัวเองว่า ‘คู่ต่อสู้ของหอร้อยหลอมนี้ น่าจะตั้งระดับคู่ต่อสู้ตามระดับของผู้เข้าสอบ ดังนั้นคู่ต่อสู้ที่ข้าพบจึงเป็นราชาแห่งภูตระดับเก้าทั้งหมด’
ผู้เข้าสอบที่มายังสำนักศึกษาซวนเสียกระจายอยู่ทั่วทั้งเสียโจว มีทั้งนายน้อยอัจฉริยะแห่งสำนักนิกายหนึ่งระดับและอัจฉริยะผู้มีความมุมานะจากชนชั้นชาวบ้านชาวเมืองธรรมดาทั่วไป
ในตอนที่พวกเขาเกิดมาก็ได้ถูกกำหนดแล้วว่าพวกเขาจะได้ใช้ทรัพยากรมากน้อยเพียงใด ผู้ที่ได้ใช้ทรัพยากรมากย่อมทำให้ฝึกฝนได้รวดเร็วและมีระดับขั้นสูง
ผู้ที่ได้ใช้ทรัพยากรน้อย แน่นอนว่าการฝึกฝนย่อมล่าช้าและมีระดับขั้นต่ำ
ผู้มีอายุเท่ากัน ความสูงต่ำของระดับพลังนั้นมิได้เป็นสิ่งเดียวที่เป็นเกณฑ์การตัดสิน การสอบในครั้งสุดท้ายนี้มุ่งเน้นไปที่ตัวของพวกเขาเองโดยเฉพาะด้วยการใช้คู่ต่อสู้ระดับเดียวกันที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ และสำนักศึกษาจะเลือกเอาผู้ที่มีความสามารถซ่อนเร้นไว้อย่างแท้จริง ในตอนแรก อาจารย์ใหญ่คิดว่าความคิดของเขานั้นดีเยี่ยมนัก แต่มันกลับมีข้อบกพร่องใหญ่อยู่ นั่นก็คือหากผู้ใดมีพลังความสามารถต่ำ แต่ผู้นั้นกลับเป็นผู้ที่ต่อสู้ข้ามระดับขั้นได้ เช่นนั้นก็จะอยู่ในหอร้อยหลอมนี้ได้สบาย ๆ เหมือนดั่งปลาไหลได้โคลน
ความจริงแล้วพวกเขาเคยเจอกับเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่อย่างมากก็เป็นผู้ที่สามารถต่อสู้ข้ามระดับขั้นได้อย่างมากเพียงขั้นเดียวเท่านั้น หากเป็นผู้อัจฉริยะอย่างเต็มที่ก็สามารถสู้ข้ามระดับขั้นได้เพียงสองระดับขั้นอยู่ดี
ต่อให้มีความสามารถต่อสู้ข้ามระดับขั้นได้ ก็น่าจะยังไม่สามารถไปถึงขั้นร้อยหลอมได้สำเร็จ
ทว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือท้องนภายังไงก็ย่อมมีเพชรแท้ผู้แข็งแกร่ง ณ ตอนนี้พวกเขาได้พบเข้ากับมู่เฉียนซีผู้ซึ่งถูกท่านจิ่วเยี่ยสอนวิชาวิญญาณอันแข็งแกร่งอย่างทักษะตี้ซวนเทียนซวน ดังนั้น…
…
มนุษย์โลหะตรงหน้ากรูกันเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ พลังทำลายล้างของทักษะผู้มีพลังภูตธาตุวารีไม่เพียงพอใช้จัดการกับพวกมัน มู่เฉียนซีจึงตัดสินใจหยิบไพ่ตายออกมา! “ทักษะตี้ซวน!”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
เมื่อใช้กระบวนท่านี้ พวกมนุษย์โลหะงั่ง ๆ ทั้งหมดทั้งมวลกระเด็นออกไป
ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม ชั้นที่สี่ ชั้นที่ห้า… มู่เฉียนซีฝ่าขึ้นไปเรื่อย ๆ
ข้อบกพร่องนี้ช่างอำนวยความสะดวกให้แก่นางเสียจริง ถ้าหากว่าหอร้อยหลอมแห่งนี้ยึดเอาตามความสามารถในการต่อสู้ของผู้เข้าสอบมาใช้ละก็ เกรงว่ามู่เฉียนซีจะไม่ได้สบายตัวเช่นนี้เป็นแน่
และบางที นางนั้นอาจอยู่ในตำแหน่งที่ไล่หลังผู้อื่นก็เป็นได้ แต่ในเมื่อวันนี้หอร้อยหลอมยึดเอาตามระดับของผู้เข้าสอบมาสร้างคู่ต่อสู้ เช่นนี้แล้วนางก็ผ่านฉลุย
บัดนี้ คู่ต่อสู้ล้อมมู่เฉียนซีอยู่ถึงห้าสิบตัว และพวกมันเข้ามารุมโจมตีจากรอบด้านอย่างพร้อมเพรียงกัน
แม้ว่ามู่เฉียนซีจะมีความสามารถในการต่อสู้ข้ามระดับขั้น แต่เมื่อศัตรูมีจำนวนมากมาย มันกลายเป็นอุปสรรค์ใหญ่สำหรับนาง แต่ทว่านางจะไม่ถูกสถานการณ์เช่นนี้ทำให้กลัวจนต้องล่าถอยไปแน่นอน
สู้! ลุย! ต้องสู้ให้ถึงที่สุด!
ในเมื่อข้อบกพร่องของหอร้อยหลอมมีประโยชน์ต่อนาง เช่นนั้นนางจะลองฝ่าขึ้นไปให้ถึงชั้นที่เจ็ดดู เจ้าหอนี้จะแน่สักแค่ไหนกันเชียว!
“ชั้นที่ห้า มีนักเรียนที่สามารถไปถึงชั้นที่ห้าได้โดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน นั่นเป็นมารร้ายที่โผล่ออกมาจากที่ไหนกัน ?!” เหล่าอาจารย์ที่คอยเฝ้าดูหอร้อยหลอมอยู่ล้วนแต่ตะลึงตาค้าง
น่าเสียดายที่พวกเขานั้นรับรู้ได้แค่ว่ามีนักเรียนผู้หนึ่งขึ้นไปถึงชั้นที่ห้า แต่กลับไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดว่านักเรียนผู้นั้นเป็นใคร “ข้าอยากกระโจนเข้าไปดูนักว่านักเรียนวิปริตนั่นเป็นใครกัน ?!”
“ดูเหมือนว่าสำนักศึกษาของเราในปีนี้ จะต้องรับเจ้ามารเก่งกาจนั่นเสียแล้ว”
“ชั้นที่หก นักเรียนนั่นจะต้องทะลุผ่านมันไปได้ด้วยเวลาเพียงครึ่งวันอย่างแน่นอนข้าเดาไว้เลย”
เมื่อต้องเผชิญกับการรุมโจมตีจากศัตรูจำนวนมากมาย ในตอนนี้มู่เฉียนซีจำต้องเริ่มใช้ทักษะเทียนซวนเพื่อเล่นงานพวกมัน
ใช่ว่านางจะไม่มีอุปสรรค พลังวิญญาณนางไม่เพียงพอ เปลือกนอกของพวกมันก็แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด ทักษะเทียนซวนนั้นไม่สามารถระเบิดให้พวกมันกลายเป็นฝุ่นผงได้ หากทำได้ ก็เพียงแต่ทำให้พวกมันกระเด็นลอยออกไปเท่านั้น ไม่ง่ายเลยที่จะสู้จนเอาชนะมนุษย์โลหะทั้งห้าสิบตัวได้ พวกมันฉลาดไม่ปวกเปียก ซ้ำร้ายยังเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกันอีกห้าสิบเอ็ดตัว และทุกครั้งที่พวกมันโผล่อออกมา จำนวนของพวกมันก็เพิ่มมากขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หวังให้ผู้เข้าสอบหมดเรี่ยวแรง
มู่เฉียนซีแค่นเสียงหงุดหงิด “เหอะ! ข้าไม่ได้ฝึกทักษะเทียนซวนให้ดีมานานแล้ว พวกเจ้าเป็นคู่ฝึกซ้อมที่ดียิ่งนัก วันนี้ข้าจะเอาพวกเจ้ามาเป็นเป้าฝึกให้หมด”
“ทักษะเทียนซวน!”
— ครืน! —
การสิ้นเปลืองของพลังเทียนซวนนั้นมากล้นเกินจินตนาการ เมื่อใช้อย่างไม่หยุดหย่อนอาจทำให้พลังวิญญาณของนางหมดลงได้ แต่โชคดีที่นางมีพลังวิญญาณสำรองมากเพียงพอ
หากคิดจะเอาชนะทั้งหมดร้อยหลอมให้สำเร็จ นอกจากพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งและเจตจํานงแห่งการต่อสู้ หากว่าไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะฟื้นฟูพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่องก็คงทะลุผ่านไปได้ยาก
แม้มีข้อบกพร่องแต่นางมียาเม็ดเพียงพอ มู่เฉียนซีจึงมีความมั่นใจต่อตนเอง
“ทักษะเทียนซวน!” นางตะโกนขณะที่พวกมนุษย์โลหะงั่ง ๆ ทั้งหลายยังคงทยอยดาหน้ากันเข้ามา
ห้าสิบห้า… ห้าสิบหก….
หกสิบ…
หลังจากเอาชนะมนุษย์โลหะไปได้หกสิบตัว มู่เฉียนซีนึกว่าตนสามารถขึ้นไปชั้นที่ห้าได้แล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่ายังมีนุษย์โลหะอีกหกสิบเอ็ดตัวโผล่ออกมา
“โอ๊ย! ยังจะต้องสู้อีกเรอะ ?” เหนื่อยก็เหนื่อยแล้วยังจะต้องสู้อีก นางนั้นแสนขุ่นเคืองใจ ทว่าก็ได้แต่จำยอม
“สู้ก็สู้ ข้าไม่กลัวพวกเจ้าหรอก!”
…
“หกสิบหลอมแล้ว เจ้านักเรียนมารนั่นสำเร็จหกสิบหลอมที่ชั้นห้าแล้ว”
“นักเรียนผู้นั้นจะไม่พักผ่อนเลยหรือยังไง ? พลังวิญญาณยังไม่ถูกใช้ไปจนหมดอีก นักเรียนนั่นยังใช่คนอยู่หรือเปล่า ?!”
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ พวกเขาล้วนแต่รู้สึกว่ามันช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก มันเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงเลยแม้สักนิด
พวกเขาคาดคะเนการสิ้นเปลืองพลังงานเอาไว้อย่างดี ถึงต่อให้เป็นนายน้อยทรงอำนาจมีฐานะยิ่งใหญ่ร่ำรวยเงินทอง อย่างมากคงพกยาฟื้นฟูพลังวิญญาณไปด้วยเพียงสิบถึงยี่สิบกว่าขวดเท่านั้น และตอนนี้ก็คงใกล้ที่จะรับมือไม่ไหวแล้วกระมัง!”
นักเรียนนั่นควรไปพักผ่อนได้แล้ว ไม่ใช่ยังสู้ต่อได้เช่นนี้!
ที่หอร้อยหลอม เมื่อสำเร็จการหลอมหนึ่งขั้นจะสามารถไปที่ห้องพักผ่อนได้เพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ
อย่างไรเสียนักเรียนเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์ ย่อมไม่เหมือนมนุษย์โลหะพวกนั้นที่ไม่มีชีวิต ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ
ทว่าที่มู่เฉียนซีที่ตะลุยฝ่ามาตลอดทาง นางกลับไม่พักผ่อนเลย
“สรุปแล้วเจ้านักเรียนผู้เก่งกาจนี่นำยาเม็ดมาด้วยเท่าไรกันแน่ ? ก่อนหน้าที่จะมาสำนักศึกษาคงมิได้ไปปล้นชิงยาจากปรมาจารย์นักปรุงยามากระมัง” ต่อให้เป็นนายน้อยแห่งสำนักนิกายระดับหนึ่งก็ไม่น่าแบกรับการสิ้นเปลืองพลังวิญญาณเช่นนั้นได้ไหว
หกสิบเอ็ด… หกสิบสอง…
หกสิบเก้า… เจ็ดสิบ!
เมื่อสำเร็จไปเจ็ดสิบหลอม ในที่สุดมู่เฉียนซีเองก็ไม่สามารถทนได้ ด้วยเพราะมีเวลาให้เพียงแค่หนึ่งวัน และเมื่อตอนเริ่มต้นนั้น นางบุกฝ่าขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง มาตอนนี้ร่างกายถูกใช้งานจนถึงขีดสุดแล้วจึงจำเป็นต้องพัก
มู่เฉียนซีขออนุญาตเข้าไปในห้องพักผ่อน นางได้เห็นว่าคนที่อยู่ในห้องพัก ณ ตอนนี้มีจำนวนไม่น้อยเลย เดิมทีไม่ว่าผู้เข้าร่วมการสอบจะอยู่ชั้นใดก็ตาม แต่ห้องที่เอาไว้พักกลับมีเพียงห้องเดียว
“เจ็ดสิบหลอม นักเรียนมากความสามารถนั่นสำเร็จไปเจ็ดสิบหลอมแล้ว” อาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างทึ่ง ๆ
“ฮู่วววว! ในที่สุดนักเรียนผู้นั้นก็ไปที่ห้องพักผ่อนจนได้ ข้านึกว่านางไม่มีความรู้สึกยิ่งกว่ามนุษย์โลหะเสียอีก ที่สามารถต่อสู้ไปได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งสำเร็จร้อยหลอม”
“เนื้อหนังและเลือดต้องสังเวยไปกับพลัง หากทำเช่นนั้นจริงคงจะพิการแน่”
…
ในห้องพักผ่อน
“ข้ามาถึงชั้นที่สี่แล้ว ฮ่า ๆ ร้ายกาจไหมล่ะ ?!” นายน้อยหวังจงใจกล่าวออกมาเสียงดังเพื่อให้ทุกคนในนี้ได้ยิน
“นายน้อยหวังเก่งกาจนัก ตอนนี้ข้ายังดิ้นรนอยู่ชั้นที่สามอยู่เลย! นายน้อยช่างเก่งกาจจริงเชียว”
ภายในห้องพักผ่อนนั้น การโอ้อวดย่อมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
— ปัง! —
เงาร่างเงาหนึ่งล้มลงบนพื้นกลางห้องพัก เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเหนื่อยมากเสียจนสลบไป
นายน้อยหวังเห็นสภาพของคนผู้นั้นก็กล่าวขึ้นทันที “เหอะ! เจ้านั่นเหนื่อยจนสภาพเป็นเช่นนี้ เจ้าคนยากจนไม่มียาเม็ดอย่างที่คิดจริงเสียด้วย เดิมทีข้ามียาเม็ดอยู่มากมาย ถึงต่อให้ไปถึงชั้นที่สี่แล้ว ข้าก็จะยังยืนตระหง่านอยู่อย่างนี้ได้”
Comments