ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 285 การแสดงด้านศิลปะวรรณคดี + 286 อู่เชาก็อยากจะแสดง

Now you are reading ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น Chapter 285 การแสดงด้านศิลปะวรรณคดี + 286 อู่เชาก็อยากจะแสดง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 285 การแสดงด้านศิลปะวรรณคดี + ตอนที่ 286 อู่เชาก็อยากจะแสดง

ตอนที่ 285 การแสดงด้านศิลปะวรรณคดี

อู่เหมยพอใจกับที่นั่งใหม่มาก ในที่สุดก็ไม่ต้องทนเจินหวานหว่านที่น่ารำคาญอีกแล้ว ทุกวันนี้เวลาเห็นเธอแสดงตัวเป็นเพื่อนสนิทของตัวเอง อู่เหมยก็รู้สึกรำคาญแล้ว ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับใบหน้าอ้วนกลมของอู่เชาทุกวัน ก็ยังดีกว่ามองเจินหวานหว่าน

เจินหวานหว่านไม่ได้โต้ตอบอะไรทั้งสิ้น โต๊ะเดียวกันกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ค่อยพูดเงียบขรึมคนหนึ่ง มันเป็นโต๊ะของอู่เชาเมื่อก่อน เธอเป็นนักเรียนเรียบร้อยที่เคารพกฎเป็นพิเศษ นั่งเรียนหนังสือหลังตรงกว่าแท่นนาฬิกา เจินหวานหว่านพอเห็นเธอก็ปวดหัว

“เหมยเหมย ทำไมถึงขอครูเปลี่ยนที่นั่งปุบปับล่ะ? พวกเรานั่งด้วยกันดีจะตาย!” ตอนเลิกเรียน เจินหวานหว่านถือโอกาสเข้ามาตีสนิท

“เธอตัวเตี้ยเกินไป ถ้าฉันนั่งกับเธอก็จะส่งผลกระทบต่อเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งด้านหลัง” อู่เหมยกลอกตาไปมา ลากเจ้าอ้วนออกมา “อีกอย่าง พี่ชายของฉันอยากนั่งโต๊ะเดียวกับฉัน”

อู่เชาตัวเกร็งไปหมด เขาอยากนั่งกับยายตัวดีนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?

ตอนนี้ยายตัวดีนี่ไม่ได้พูดความจริง ไม่ได้จิตใจดีขนาดนั้น!

อู่เชายิ้มแหยๆ ไม่สนใจเขา เจินหวานหว่านรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ จึงกลับไปนั่งที่ อู่เชาก้มหน้าจะด่า อู่เหมยพูดเสียงเบา “ซาลาเปาไข่ปู่ที่ร้านอาหารเฟิ้งไหลจะกินไหม?”

“กินสิ จำกัดปริมาณไหม?”

อู่เชาตาเป็นประกาย กลืนคำพูดที่จะด่าฉับพลัน มองอู่เหมยด้วยแววตาที่มีชีวิตชีวา

“กินได้ไม่อั้น กินได้ตามสบายเลย!”

อู่เชาดีใจจนตาหยี กลายเป็นขีดเดียว ซาลาเปาไข่ปูของร้านเฟิ้งไหลน่ะ รสชาตินั้นยอดเยี่ยมมาก ถึงจะแพงไปหน่อย แม้ว่าเงินค่าขนมเขาจะเยอะ แต่อย่างไรเขาก็ยังเสียดายเงิน ไม่กล้าซื้อกินบ่อยๆ ราคาของซาลาเปาไข่ปูหนึ่งเข่งสามารถซื้อโอ่วซือปิ่งได้หกชิ้นเลยนะ!

ไม่คุ้มเลย!

“จะไปกินเมื่อไหร่?”

“วันนี้หลังเลิกเรียนไปกินกัน” อู่เหมยหรี่ตามอง เจ้าอ้วนที่แยกเขี้ยวยิงฟัน ตัวเองถูกแหย่จนหัวเราะ อารมณ์ดีเป็นพิเศษ

ตอนกินข้าวกลางวัน อู่เชาเปลี่ยนจากการกินตะกละตะกลามที่ทำเป็นประจำอย่างไม่คิดว่าจะเปลี่ยนได้ กลายเป็นค่อยๆ กิน แล้วยังเอากุนเชียงที่คุณย่าอู่ทำให้เป็นพิเศษยกเอาให้อู่เหมย ตัวเองกินแค่ผัดผักกาดขาวเต้าหู้ ข้าวก็กินแค่ครึ่งเดียว เหมือนกับบริจาคดอกไม้ใบหญ้าในสวนดอกไม้

“นายเพี้ยนไปแล้วเหรอ? ทำไมถึงกินนิดเดียว?” อู่เหมยประหลาดใจมาก

“ฉันต้องเหลือท้องไว้เยอะๆ เดี๋ยวจะกินซาลาเปาไข่ปูได้ไม่เยอะ” อู่เชาลูบท้อง

พยายามดิ้นรนเพื่อเพิกเฉยต่อการประท้วงในท้องของเขา เขาดื่มน้ำแก้วใหญ่อึกๆ หนึ่งแก้ว ถือว่าอิ่มพร้อมกับน้ำ

อู่เหมยฉีกยิ้มมุมปาก ทำเสียงฮึ “มีพัฒนการนี่นา!”

ทำไมชาติที่แล้วไม่พบว่า เจ้าอ้วนจะมีนิสัยซื่อๆ น่ารักได้นะ?

แกล้งเป็นวางมาดขรึมออกสื่อทีวีเท่านั้น เธอจำได้เจ้าอ้วนคนนี้ ต่อมายังไปอยู่ในวงการบันเทิง เป็นพิธีกรรายการหนึ่ง ตลอดทั้งวันแกล้งเป็นคนต้มตุ๋นสวมเสื้อคอจีน เห็นๆ กันอยู่ว่าแม้กระทั่งพูดยังไม่พูดชัด ไม่นึกเลยว่าจะมีคนตาบอด เอาเขาไปพิธีกร แต่ยิ่งทำให้ประหลาดใจคือ ไม่นึกเลยว่ารายการนี้จะดัง!

สุดท้ายมีคนค้นหาเจ้าอ้วน อู่เชาในเว็บไซต์ไป๋ตู้เพิ่มมากขึ้น รายการค้นหา ‘พิธีกรที่มีชื่อเสียง!’

ชิ! ทำบุญมาดีจริงๆ !

แต่อู่เหมยกินจนอิ่ม เธอรู้สึกพอใจเป็นพิเศษ เอาน้ำล้างกล่องข้าว เดินกลับไปห้องเรียน เพิ่งจะนั่งลงไม่ทันไร กรรมการด้านศิลปวรรณคดีของชั้นเรียนเดินมา กรรมการด้านศิลปวรรณคดีคนนี้เป็นเด็กผู้หญิงที่สวย เธอชื่อเจียงซินเหมย เป็นคนรูปร่างผอมเพรียว แค่มองก็รู้ว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ฝึกเต้นมาตั้งแต่เด็ก

อู่เหมยยังจำเจียงซินเหมยได้ เหมือนกับว่าต่อมาเธอไปเป็นทหารในกรมวัฒนธรรมกองทัพบก สามีของเธอยังเป็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพด้วย นับว่าน่าสนใจยิ่งนักที่มีคนแบบนี้ปะปนอยู่กลุ่มเพื่อนร่วมชั้นของเธอ

“เพื่อนร่วมชั้นอู่เหมย โรงเรียนกำลังรวบรวมการแสดงศิลปวรรณคดีในวันขึ้นปีใหม่ ในแต่ละชั้นต้องมีทั้งหมดสามการแสดง เธอก็เข้าร่วมสิ?” เสียงของเจียงซินเหมยนั้นชัดแจ๋วมาก เหมือนกับเสียงกัดแตงกวาดอง ฟังแล้วรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษเหมือนกับนิสัยของเธอ

“ฉันร้องเพลงกับเต้นไม่ได้เลย อย่าได้เอาฉันไปถ่วงความเจริญของเลย”

อู่เหมยส่ายหน้าปฏิเสธ เธอทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หากขึ้นเวทีไปไม่ใช่จะไปปล่อยไก่แย่เหรอ!

…………………………………………………………………………

ตอนที่ 286 อู่เชาก็อยากจะแสดง

เจียงซินเหมยพูดเกลี้ยกล่อมอู่เหมยอย่างไม่ลดละ “เธอสวยขนาดนี้ ไม่ไปขึ้นแสดงละก็เสียดายแย่ พวกเราก็ไม่ใช่ทีมเต้นมืออาชีพ ก็ไปเต้นด้วยกัน แค่บิดแขน เตะแข้งเตะขาเป็นก็ได้แล้ว มาเถอะ กลุ่มของฉันยังขาดอีกสองคน ถ้าเธอไม่ช่วย ฉันก็แสดงไม่ได้แล้ว”

อู่เหมยถูกความออดอ้อนฉอเลาะของเจียงซินเหมยจนในหัวของเธอสับสน เธอพยักหน้าอย่างงงๆ เจียงซินเหมยดีใจจนเป็นบ้าเป็นหลัง กอดและหอมอู่เหมยจนเธอตกใจสะดุ้งโหยง จ้องเขม็งเจียงซินเหมยอย่างระวังตัว

“ฮ่าๆ อู่เหมย เธอนี่ตลกจริงๆ ฉันไม่ใช่ผู้ชายสักหน่อย หอมเธอนิดเดียวจะเป็นอะไร?” เจียงซินเหมยหัวเราะชอบใจ

อู่เหมยเช็ดหน้าด้วยความรังเกียจ เกลียดที่สุดคือการที่คนอื่นมาหอมเธอ แค่คิดถึงน้ำลายคนอื่นมาติดอยู่บนหน้าหรือปากของเธอ เธอก็อดรู้สึกขยะแขยงไม่ได้

“โอเคๆ ต่อไปฉันไม่หอมเธอแล้ว ตกลงไหม? แต่เห็นปฏิกิริยาของเธอรุนแรงอย่างนี้ สามีของเธอในอนาคตน่าเวทนาแย่!”

เจียงซินเหมยดูออกว่าอู่เหมยรู้สึกไม่พอใจที่คนอื่นมาหอมจริงๆ ก็อดเก้อเขินเล็กน้อยไม่ได้ เธอจึงพูดเรื่องตลกหลายเรื่องเพื่อแก้เขิน ใครจะไปรู้ว่าพูดแล้วทำให้อู่เหมยหน้าแดงอีก

“อุ๊ย! อู่เหมย ทำไมเธอถึงเหมือนต้นไมยราบเลย ฉันเห็นแล้วเอ็นดูเธอจริงๆ”

เจียงซินเหมยตะลึงงันอยู่พักหนึ่ง เธอสะบัดหัวถึงจะตื่นขึ้นมา แอบร้องอมิตตาพุทธ อู่เหมยมีหน้าตาเช่นนี้ก็เพื่อทำร้ายผู้ชายชัดๆ เธอเป็นผู้หญิงยังมองตาค้างเลย จุ๊ๆๆ อย่างไรก็ตามเธอขอมีหน้าตาธรรมดาอย่างนี้ดีกว่า

อู่เหม่ยมองเธออย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง เมื่อก่อนยังดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจียงซินเหมยนิสัยอย่างนี้ ลิ้นลมคมคาย แต่เธอไม่ได้รู้สึกแย่ต่อเจียงซินเหมย เพราะถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะพูดจาหวานไพเราะ แต่ก็มีแววตาที่จริงใจมาก ไม่เหมือนเจินหวานหว่าน ที่ในแววตามักจะมีแผนการอยู่ตลอด

อู่เชาเฮโลเข้ามา พอเห็นน้องสาวยอมให้จิ๊กกี๋อย่างเจียงซินเหมยล่วงเกิน เขาในฐานะพี่ชายก็ต้องออกหน้า เขาเหล่ตามองเจียงซินเหมย พูดอย่างตั้งใจ “ไม่อย่างนั้น ก็ให้ฉันแสดงด้วยไม่ได้เหรอ?”

เจียงซินเหมยกอดอก ก้มลงมองพินิจพิเคราะห์อู่เชา ไม่มีทาง ผู้หญิงคนนี้สูงกว่าเจ้าอ้วน ไม่รู้ว่ากินอะไรมาถึงได้ตัวโต

“อู่เชา เธอจะไปแสดงอะไร? คงจะไม่ขึ้นเวทีไปขายเซาปิ่งหรอกนะ?” เจียงซินเหมยกลั้นหัวเราะแล้วกล่าว

อู่เหมยรีบเอามือปิดปาก ยัยเจียงซินเหมยนี่ช่างพูดจาเหน็บแนบเสียจริง ด่าคนไม่ใช้คำหยาบ อู่เชาโกรธ เขาหายใจฟึดฟัด พูดด้วยความโมโห “ฉันจะแสดงเป่าปี่ ฉันเป็นผู้ชายที่มีกึ๋น มีความสามารถอันยอดเยี่ยม”

อู่เหมยเบะปาก ‘เป่าปี่’?

ได้ยินคำนี้แล้วขนลุก…

เจียงซินเหมยไม่รู้จักเรื่องราวโบราณของการเป่าปี่แน่นอน

เธอพินิจพิเคราะห์เด็กอ้วนอย่างสงสัย “เธอเป่าปี่เป็นจริงเหรอ? ไม่ได้คุยโวนะ?”

“ทำไมฉันต้องคุยโว? ฉันไม่เพียงแต่เป่าปี่เป็น แต่ยังเป่าขลุ่ยเป็นด้วยนะ เจียงซินเหมย เธอคิดว่าในโลกนี้มีแค่เธอที่เต้นรำ บิดตูดเป็นเหรอ? ชิ!” อู่เชาเงยหน้าขึ้นสูงมาก รูจมูกบานๆ

อู่เหมยกลั้นหัวเราะแล้วกล่าว “ลูกพี่ลูกน้องของฉันเป่าปี่เป็นจริงๆ นอกจากนี้ยังเป่าขลุ่ย ซอสองสายก็เล่นเป็น นอกจากเรียนหนังสือไม่ได้แย่แล้ว วิธีการที่ไม่ชอบมาพากลอื่นๆ ก็ค่อนข้างเก่งทีเดียว”

เจ้าอ้วนมีสัมผัสพิเศษทางด้านดนตรีและมีความรู้ค่อนข้างลึกซึ้ง ทั้งปี่ ซอสองสาย ขลุ่ย เครื่องดนตรีเหล่านี้เขาหัดเองทั้งหมด ตระกูลอู่ก็ไม่มีคนเล่นเครื่องดนตรีเหล่านี้เป็น เขาซื้อหนังสือเกี่ยวกับด้านนี้เอง เขายังไปสวนสาธารณขอคำแนะนำพวกเพื่อนๆ ต่างอายุอีกนะ ไม่นึกเลยว่าจะให้เขาเรียนเครื่องดนตรีของชนชาติจีนมากมาย แล้วเขายังหัดเล่นพิณผีผา พิณกู่เจิง ขิมโบราณ ฯลฯ เองด้วยนะ

มีเพียงอย่างหนึ่งที่แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าอ้วนไม่หัดเล่น คือ เครื่องดนตรียุโรป เพราะว่าเจ้าอ้วนรู้สึกว่าเครื่องดนตรียุโรปไม่มีกึ๋น เทียบกับเครื่องดนตรีจีนไม่ได้

อู่เชาพอใจกับคำพูดครึ่งก่อนหน้าของอู่เหมยมาก แต่คำพูดครึ่งหลังกลับไม่ค่อยเข้าหู เจ้าอ้วนทำเสียงเยาะเย้ย บ่งบอกว่าเขาไม่พอใจมาก

วิธีการที่ไม่ชอบมาพากลอะไร?

สิ่งเหล่านี้คือประวัติอันยาวนานของชนชาติจีน เป็นวัฒนธรรมอันล้ำเลิศ!

คุยกับคนไม่มีวัฒนธรรมนี่มันเหนื่อยจริงๆ!

…………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด