ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 285 เนื่อเรื่องของภารกิจประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 285 เนื่อเรื่องของภารกิจประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 285 เนื่อเรื่องของภารกิจประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด

ที่จริงแล้ว วิธีการทำร้ายคนแบบเนียนๆ ของโคมเขียวไฟปีศาจถือว่าเล่นได้งดงามงามมาก

ไม่เพียงแค่วางอุบายทำร้ายคนอย่างไร้ร่องรอย ถึงขั้นไม่กลัวคนอื่นปฏิเสธซึ่งๆ หน้าหรือออกจากกลุ่มกลางคัน

เนื่องจากเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ การตั้งกลุ่มฆ่าศัตรูด้วยกันจะต้องมีประสิทธิภาพมากกว่าแน่นอน

ต่อให้เป็นเยี่ยเว่ยหมิงก็ตาม ถ้าเขาหาผู้เล่นอีกสองคนที่ฝีมือพอๆ กับเขามาตั้งทีมได้ คะแนนสะสมก็จะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าตอนที่เขาสู้เองคนเดียวแน่นอน เร็วกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไร

ยกตัวอย่างง่ายๆ

ผู้เล่นฆ่ามอนสเตอร์ลำพัง ฆ่าลูกสมุนกระจอกได้คนหนึ่งก็จะได้คะแนนสะสมเจ็ดแต้ม แต่ถ้าตั้งทีมกันสามคน ทุกครั้งที่ฆ่ามอนสเตอร์เล็กๆ คนหนึ่งได้ ทุกคนในทีมก็จะได้คะแนนสะสมคนละห้าแต้ม

ถ้าดูจากจำนวนมอนสเตอร์ที่ฆ่าได้จากการสู้คนเดียว ก็เหมือนจะได้น้อยลงแล้ว

แต่ถ้าเป็นผู้เล่นสามคนที่ฝีมือพอๆ กัน กลับฆ่ามอนสเตอร์ป่าได้สามคน หรืออาจจะมากกว่านั้น!

ระหว่างที่มีผู้เล่นเข้าออก คะแนนสะสมก็จะมีความแตกต่างกันมากกว่าหนึ่งเท่า!

ดังนั้นไม่ว่าจะปฏิเสธหรือตั้งทีมกับเขา หรือมีผู้เล่นออกจากทีมกลางคัน หากตั้งทีมที่สมาชิกมีความสามารถใกล้เคียงกันไม่ได้ แม้แต่ความเร็วในการเพิ่มคะแนนสะสมที่มีมาแต่เดิมก็รักษาไว้ไม่ได้อยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแข่งความก้าวหน้ากับเขาซึ่งเดิมทีก็ได้เปรียบเรื่องคะแนนสะสมอยู่แล้ว

และเมื่อดูจากสีหน้าของคนอื่นๆ ในทีม ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รู้สึกแย่ใดๆ กับหัวหน้าทีม

สาเหตุที่ทำให้เกิดสถานการณ์สองแบบนี้มีสองสาเหตุ สาเหตุแรกก็คือพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้เลย ส่วนความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือ พวกเขาตระหนักได้แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ต้องการเป็นที่หนึ่งขนาดนั้น หรือไม่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเอาชนะโคมเขียวไฟปีศาจไม่ได้ จึงเลิกช่วงชิงอันดับหนึ่งกับเขาเสียเลย ไม่สู้ปะปนอยู่ในทีมเดียวกับเขา พยายามฆ่ามอนสเตอร์เพื่อรับคะแนนสะสมให้มากๆ แล้วไปแลกรางวัลดีกว่า

อย่างไรเสีย ตอนแรกหันเสี่ยวอิ๋งก็สัญญาไว้แล้วว่าถ้าได้ตำแหน่งชนะเลิศ ก็จะเพิ่มเลเวล ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ให้ผู้เล่นหนึ่งเลเวล

ในฐานะที่เป็นวิทยายุทธ์ไม่เข้าขั้นจากหมู่บ้านมือใหม่ การให้รางวัลเป็นการเพิ่มเลเวลหนึ่งเลเวล ถือว่าไม่น่าดึงดูดใจมากนักสำหรับผู้เล่นส่วนใหญ่

ยกตัวอย่างเช่นหลวงจีนวัดเส้าหลินกับผู้เล่นสำนักถังเหมินคนนั้น สำหรับพวกเขา รางวัลนี้มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีทางกลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้พวกเขาพยายามเต็มที่ได้

เดิมทีเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ โคมเขียวไฟปีศาจคิดว่าตัวเองต้องได้ชัยชนะแน่นอนอยู่แล้ว

แต่การปรากฏตัวกะทันหันของเยี่ยเว่ยหมิง รวมทั้งความเร็วในการสะสมคะแนน การโจมตีที่ทรงพลังของเขา ล้วนทำให้โคมเขียวไฟปีศาจรู้สึกถึงภัยคุกคามที่ใหญ่หลวง

ดังนั้น เขาจึงเตรียมจะทำตามสูตรสำเร็จรูป ฉวยโอกาสตอนที่คะแนนสะสมของเยี่ยเว่ยหมิงยังห่างกับเขาอยู่ช่วงหนึ่งเป็นฝ่ายเชิญเข้ากลุ่มเสียเลย เขาย่อมหวังที่จะกำจัดภัยคุกคามนี้เสียตั้งแต่เนิ่นๆ อยู่แล้ว

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เป้าหมายของเยี่ยเว่ยหมิงก็คือตำแหน่งชนะเลิศเช่นเดียวกัน

ดังนั้นแผนการของเขาจึงไม่สำเร็จ

หลังจากออกจากหอประชุมรวมคุณธรรมแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ล่อและฆ่ามอนสเตอร์ต่ออย่างไม่รีบร้อน พร้อมทั้งสังเกตสภาพแวดล้อมในค่ายภูเขาด้วย เนื่องจากค่ายภูเขาถูกระบบขยายให้ใหญ่ขึ้นสิบเท่า ย่อมกินพื้นที่กว้างมากเช่นกัน เยี่ยเว่ยหมิงเดินไปพลางฆ่าไปพลาง ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงได้เดินวนค่ายภูเขาครบหนึ่งรอบ

คิดว่าขนาดของ ‘เขาเหลียงซาน’ ที่อยู่ในตำนานโจรภูเขาก็คงจะใหญ่ขนาดประมาณนี้ละมั้ง

แต่เมื่อเดินวนรอบหนึ่ง ก็นับว่าได้เก็บเกี่ยวอะไรบ้างนิดหน่อยเช่นกัน

ตอนที่มาถึงด้านหลังของหอประชุมรวมคุณธรรม เยี่ยเว่ยหมิงก็พบห้องเดี่ยวห้องหนึ่งที่ชื่อว่าห้องงู

หลังจากผลักประตูเข้าไป เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีกลิ่นเหม็นสาบโชยเข้าจมูก แทบจะถูกรมควันพิษคาที่

แต่แค่เกือบถูกพิษเท่านั้น ที่จริงแล้วไม่ได้ถูกพิษ

ใครใช้ให้เขาต้านพิษได้สูงมากล่ะ

เยี่ยเว่ยหมิงลองปรับลมหายใจนิดหน่อย แล้วเริ่มสังเกตรอบๆ

เขาพบว่าทั้งห้องงูเต็มไปด้วยขวดและไหทั้งใบเล็กใบใหญ่มากมาย ทั้งยังมีกรงเหล็กที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกไม่น้อย ข้างในใส่งูเป็นๆ สีสันสวยงามเอาไว้ มีหลายสีและหลายลายแตกต่างกันไป สิ่งเดียวที่มีเหมือนกันก็คือหัวของงูพวกนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นรูปสามเหลี่ยม เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดมีพิษร้าย

เพียงแต่งูพิษที่ดุร้ายพวกนี้ หลังจากเห็นเยี่ยเว่ยหมิงแล้วก็ไม่ได้อ้าปากขู่แสดงฤทธิ์เดช แต่ละตัวกลับหดหัวอยู่ในกรงเหมือนเต่า ดูว่านอนสอนง่ายมาก

นี่คือหนึ่งในข้อดีของหมวกขนนกอสูรโลหิตอย่างนั้นหรือ

ตอนที่ในใจกำลังคาดเดา เยี่ยเว่ยหมิงก็ย้ายหินที่อยู่บนไหตรงมุมกำแพงออก จากนั้นเปิดฝา พบว่าในนั้นมีงูไดโนดอนสายแดงอยู่ตัวหนึ่ง เพียงแต่ตอนที่งูตัวนี้เผชิญหน้ากับเยี่ยเว่ยหมิง มันก็ไม่กล้าทำตัวกบฏแม้แต่น้อย นอนหมอบที่ก้นไหแต่โดยดี ถึงขั้นซ่อนหัวเอาไว้ใต้ตัวด้วยซ้ำ ทำท่าเหมือนกลัวเยี่ยเว่ยหมิงสังเกตเห็น

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าแล้วปิดฝาไหไว้เหมือนเดิม จากนั้นกวาดสายตามองรอบห้อง สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนชั้นยาติดผนัง

ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วเริ่มค้นหาทันที

ได้รับยาดีงู x10!

[ยาดีงู] ยาเม็ดที่ทำจากดีงูพิษ หลังจากกินแล้วกำลังภายในสูงสุดถาวร +50 (กินเกินสิบเม็ดจะไม่ได้ผล)

ยังมีของดีที่เพิ่มกำลังภายในสูงสุดได้ด้วย!

เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วกระปรี้กระเปร่า กินยาดีงูสิบเม็ดในรวดเดียวทันที กำลังภายในสูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 500 แต้ม กลายเป็น 12920 แต้ม

เยี่ยเว่ยหมิงเดินออกจากห้องงูอยากอิ่มอกอิ่มใจ ไม่ไปตีมอนสเตอร์บนถนนสายอื่นของค่ายภูเขาอีก แต่กลับหอประชุมรวมคุณธรรมโดยใช้เส้นทางเดิม พอเห็นว่าพวกโคมเขียวไฟปีศาจกลับไปแล้ว ถึงได้นำโลงไม้หวงฮว่าออกมาโลงหนึ่ง แล้วเริ่มเก็บศพของหลี่เปียว

ได้รับ ‘ตระหนักรู้เคล็ดฝ่ามือ’ x1!

ได้รับ ‘ตระหนักรู้วิชาแพทย์’ x1!

ถาม: บรรจุหลี่เปียวเข้าโลงศพ มีทั้งหมดกี่ขั้นตอน

ตอบ: สามขั้นตอน

ขั้นตอนที่หนึ่ง เปิดฝาโลงศพ

ขั้นตอนที่สอง ใส่หลี่เปียวเข้าไป

ขั้นตอนที่สาม ปิดฝาโลงศพอีกครั้ง

เพอร์เฟคต์!

พอเก็บโลงศพแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็เร่งความเร็ววิชาตัวเบา ‘แปดก้าวไล่ทันคางคก’ ให้ถึงขีดจำกัดสูงสุด แล้ววิ่งลงภูเขาไปตามทางที่เคยขึ้นมา ท่าทางของเขาตอนนี้คือหัวเข่าเคาะหน้าอก ส้นเท้าเตะแก้มก้น ราวกับเป็นสุนัขป่าที่หลุดจากเชือก

พอลงภูเขามาแล้ว ก็ดูแผนที่เพื่อให้แน่ใจ จากนั้นก็วิ่งต่อไปทางตำบลอินกู่

ป้ายแขวนเอวที่ได้จากตัวหลี่เปียว ความคิดแรกของเยี่ยเว่ยหมิงก็คือ คงจะเป็นเบาะแสอะไรสักอย่างของภารกิจลับ เขากะว่าหลังจากการประลองยุทธ์เจ็ดสังกัดจบลงแล้ว ค่อยไปดูว่ามีผลประโยชน์อะไรให้ตักตวงบ้าง

แต่เจ้าโคมเขียวไฟปีศาจนั่นกลับเจ้าเล่ห์ใช้ป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นนี้มาตีสนิทกับเยี่ยเว่ยหมิงและเป็นฝ่ายแสดงป้ายอาญาสิทธิ์ในมือตัวเองก่อน ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงตระหนักได้ว่าการมีอยู่ของป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นนี้ไม่ได้เป็นแค่เบาะแสของภารกิจลับเท่านั้น

ระบบให้ผู้เล่นทุกคนที่เข้าร่วมกำจัดหลี่เปียวได้ป้ายอาญาสิทธิ์แบบนี้ไปคนละใบ แสดงว่าต้องมีเจตนาบางอย่างแน่นอน

เห็นได้ชัดว่ากำลังเตือนผู้เข้าร่วมประลองที่มีความสามารถในการโจมตีสังหารหลี่เปียว ก็ควรไปดูที่ตำบลอินกู่สักหน่อย อาจมีเซอร์ไพรส์!

ในเมื่อระบบบอกใบ้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่เยี่ยเว่ยหมิงจะไม่ไปสืบดู

สาเหตุที่เขาไม่ได้ตระหนักว่าต้องไปดูทันที ก็เพราะอยากจะสำรวจในค่ายภูเขาดูก่อน ดูว่ายังมีเบาะแสอย่างอื่นอีกหรือเปล่า

ผลปรากฏว่าไม่เคยเบาะแสอะไร กลับได้ยาเม็ดที่เพิ่มค่าสเตตัสสูงสุดมาแทน

บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า ตั้งใจปลูกดอกไม้ ไม้กลับไม่ออกดอก ไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิว หลิวกลับให้ร่มเงา[1]?

ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงมาถึงตำบลอินกู่ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

พอเข้ามาในเมือง กลับพบว่าบรรยากาศของที่นี่ประหลาดและน่าอึดอัดผิดปกติ ไม่เหมือนเมืองเปี้ยนจิงที่ NPC ชาวบ้านต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ชาวบ้านที่ตำบลอินกู่กลับหน้านิ่วคิ้วขมวดทุกคน ต่อให้บางครั้งได้ยินเสียงหัวเราะ แต่ก็เป็นเสียงหัวเราะขื่นขมเพื่อสร้างความบันเทิงยามทุกข์ใจ ในรอยยิ้มแฝงด้วยความจนใจและสิ้นหวัง

“เฮ้อ…วันนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้ว นี่เป็นครั้งที่สามของเดือนแล้ว นี่เป็นค่านิยมเหลวไหล เมื่อไรจะจบสิ้นสักที” ตอนที่เดินอยู่บนถนน จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็ได้ยิน NPC สงคนที่เดินผ่านคุยกัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

พอเห็นสายตาของเยี่ยเว่ยหมิงมองมาทางพวกเขา หนึ่งในนั้นก็รีบดึงแขนเสื้ออีกคนเพื่อเตือนทันที หลังจากมองเครื่องแบบขุนนางบนตัวเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาหวาดกลัว ก็ก้มหน้าเดินออกไปนอกเมืองพร้อมกัน พอเห็นพวกเขามีท่าทางเหมือนอยากซุกหัวเข้ากางเกงแบบนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็เลิกคิดจะไปถามพวกเขาเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์แล้ว

แต่บางครั้ง ถ้าอยากจะสืบหาบางอย่าง ก็ไม่จำเป็นต้องถามผู้เห็นเหตุการณ์เสมอไป

ฟังจากบทสนทนาของพวกเขาก่อนหน้านี้ อย่างน้อยเยี่ยเว่ยหมิงก็ตัดสินได้แล้วสองเรื่อง

เรื่องแรก พวกเขาเจอเรื่องบางเรื่องที่ผิดปกติมาก และไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

เรื่องที่สอง พวกเขาเพิ่งเห็นเรื่องที่ไม่ดีมาสดๆ ร้อนๆ ถึงได้เดินไปด้วยวิจารณ์ไปด้วย

สรุปก็คือถ้าอยากรู้รายละเอียดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอแค่เดินไปตามทางที่พวกเขามา ไม่แน่ว่าอาจได้เห็นความจริงกับตาตัวเองก็ได้

พอนึกถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็เดินตรงไปตามถนนใหญ่ทันที

ระหว่างทางแม้จะผ่านทางแยกหลายครั้ง แต่ก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเดินผิดทาง

เพราะระหว่างที่เดินบนถนนทุกช่วง เขาเจอ NPC ที่มีสีหน้าเหมือนกับสองคนก่อนหน้านี้เดินสวนตลอดทาง มีทั้งความเสียดาย โศกเศร้า สิ้นหวัง โดดเดี่ยวปนกันไป

และการมีอยู่ของคนพวกนี้ ก็เหมือนเป็นป้ายบอกทางที่มีชีวิตสำหรับเยี่ยเว่ยหมิง ขอเพียงเดินไปทิศทางตรงกันข้ามกับพวกเขา เส้นทางจะต้องไม่ผิดแน่!

เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากเลี้ยวผ่านถนนสองสาย ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็เจอสาเหตุที่ทำให้คนพวกนี้เศร้าโศกแล้ว

นั่นคือศพของชายชราอายุประมาณหกสิบที่นอนนิ่งอยู่ในตรอกเล็กที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง รอบๆ มีบรรดาชาวบ้านมามุงดูและวิพากษ์วิจารณ์ พูดจาคล้ายๆ กับคนที่เยี่ยเว่ยหมิงเจอตรงประตูเมืองก่อนหน้านี้

มองออกเลยว่า NPC ในตำบลนี้มีเจตนาเป็นศัตรูต่อเจ้าหน้าที่ของทางการมาก เยี่ยเว่ยหมิงถอดเครื่องแบบออกทันที เปลี่ยนเป็นคลุมชุดนักพรตเต๋าเหมือนผู้เล่นธรรมดา แล้วเข้าไปสืบดูสถานการณ์

และหลังจากเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว NPC ของที่นี่ก็ไม่ทำตัวเหินห่างกับเขาเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว เมื่อเขาสอบถามอย่างสุภาพ ในที่สุดอีกฝ่ายก็เล่าที่มาที่ไปของเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างละเอียดแล้ว

ที่แท้ก็เป็นชายชราแซ่ฉิน เป็นคนจับงู…

[1] ตั้งใจปลูกดอกไม้ ไม้กลับไม่ออกดอก ไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิว หลิวกลับให้ร่มเงา 有意栽花花不开,无心插柳柳成阴 เปรียบเปรยถึงเรื่องบางอย่างที่ตั้งใจทำเต็มที่แต่ไม่ได้ผล แต่บางเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจกลับได้ผลดี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด