Dungeon Defense (WN) 279 การร่วมมือกันครั้งยิ่งใหญ่(7)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 279 การร่วมมือกันครั้งยิ่งใหญ่(7) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 279 – การร่วมมือกันครั้งยิ่งใหญ่(7)

 

* * *

 

 

“ทำไมข้าต้องเดินทางไปกับเจ้าด้วย?”

 

“ข้าก็เคยบอกท่านไปก่อนหน้านี้แล้วนี่ ใช่ไหมครับ? ว่าข้าน่ะชอบฝ่าบาทเวสซาโก้พอตัวเลย”

 

เวสซาโก้ทำหน้าเบี้ยวเหมือนเคี้ยวของเปรี้ยวในปาก

 

ถึงแม้ว่าตัวผมนั้นจะมีใจกว้างดุจดั่งมหาสมุทร แต่หากทำหน้าที่ตาแบบนั้นใส่ผมก็เจ็บเป็นเหมือนกันนะ

ผมจะดีใจกว่านี้หากเขารู้จักปฏิบัติตัวดีๆกับผมบ้าง

 

 

ในปี 1555 ตามปฏิทินทวีป ช่วงฤดูร้อน มกุฏราชกุมารรูดอล์ฟ ฟอน ฮับบวร์ก ทำการเคลื่อนทัพใหญ่

ขนาดกองทัพของเขานั้นมีราวๆ ห้าหมื่นนาย

เป็นกองกำลังผสมระหว่างมนุษย์และปีศาจ

แม้ทหารส่วนมากจะเป็นปีศาจ แต่การที่ผู้บัญชาทหารสูงสุดและผู้บัญชาการรบเป็นมนุษย์นั้นสร้างความตกตะลึงให้กับเหล่านายพล

 

เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการรบ ลอร่าก็ได้ประกาศต่อผู้คนในทันที

 

“หากมีใครละเมิดกฏทหารจะต้องถูกลงโทษโดยไม่สนฐานะ”

 

ปีศาจระดับสูง ที่มีชื่อเรื่องความเย่อหยิ่ง กลับดูถูกผู้บัญชาการทหารหน้าใหม่

ตลกน่าใครมันจะไปฟังคำสั่งจากมนุษย์กัน แถมยังเป็นเด็กสาวด้วย แนวคิดนั้นแพร่ไปทั่วในกองทหาร

 

แต่หลังจากที่ เจ้าหน้าที่ 7 คนโดนประหารภายใน 10 วันหลังประกาศรับตำแหน่ง แนวคิดนั้นก็เปลี่ยนไป

 

ผมเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ดีว่า ลอร่านั้นจะกลายเป็นฮีโร่ผู้รู้จักกันในนาม ตุลาการเหล็ก

 

ตอนหลังผู้คนจะพูดติดตลกกันว่า ทหารที่ต้องตายด้วยการสั่งประหารอขงลอร่าเผลอๆอาจมีจำนวนมากกว่าทหารที่ตายในการรบกับศัตรูด้วยซ้ำ

“กล้าดียังไงมาพูดถึงเรื่อง อายุและชาติพันธุ์ในสนามรบ

หากพวกเจ้าหัวขาด ไม่ว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์ เป็นปีศาจ เป็นคนเด็ก เป็นคนแก่

เจ้าก็ไม่อาจแย้งได้อีกต่อไป ฉันหวังพวกเจ้าจะลำคอพวกเจ้าจะกล้าแข็งเหมือนปากพูด”

 

ลอร่าพูดเช่นนั้นก่อนจะที่ฟันคอเหล่าปีศาจ

 

แถมลอร่ายังถลกหนังจากหัวของพวกนั้น แล้วเก็บกระโหลกไว้ในที่พักส่วนตัว

ซึ่งนั่นเป็นปกติที่เธอชอบทำอยู่แล้ว แต่พวกทหารที่เป็นมอนสเตอร์ตีความต่างออกไป

 

‘ยัยเด็กมนุษย์นั่นน่ากลัวกว่าพวกเราอีก’

‘พวกเราควรจะรู้ตั้งแต่ตอนที่ฝ่าบาทบาร์บาทอสให้การสนับสนุนเธอแล้ว’

‘ความโหดของนางทำเอาข้างี้แข็งเลยว่ะ หึหึ’

ถึงบางคนจะมีท่าทางที่น่ารังเกียจไปบ้าง แต่ผมทำเป็นไม่ใส่ใจ

ผมไม่ได้มีอารมณ์เพราะนึกภาพลอร่าโดนพวกออร์ครุมโทรมอยู่แล้ว ไม่มีวัน

 

แม้จะมีการต่อต้านจากทหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการอยู่บ้างแต่หากยังได้รับการสนับสนุนจากผู้บัญชาการในกองทัพภาคอยู่ก็ถือว่า พอรับได้ 

แต่ถึงอย่างนั้น คำสั่งและวินัยเป็นสิ่งสำคัญในกองทัพจอมมาร

แม้แต่ไพมอนที่ตอนนี้มีภาพลักษณ์เป็นผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ยังไม่ให้อภัยโทษหากเป็นเรื่องของการละเมิดคำสั่ง ผิดวินัย

 

“ในระหว่างสงคราม ทหารต้องรู้จักความเท่าเทียมและเสรีภาพ พวกเขานั้นต้องเป็นผู้ทำให้สิ่งนั้นประจักษ์ต่อผู้คน”

 

ความเห็นของไพมอนก็ถือว่า น่าสนใจทีเดียว

 

ซึ่งนั่นเป็นเหมือนเป็นการมอบหลักการให้กองทัพของพวกเรา พวกมอนสเตอร์น่ะไม่รู้จักที่เรียกว่า สิทธิ์และกฏหมายของคนเมืองอยู่แล้ว…….

แต่ทั้งหมดก็เกิดขึ้นด้วยอำนาจทางการทหารของลอร่านั่นเอง

 

ขณะที่พวกเรากำลังเตรียมกำลังพลทัพใหญ่จำนวน ห้าหมื่นนาย ก็มีทหารสี่พันนายแต่งตั้งให้เป็นทัพหน้า

ผมและอดีตจอมมารลำดับ 3 เวสซาโก้ ก็เป็นทัพหน้าด้วย

ดังนั้นแล้วพวกเราก็เคยคุยเล่นขำๆกันขณะที่เดินทัพไปด้วยกัน

 

เวสซาโก้กลับทำสีหน้าเหมือนขยะแขยงอะไรสักอย่างอยู่

 

“อย่ามาพูดกับข้าอีก,เจ้าตัวตลก แค่เห็นหน้าเจ้าทีไรข้าก็คลื่นไส้อยากจะอาเจียน”

 

เราก็คุยเล่นขำๆกันประมาณนั้นแหละ

 

“หึ ดูเหมือนแกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการรบคืออะไร? อย่างว่าแหละแกมันไอ้ขี้ขลาดที่เอาแต่หลบหลังบาร์บาทอสแล้ววางแผนอย่างเดียว”

 

“ฮ่าฮ่า”

ผมเกาแก้ม

เอาจริงๆนะ การรับมือเวสซาโก้นี่มันง่ายมากเลย หากเทียบกับจอมมารตนอื่นแล้ว ที่มีสุดจะเป็นงูพิษเนี่ย เวสซาโก้ออกจะซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง

หากเทียบว่า สิตริเป็นผู้มีจิตใจใสซื่อ เวสซาโก้ก็เป็นประมาณพวกใจแคบทำเป็นมีเล่ห์เหลี่ยม

 

“ถึงจะเห็นข้าเป็นอย่างนี้ก็เถอะ แต่ข้าก็ประสบความสำเร็จในการบุกภูเขาดำและยึดแบรนเดนเบิร์กนะ”

 

“เจ้าคงเข้าใจอะไรผิดไปแล้วล่ะ

เซปาร์เป็นผู้บัญชาการเมื่อคราวภูเขาดำ และบาร์บาทอสเป็นผู้สั่งการในการบุกแบรนเดนเบิร์ก”

เวสซาโก้ยิ้มเยาะ

 

“สิ่งที่เจ้าทำทั้งหมดก็เพียงแค่หลบอยู่เบื้องหลังพวกเขาแล้ววางแผน

มันต่างกันลิบโลกเลยล่ะระหว่างการเป็นผู้บัญชาการ กับการเป็นที่ปรึกษาในการรบ ,เจ้าตัวตลก”

 

“อืมมม…….”

“หากเจ้าคิดว่า การบัญชากองทหารนั้นมันง่ายเพียงเพราะเจ้าทำได้ดีในฐานะที่ปรึกษา ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พลาดไปมากเลยล่ะ

คนอย่างพวกเจ้าบ่อยครั้งจะพบกับความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงทันทีที่นำทัพใหญ่

ข้าจะเฝ้าดูความฉิบหายของเจ้า”

โทษทีนะ แต่จริงๆผมได้รับประสบการณ์พ่ายแพ้ที่สุดยอดเยี่ยมมาก่อนแล้วล่ะ

 

ผมยิ้มสดใส

 

“ฝ่าบาทจะเป็นผู้บัญชาการกองทหารในครั้งนี้ ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเราย่อมต้องชนะแน่ๆ

ข้าจะคอยดูก็แล้วกันนะครับ”

 

“……เหอะ แน่ล่ะ ข้าในฐานะผู้บัญชาการกองทัพหน้า อย่ามาเกะกะขวางทางก็แล้วกัน”

 

เวสซาโก้หันกลับไป ม้าของพวกเราเดินตีคู่กันไปขณะที่นำทัพทหาร

 

โดยทั่วไปแล้วหน้าที่ของทัพหน้ามีงานหลักสองอย่าง

 

อย่างแรกคือ พวกเขาจะนำหน้าไปก่อนกองทัพหลักเพื่อตรวจสอบสภาพภูมิประเทศ

 

แม้จะบอกว่า ทหารห้าหมื่นนายจะไม่ได้ดูเยอะเท่าไหร่นัก แต่การที่จะหาที่พักหลับนอนในตอนกลางคืนนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก

 

พื้นที่ราบจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างขาดไม่ได้

พื้นที่ของฝ่ายต้องเปิดกว้างมากพอที่จะเห็นศัตรูได้ในทันทีที่อีกฝ่ายพยายามจะลอบโจมตี

 

การมีแม่น้ำหรือหนองน้ำที่มีคุณภาพน้ำที่ดีก็ถือว่า เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นเดียวกัน

ดังนั้นจึงมีภูมิประเทศอยู่ไม่มากนักหรอกที่เข้ากับเงื่อนไขดังที่ว่ามา 

หากทัพหน้าไม่อาจไปแพ้วถางเส้นทางให้ก่อนได้ จะมีปัญหาใหญ่ตามมาในภายหลัง

 

อย่างที่สอง พวกเขามีหน้าที่ทดสอบดูความพร้อมของศัตรู

หากพวกเราส่งทัพหน้าไปแล้ว ศัตรูตอบสนองต่อทัพหน้าของฝ่ายเราในทันที คุณก็สามารถประเมินขีดความสามารถของทัพหน้าอีกฝ่ายได้ด้วยเช่นกัน

 

แต่หากทัพหน้าของอีกฝ่ายอ่อนยวบ ก็แปลว่า ฝ่ายศัตรูยังไม่พร้อมในการรบ

ดังนั้นแล้วการที่ทัพหลักมักจะส่งทัพหน้าอย่างเร่งด่วนส่วนหนึ่งก็เพื่อซื้อเวลา

 

ในสถานการณ์แบบนั้น เราก็ควรที่จะรีบจัดเตรียมทัพหลักให้เสร็จโดยเร็ว แล้วโหมรีบบุกให้ไวที่สุด

 

แต่หากทัพหน้าของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่ง……ก็หมายความว่า กองทัพศัตรูนั้นพร้อมรบทุกเมื่อ

 

 

ระดับของการเตรียมความพร้อมนั้นวัดได้จากการเข้าปะทะกันของทัพหน้า หากพวกนั้นข้ามชายแดนมาไกลเพื่อเข้าสู่สนามรบ ก็แปลว่า พวกเขาพร้อมแล้ว

 

 

“ทัพหน้าของฟรานเคียอยู่ในระยะแล้ว”

และหากทัพหน้าของอีกฝ่ายเจอกันภายในสองวันหลังจากข้ามชายแดนมา นั่นก็แปลว่า อีกฝ่ายรู้ถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ายเราดี

 

การที่ฝ่ายนั้นเป็นผู้บุกเข้ามาก่อน นั่นเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุดสำหรับฝ่ายเรา

 

เวสซาโก้ดูค่ายทัพของศัตรูด้วยกล้องส่องทางไกลในมือ

 

“จำนวนของพวกนั้นราวๆสามพัน ถือว่า เสมอกับพวกเรา…….”

 

“มีธงอัศวินสองธง ดูเหมือนจะเป็นกองทัพในพื้นที่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ประมาทไม่ได้”

 

“เพราะอย่างนั้นนั่นแหละ ข้าถึงได้บอกว่า เสมอกับพวกเรา ,เจ้าโง่ไร้ความสามารถนี่”

เวสซาโก้สบถออกมาขณะมองผ่ายกล้อง

 

ทหารทั้งสองฝ่ายเข้ามาถึงทุ่งที่เหมาะแก่การวางทัพขนาดใหญ่ ยากที่จะเห็นภาพที่สุดจะบังเอิญเช่นนี้

ฝ่ายศัตรูคาดการณ์การมาถึงของฝ่ายเราไว้ก่อนแล้ว จึงเข้ามาใกล้กับสมรภูมิ

มันเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาว่าอีกฝ่ายรู้การเคลื่อนไหวของพวกเราระดับไหน

 

“พวกมนุษย์น่ะน่ารำคาญ ก็เพราะเจ้าพวกนั้นมันตายไวเกินไป 

เลยแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมานั่งจำว่า ชนชั้นสูงตระกูลไหนเปลี่ยนมือไปในช่วงไม่กี่ร้อยปี”

 

เวสซาโก้บ่นด้วยความรำคาญ เขากำลังตรวจสอบสัญลักษณ์ของธงศัตรู

 

“เมื่อ 400 ปีก่อนธงรูปโล่เป็นที่นิยม ดูเหมือนตอนนี้ดอกไม้จะเป็นที่นิยมแทน ลิลลี่เอย กุลาบเลย แม้แต่เบญจมาศก็ไม่เว้น

…….เจ้าพวกนั้นอาจคิดว่า ตัวเองอยู่ในสวนไม่ใช่สนามรบล่ะมั้ง”

 

“หากเทียบกับพวกเราแล้ว พวกมนุษย์มีอายุขัยที่สั้นกว่า”

ผมยิ้มอย่างขื่นขม

 

จอมมารนั้นมีชีวิตต่อไปเกือบจะตลอดกาลตราบใดที่ไม่โดนฆ่า บาอัลเองก็คงจะได้รับการบันทึกในกินเนสบุ๊ค เวิร์ล เรคคอร์ด ในฐานะจอมมารที่อายุยืนที่สุด ก่อนที่จะตายไป

 

เทียบไม่กับเอลฟ์หรือมนุษย์ด้วยซ้ำ

 

“กุหลาบสีดำที่มีหมาอยู่ข้างๆนั่นเป็นของ นายพลแกสพาร์ด เดอ ทาบาร์น

ในบรรดานายพลฟรานเคียทั้งหลายแล้ว เขาเป็นบุคคลที่เก่งที่สุด ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นนายพลบัญชาการทหารให้กับจักรพรรดิ

เอาล่ะ ดูเหมือนเขาคงไม่มีแรงพอที่จะเป็นผู้บัญชาการทหารแล้วสินะ”

 

จะว่าไป เขานี่แหละที่เป็นหนึ่งในนายพลที่ผมรบด้วยในทุ่งราบ นักบุญเดนิส

จากตำแหน่งทัพเมื่อตอนนั้น เขาอยู่ทางฝั่งซ้ายมือของกองทัพจึงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันนัก

 

เวสซาโก้มองผมด้วยความประหลาดใจ

 

“……เจ้าจำสัญลักษณ์พวกนั้นได้ด้วยรึ?”

 

“ข้าอาจจะอ่อนประสบการณ์ แต่ข้าก็พอมีความรู้อยู่บ้าง”

 

ผมจำตราตระกูลสำคัญๆในช่วงที่ผมเข้าร่วมสงครามกลางเมืองฟรานเคีย

ผมได้ทบทวนซ้ำอีกครั้งไปเมื่อไม่กี่วันนี้

ผมถึงจำได้ทุกตระกูลที่ยกทัพมายังทุ่งราบแห่งนี้

 

“สัญลักษณ์ที่เป็นหอกไขว้นั้นเป็นของบารอน เบอเทอแนน 

สิงโตคาบกุหลาบนั้นเป็นของ เอิร์ล เฮฟรู 

และนั่นก็เป็นแหล่งสร้างอัศวินทั้งหลาย ดอกเบญจมาศสีขาวนั่นคือ บารอน ชาสต้า

พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นนายผลผู้มีความสามารถ ระดับหัวกะทิทั้งนั้น”

 

“…….”

 

“ถึงพวกนั้นจะไม่ได้ฉลาดมากมายนัก แต่ทว่า อืมม ถือว่าเป็นทัพหน้าที่ดีพอตัว

นายพลทาบาร์นคไม่พอใจน่าดู ทั้งที่เคยเป็นผู้บัญชาการทหารมาก่อนหน้านี้ 

…….แต่นั่นก็หมายความว่า พวกมนุษย์นั้นได้ตระเตรียมการรบครั้งนี้มาสักพักแล้ว”

 

ตระกูลทาบาร์นนั้นตั้งอยู่ทางใต้สุดของฟรานเคีย ส่วนกองทัพของเรานั้นบุกมาจากทางฝั่งตะวันออก

ไม่ว่าจะเดินทัพได้เร็วแค่ไหน ก็ไม่มีทางเดินทางมาถึงได้ภายในสองวันหรอก

 

 

“ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นตระกูลจากฟรานเคียด้วยกันทั้งสิ้น

ไม่มีกลุ่มไหนมาจากฝ่ายบริททานี่เลย

พวกเขาตั้งใจแต่งตั้งให้ชาวฟรานเคียเท่านั้นเป็นทัพหน้า

ช่างยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้”

 

สมแล้วที่เป็นราชินีเฮนริเอตต้า สัญชาตญาณเฉียบแหลมดั่งสัตว์ร้าย

ไม่แปลกที่ใครต่อใครจะทึ่งในความสามารถของเธอ

 

“ต่อให้พวกเราได้รับชัยชนะ ก็ไม่กระทบกระเทือนให้ราชินีคนนั้นแต่อย่างใด

การที่ชนชั้นสูงของฟรานเคียนั้นอยู่ระหว่างหยุดการต่อต้านกับบริททานี่ชั่วคราว

 

เธอจึงอาศัยโอกาสนี้ในการจำกัดพวกเขาทิ้งในสนามรบเสียเลย”

 

“…….”

 

“และเธอก็จะฉวยโอกาสนี้ยึดอำนาจมาจากจักรพรรดิฟรานเคียมาเป็นของตัวเอง ช่างหลักแหลมเสียจริง”

เวสซาโก้ถามผมด้วยเสียงต่ำ

 

 

“หมายความว่ายังไงที่บอกว่า จะยึดอำนาจมาจากจักรพรรดิฟรานเคีย?”

 

หืม? ก็ปกตินี่ 

ผมบอกไปแล้วใช่ไหมว่า ราชินีแห่งบริททานี่นั้นจะใช้โอกาสนี้ช่วงชิงอำนาจจากจักรพรรดิ

หากให้ผมเดาจำนวนอัศวินคร่าวๆ ก็คงมีราวๆ 600 นาย หรือก็คือหนึ่งในห้าของกองทัพศัตรูเป็นอัศวิน

สัดส่วนของทหารมันดูไม่เป็นเหตุเป็นเอาเสียเหลือเมื่อเทียบกับอำนาจในมือ

 

“ราชินีคนนั้นตั้งใจใช้โอกาสนี้ชิงอำนาจของจักรพรรดิมาแต่แรกแล้ว

ถึงแม้ฟรานเคียจะกำลังอ่อนแอ แต่หากเธอทำการชิงบัลลังค์อย่างเปิดเผย พวกนักปฏิวัติก็จะลุกฮือขึ้นมาทั้งประเทศ

การที่พวกเรารุกรานในครั้งนี้เป็นการเสนอโอกาสอันดีให้กับเธอ เพื่อที่จะให้เธอรวมกำลังพลมาต่อต้านเรา แล้วก็กลายเป็นฮีโร่ของชาติไป”

 

“…….”

 

“เอาล่ะ จักรพรรดิฟรานเคียตอนนี้ก็คงโดนกักบริเวณอยู่ที่ไหนสักแห่งในวังเนี่ยแหละ

การจะแอบอ้างว่า เขาป่วยอยู่เป็นเรื่องง่ายจะตายไป ”

 

เฮนริเอตต้าก็ยึดอำนาจทางการทหารด้วยวิธีการนี้แหละ 

เธอนั้นเป็นผู้หญิงที่เก่งการในการใช้ประโยชน์จากสงคราม

จะเป็นปัญหามากเลยล่ะ หากมีมนุษย์ที่เก่งกาจแบบนี้อยู่มากมายในโลก

 

 

“……นี่เจ้ารู้ไปถึงขนาดนั้นเพียงแค่เห็นธงเนี่ยนะ?”

 

“อะไรนะครับ? อ่า, อ๋อ, ก็พอสมควรแหละ”

 

น่าสนใจจริงๆ

ต่อจากนี้ราชินีเฮนริเอตต้าก็คงจะได้แต่งงานกับจักรพรรดิฟรานเคียทันทีหลังชนะศึกนี้

ทั้งราชินีและจักรพรรดิเองก็ยังหนุ่มยังสาว ยังอยู่ในวัยที่เหมาะแก่การแต่งงาน

และเมื่อแต่งงานกัน การร่วมมือกันครั้งใหญ่ย่อมต้องเกิดขึ้น

แน่นอนว่า ภายนอกแล้วอาจดูเหมือนเป็นการร่วมมือกัน แต่ความจริงแล้ว เฮนริเอตต้าจะเป็นผู้ครองอำนาจทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว

แถมจักรพรรดิ ‘ผู้ล้มป่วย’ ก็จะสวรรคตไม่นานหลังจากนั้น

 

พอเป็นเช่นนั้นแล้ว บริททานี่กับฟรานเคียก็จะกลายเป็นของ เฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่โดยสมบูรณ์

 

 

ซึ่งนั่นในกรณีที่เฮนริเอตต้าชนะน่ะนะ

 

 

เวสซาโก้บ่นพึมพัมกับตัวเองตอนที่ผมกำลังจินตนาการอนุมานถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้า

 

“……เจ้านี่อาจไม่งั่งอย่างที่คิดก็ได้…….”

 

“เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ? 

ต้องขออภัยด้วย ข้าคิดอย่างอื่นเพลินไปหน่อยจึงไม่ได้ฟังท่านพูด”

 

“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าคนฉลาดไม่เต็มใบ”

 

เวสซาโก้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงรำคาญอีกครั้ง เขาชอบทำท่าทางเหมือนปวดท้องอยู่เสมอ

 

 

ณ ตอนนั้นเอง มีบุคคลหนึ่งควบม้ามายังใจกลางทุ่งราบ

นี่พวกเขาส่งทูตมาหาก่อนรบด้วยรึ?

บุคคลที่สวมเกราะหรูหรามักจะเป็นทูต

 

“ฟังคำข้าให้ดี เจ้ามอนสเตอร์ชั่วร้าย!”

ชายผู้นั้นกระชับหอกในมือแล้วตะโกนลั่น

 

เขาคงใช้เวทย์ขยายเสียงที่ลำคอ จึงพูดได้ดังลั่นทั่วทุ่ง

 

“ตัวข้า,อัศวินเออแกนแห่งฟรานเคีย ขอท้าดวลเจ้า 

หากเจ้ามิใช่คนขี้ขลาด ก็จงออกมาสู้กับข้า!”

 

สรุปง่ายๆว่า เจ้าหมอนี่ขอท้าดวล ตัวต่อตัว

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด