หมอผีแม่ลูกติด 141 ผู้คนนั้นไม่สามารถตัดสินได้จากรูปลักษณ์ภายนอก

Now you are reading หมอผีแม่ลูกติด Chapter 141 ผู้คนนั้นไม่สามารถตัดสินได้จากรูปลักษณ์ภายนอก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 141

ผู้คนนั้นไม่สามารถตัดสินได้จากรูปลักษณ์ภายนอก

ซึ่งเรื่องนี้สามารถยืนยันประโยคที่ว่า “ไม่ควรตัดสินหนังสือจากปก” จริงๆ

“ยังไม่พบข่าวอะไรเพิ่มเติมเลย แต่ไม่ต้องกังวลไปนะลูกพี่ ข้าได้ส่งคนออกไปค้นหารอบๆแล้ว คงจะพบในอีกไม่เร็วก็ช้าแน่” มีเสียงคนที่รายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมดังขึ้นมา

แล้วพอทั้งสองคนลงข้างล่างไป หลินซีเหยียนก็มองดูรูปลักษณ์ของพวกเขา ซึ่งคนแรกนั้นแต่งตัวด้วยชุดสีม่วงผิวขาวและมีใบหน้าที่อบอุ่น เขามองดูแล้วเหมือนกับคุณชายที่หล่อเหลาและออกเดินทางไปทั่วแผ่นดินมาแล้ว

ส่วนคนที่ตามหลังเขาไปนั้นแต่งตัวด้วยชุดสีดำ และใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาก็ถูกซ่อนเอาไว้ด้วยผมสีดำ ดวงตาที่ตี่และยาวของเขานั้นได้เผยแววตาที่ดุดันออกมา เพียงแค่จ้องไปมองก็รู้สึกได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่มิตรที่ดีแน่ๆ

“คืนนี้แจ้งไปยังทั่วอำเภอให้ระวังตัวกันเอาไว้ และห้ามไม่ให้ใครเข้ามาหรือออกไปทั้งนั้น” เสียงที่อบอุ่นราวกับเสียงน้ำที่สดชื่นนั้น แต่กลับเต็มไปด้วยการสั่งการที่แสนจะเย็นยะเยือกที่ออกมาจากใจและปอดของเขา

หรือว่าเขาจะรู้แล้วว่ามีใครเล็ดลอดเข้ามาข้างใน?

หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาของนางลง และพยายามหายใจด้วยเสียงที่เบาและช้าลง จากนั้นนางก็ละทิ้งความคิดเมื่อสักครู่ไป นางกับจี๋เฟิงนั้นระมัดระวังตัวกันอย่างมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ดังนั้นต้องมีคนอื่นที่เขากำลังระแวดระวังเป็นแน่

ชายชุดดำก็ได้ก้มหัวแล้วกำหมัดแน่น แล้วจากนั้นก็เดินจากไปเหลือเพียงชายคนนั้นอยู่ในห้องเพียงลำพัง

มองดูชายคนนั้นมีใบหน้าเหมือนกับคนที่ไม่กล้าทำร้ายมนุษย์และสัตว์แล้ว หลินซีเหยียนก็หมดความอดทนและคิดที่จะลงมือทำอะไรบางอย่าง

ในขณะที่นางก้าวเท้าออกไปแค่เพียงหนึ่งก้าว ก็ได้มีเสียงที่อบอุ่นนั้นดังเข้าหูของนาง ซึ่งเสียงนี้ต่างจากเมื่อก่อนหน้ามากนัก ในเวลานี้เสียงนั้นเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน

“นั่นใคร? ออกมาเดี๋ยวนี้!”

หลินซีเหยียนก็ได้ดุด่าตัวเองที่ทำพลาดในใจ อย่างไรเสียถ้าใครสักคนที่ขึ้นมาในระดับหัวหน้าได้ย่อมมีความสามารถซ่อนอยู่ ต่อให้เขามีใบหน้าเหมือนคนที่บีบไก่ยังไม่ตายก็เถอะ

แต่ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวนี้ทำเอานางเกลียดชังไปตลอดชีวิต

“รีบออกมาเร็วเข้า จะหาว่าอู๋คนนี้ไม่สุภาพไม่ได้นะ!”

ไม่ได้ยินเสียงเท้าของชายคนนั้นที่เดินมาหาชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว หัวใจของหลินซีเหยียนก็เต้นเร็วมากขึ้นเรื่อยๆอยู่ภายในอกข้างซ้ายของนางเช่นกัน นางนั้นรู้ดีว่านางนั้นไม่มีทางอื่นให้หนีแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้หลินซีเหยียนก็ได้ลุกขึ้นยืนและออกมาอย่างว่าง่าย ทันทีที่นางพบชายคนนั้นนางก็ได้ยิ้มและกล่าว “คารวะ ลูกพี่ใหญ่”

เมื่อชายคนนั้นเห็นหลินซีเหยียนที่สวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับพวกเขาแล้ว เขาก็ได้คิ้วขมวดและถามกลับไป “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยนั้นเมามาก และเดินจนมาถึงบ้านไผ่แห่งนี้ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังจริงๆนะขอรับ” หลินซีเหยียนได้พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะทำเป็นเชื่อฟังอย่างมาก แต่หารู้ไม่ว่าดวงตาที่หยาดเยิ้มของนางนั้นทำให้ดูน่ารักอย่างมาก

อู๋จื้อเฟิงก็ได้ส่ายหัวของเขาแล้วขจัดความคิดที่เบี่ยงเบนนั้นทิ้งไป ทำไมเขาถึงได้ไปสนใจผู้ชายได้ ดูน่าขยะแขยงพิลึก

แล้วเขาก็ได้หรี่สายตาลง แล้วสายตาที่แหลมคมของเขาก็ได้สาดส่องมองหลินซีเหยียนให้ทั่ว “เจ้าอย่ามาหลอกข้าให้ยาก”

“ลูกพี่ใหญ่พูดอะไรน่ะขอรับ? ข้าน้อยนั้นชื่นชมลูกพี่ดั่งน้ำในแม่น้ำฮวงโหที่ไหลขึ้นไปบนสวรรค์ไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้ข้าน้อยนั้นมีความกล้าเป็นพันเท่า ข้าก็ไม่กล้าหลอกท่านแม้แต่น้อยหรอก” หลินซีเหยียนก็ได้ก้มหัวปรกๆและแกล้งทำเป็นเสียใจมาก ท่าทีที่แสดงออกของนางเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกขยะแขยงตัวเองขึ้นมานิดหน่อย ซึ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ตรงหน้านางเลย

อย่างที่คาดเอาไว้ แล้วชายคนนั้นก็ได้โบกมือให้เขาหุบปาก

หลินซีเหยียนก็ได้หุบปาก แล้วดวงตาที่สงสัยเล็กๆของนางก็ได้จ้องไปที่เขาอย่างต่อเนื่อง

อู๋จื้อเฟิงก็ได้กระแอมสองหน ด้วยดวงตาที่ใสดุจน้ำของเขานั้น คนอย่างเขานั้นไม่ใช่คนที่จะทำเป็นปล่อยผ่านไปง่ายๆด้วยลูกไม้ตื้นๆเช่นนี้แน่ กับคนอย่างเขาแล้วคงจะต้องทำเป็นปล่อยข้อมูลหลุดออกไปเสียหน่อย

“ลูกพี่ใหญ่ ลูกพี่กำลังตามหาพวกคนที่ใส่ชุดเกราะดำอยู่ใช่ไหมขอรับ?” หลินซีเหยียนก็ได้กะพริบตาและถามอย่างลองเชิง

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของอู๋จื้อเฟิงก็ได้เย็นยะเยือกขึ้นมา “เจ้าเห็นพวกมันงั้นเหรอ?”

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแล้วชี้อย่างให้ความร่วมมือเต็มที่ “ข้าบังเอิญเมากลิ้งอยู่กับพื้นแถวนั้นพอดี แล้วจากนั้นข้าก็มองเห็นกลุ่มคนชุดดำรางๆไปยังทางนั้น”

ดูจากท่าทีของชายคนนั้นแล้ว หลินซีเหยียนก็รู้ได้ทันทีว่ากองทัพเกราะดำนั้นสำคัญกับเขามากเพียงใด แต่นางก็ได้ทำเป็นชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า

อู๋จื้อเฟิงก็ได้จ้องไปยังชายตัวเล็กที่อยู่ข้างหน้าเขาและยังไม่ได้ออกไปทันที กลับกันเขาก็ได้ยิ้มแล้วตบไหล่ของ หลินซีเหยียน “ถ้ามันจริงอย่างที่เจ้าพูดล่ะก็ ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงามแน่”

หลินซีเหยียนก็ได้แกล้งทำเป็นดีใจขึ้นมา แล้วมองไปที่ชายคนนั้นอย่างยินดีแล้วเร่งเร้าเขา “ลูกพี่ใหญ่จะต้องรีบจับคนพวกนั้นให้ได้ แล้วถ้าเกิดพวกนั้นไหวตัวทันหนีไปก่อนล่ะ?”

“ก็ต้องพยายามจับพวกมันให้ได้สิ แต่เจ้าก็ต้องไปกับข้าด้วย”

เสียงที่อบอุ่นนั้นได้พูดคำที่ชวนไม่พึงประสงค์ออกมา ในเวลานี้หลินซีเหยียนนั้นอยากที่จะร้องไห้โดยไร้น้ำตามาก ทำไมเขาถึงไม่ปล่อยนาง?

“ข้าน้อยเป็นเพียงลูกน้องธรรมดา ไม่มีทั้งวรยุทธ์และปัญญา ท่านเอาข้าน้อยไปก็เป็นแค่ตัวถ่วงเปล่าๆนะ?”

“ไม่ต้องกลัว ลูกพี่ใหญ่คนนี้จะปกป้องเจ้าเอง” อู๋จื้อเฟิงก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ห้ามขัดขืน จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้ออกเดินทางไปพร้อมกับเขาเพื่อตามหากองทัพเกราะดำที่ไม่มีอยู่จริง

ระหว่างทางหลินซีเหยียนก็ได้ตัวสั่นอยู่ข้างหลังลูกพี่ใหญ่แล้วลองถามเขาดู “ลูกพี่ใหญ่ ถ้าเกิดว่าข้าเมาแล้วตาฝาดล่ะ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อู๋จื้อเฟิงก็ได้หันหลังกลับมาแล้วมีรอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของเขาที่ทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยน ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกพอจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางนั้นไม่ใช่คนที่กระหายเลือดและปรารถนาการฆ่าฟัน แต่ใช่ชั่ววินาทีต่อมานางก็รู้ว่านางนั้นคิดผิด

แล้วชายคนนั้นก็ได้เปิดริมฝีปากบางๆของเขาแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “ถ้าไม่เจอล่ะก็ ลูกพี่ใหญ่คนนี้จะหั่นเจ้าออกเป็นพันส่วนเอง”

“ลูกพี่ใหญ่คงจะล้อเล่นสินะขอรับ? คนตัวเล็กๆอย่างข้าคงจะใช้มีดหั่นออกเป็นพันส่วนไม่ได้หรอกขอรับ?” หลินซีเหยียนก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วพูดออกมาอย่างล้อเล่น

แต่ชายคนที่อยู่ตรงหน้านางนั้นก็ได้จ้องมองด้วยสีหน้าที่จริงจังมากแล้วกล่าว “ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกพี่ของเจ้านั้นแม้จะทำอะไรไม่ค่อยเก่ง แต่เรื่องการใช้มีดดาบเนี่ยสุดยอดมากเลยล่ะ”

ในเวลานี้หลินซีเหยียนนั้นแทบไม่อยากที่จะพูดอะไรต่ออีก นางนั้นคิดว่าหากนางยอมรับออกไปว่านางนั้นแอบฟังจริงๆ นางก็คงจะถูกจับไปสอบปากคำเท่านั้น! ซึ่งในกรณีนี้บางทีอาจจะดีกว่าถูกหั่นออกเป็นพันส่วนก็ได้

ในเวลานี้หลินซีเหยียนนั้นไม่อยากที่จะเดินแล้ว เพราะยิ่งนางเดินไปมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งทำให้นางเข้าใกล้พันส่วนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

แล้วเมื่อนางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ชายคนนั้นก็ได้สั่งการให้ชายชุดดำนั้นส่งคนออกไปสำรวจรอบๆ ส่วนหลินซีเหยียนก็ทำได้แค่เฝ้ารอประกาศโทษประหารของนาง

ไม่นานนักนางก็เห็นชายชุดดำกลับมา หลินซีเหยียนก็ได้ใช้มือของนางล้วงเข้าไปในกระเป๋าใบเล็กของนาง แล้วคำนวณว่าเมื่อใดที่นางควรจะโปรยยาใส่ลูกพี่ใหญ่เพื่อดูว่าวิชาดาบของเขานั้นจะสู้กับยาจีนได้หรือไม่

ในขณะที่นางกำลังคิดเช่นนั้นอยู่ชายชุดดำก็ได้เข้ามาหา “เรียนลูกพี่ใหญ่ ข้าพบร่องรอยของการก่อแคมป์ไฟ แต่คนที่นั่นได้พากันหนีไปหมดแล้ว”

เมื่อหลินซีเหยียนได้ยินที่พูดดวงตาของนางก็ได้เบิกกว้างด้วยความตกใจ อย่างที่คิดสวรรค์นั้นยังไม่ได้ทอดทิ้งนางไป ไม่เสียแรงที่นางได้คุกเข่าคำนับเมื่อสมัยก่อน

เมื่อได้ยินเช่นนี้อู๋จื้อเฟิงก็ได้จ้องไปยังชายตัวเล็กด้วยความประหลาดใจ เขานั้นได้ตั้งมั่นอย่างชัดเจนแล้วว่าชายคนนี้จะต้องเป็นสายลับ แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าคำพูดของชายหนุ่มคนนั้นเหมือนจะเป็นความจริงเข้าเสียแล้ว

เดิมทีหลินซีเหยียนนั้นคิดว่านางน่าจะรอดจากเรื่องนี้แล้ว แต่แล้วนางก็คิดผิด นางกลับถูกแต่งตั้งโดยชายคนนั้นแล้วได้กลายมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเขา

หลายๆคนก็ได้จ้องมองมาที่นางด้วยความอิจฉา แต่ หลินซีเหยียนนั้นกำลังไม่รู้สึกดีใจในใจของนางเลยแม้แต่น้อย นางนั้นรู้ดีว่าชายคนนั้นน่าจะยังไม่หายเคลือบแคลงสงสัยในตัวของนาง เขาจึงได้เอานางมาไว้ที่ใต้จมูกของเขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด