สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 388 ฮูหยินมักทำให้ข้าประหลาดใจเสมอ
บทที่ 388 ฮูหยินมักทำให้ข้าประหลาดใจเสมอ
บทที่ 388 ฮูหยินมักทำให้ข้าประหลาดใจเสมอ
ลู่อี้มีแผนที่ของทั้งเมืองฮู่เป่ยอยู่ที่นี่แล้ว
มู่ซืออวี่ชี้ไปยังที่แห่งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ตรงนี้มีแม่น้ำ อีกฝั่งของแม่น้ำมีหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน หากชาวบ้านในหมู่บ้านเหล่านี้อยากข้ามแม่น้ำ พวกเขาทำได้เพียงไต่เชือกมา ว่ากันว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นทุกปี แรงงานในการก่อสร้างลานหรรษาหลายคนมาจากหมู่บ้านเหล่านี้ ข้าได้ยินพวกเขาพูดคุยบางครั้งบางคราน่ะ อย่างไรเสียท่านก็เป็นนายอำเภอ ไม่อาจละเลยพวกเขาได้”
“ข้ารู้จักที่ตรงนี้ ตอนนั้นเสมียนที่ทำงานด้วยกันกับข้าหลายคนมาจากหมู่บ้านเหล่านี้ พวกเขายังบอกว่าสถานการณ์ที่นั่นลำบากมาก จะเข้าเมืองแต่ละครั้งไม่ง่ายนัก”
“เหตุใดเจ้าจึงคิดที่จะสร้างสะพานขึ้นมา? จัดหาเรือสักหลาย ๆ ลำไว้ให้ไม่ดีกว่าหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม “แบบนี้ย่อมดีกว่า เร็วกว่า ประหยัดเวลาได้มากกว่า”
“ใต้เท้านายอำเภอของข้า แน่นอนว่าเรือย่อมเร็วกว่า ทว่าเรือต้องใช้เงินไม่ใช่หรือ? ชีวิตของราษฎรยากจนข้นแค้น หากท่านให้พวกเขาจ่ายเงินเพื่อข้ามแม่น้ำ นั่นก็เหมือนให้พวกเขาเฉือนเนื้อตนเอง”
“สะพานนี้เราไม่จำเป็นต้องสร้างเอง พวกเราขอให้พวกพ่อค้าจ่ายค่าก่อสร้างได้ ส่วนประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับ พวกเราตั้งชื่อสะพานตามชื่อของพวกเขา เจ้าของกิจการเหล่านี้ไม่เคยขาดแคลนเงินทอง ขาดแต่เพียงชื่อเสียงอันดี ตั้งชื่อสะพานตามชื่อของพวกเขาไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อรุ่นของพวกเขา ทว่าเป็นประโยชน์ต่อลูกหลานรุ่นถัด ๆ มาจากพวกเขาด้วย ราษฎรของที่นี่ก็จะจดจำได้ว่าผู้ใดเป็นคนสร้างสะพาน”
“ท่านลองดูสิ ขอแค่เพียงท่านเผยแพร่ข่าวออกไป รับรองว่าไม่ขาดผู้คนที่จะมาบริจาคสร้างสะพานอย่างแน่นอน”
ลู่อี้ยกมือขึ้นดีดหน้าผากนางหนึ่งที
“เจ้านี่นะ เกิดมาเพื่อเป็นผู้ค้าขายจริง ๆ”
มู่ซืออวี่ยกมือขึ้นแตะหน้าผากตน “ข้าคิดเพื่อลู่ทางของท่าน ยังไม่พอใจอีกหรือ?”
“สร้างสะพานปูถนนเป็นความสำเร็จที่จะทำประโยชน์ให้กับราษฎรจริง ๆ” ลู่อี้เอ่ย “ข้าจะค่อย ๆ วางแผน”
“สามีของข้าฉลาดยิ่ง ข้าคงไม่ต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว เช่นนั้นข้าจะไปเป็นคนค้าขายที่มีเงินท่วมหัวต่อไปแล้ว” มู่ซืออวี่โบกมือแล้วเดินออกไปจากห้อง
ลู่อี้มองร่างของนางเดินออกไปด้วยรอยยิ้มในดวงตา
เซี่ยคุนเดินเข้ามา “พวกท่านคิดจะทำอะไรอีกแล้ว ข้าเห็นใบหน้าภรรยาท่านเต็มไปด้วยความปลื้มปริ่มยินดี ราวกับนางได้เงินกองโตอย่างไรอย่างนั้น”
“อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดคิดจะวางอุบายใส่ท่าน วางใจได้” ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ “ทางด้านตระกูลโจวมีข่าวคราวอะไรหรือไม่?”
“คนแซ่โจวกับปลัดอำเภอเวินกำลังจะมีสัมพันธ์ฉันพี่น้อง เขาใกล้จะเอาหัวใจไปให้ผู้อื่นเก็บไว้*[1] แล้ว”
“คนตระกูลโจวมีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย คนแก่พวกนั้นเคยได้รับความไว้วางใจจากพ่อของข้า แทบจะกินนอนด้วยกันตลอดเวลา ทว่าในท้ายที่สุดใช้กลอุบายชิงวิธีย้อมผ้า ทำให้กิจการของพ่อข้าล้มเหลวแล้วกลับไปยังบ้านนอกด้วยความสิ้นหวัง”
“หากไม่ใช่คนของข้าแทรกซึมเข้าไปได้ทุกหนแห่ง เรื่องเก่าเก็บเช่นนี้เกรงว่ายากที่จะค้นเจอ ทว่าแม้กระทั่งข้าก็เกือบจะคลาดไปแล้ว นายท่านโจวผู้นี้มีชื่อเสียงดีงามอย่างผิดปกติ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยและเด็กกำพร้าไว้มากมาย ว่ากันว่าเขาก่อตั้งสถานสงเคราะห์ขึ้นมา รับผู้พิการเอาไว้ไม่น้อย”
“ท่านไปตรวจดูสถานสงเคราะห์นั้นหรือยัง?”
“ตรวจสอบแล้ว ตอนนี้ยังไม่พบว่ามีปัญหาใด ๆ”
“เอาเถอะ ตอนนี้มีอีกเรื่องที่ต้องให้ท่านจัดการ”
ลู่อี้กล่าวคำพูดของมู่ซืออวี่ซ้ำอีกครั้ง
“ภรรยาของท่านเป็นดาวนำโชคของท่านจริง ๆ” เซี่ยคุนทอดถอนใจ “นี่เป็นกุศลยิ่งใหญ่จริง ๆ ข้าจะไปเตรียมการ จริงสิ เมื่อครู่นี้คนจากศาลาพักม้า*[2] ส่งจดหมายมาหลายฉบับ มีฉบับหนึ่งให้ท่าน อีกฉบับหนึ่งให้ฮูหยิน”
ลู่อี้รับจดหมายมาเปิดออกอ่าน จงอ๋องและใต้เท้าฉินเขียนมาคนละฉบับ
ใต้เท้าฉินเอ่ยถึงเรื่องที่เจ้าตัวเข้ารับตำแหน่งใหม่ กล่าวว่าผู้คนมากมายล้วนรู้จักเขา จึงอยากให้ลู่อี้รีบประสบความสำเร็จเร็วขึ้นหน่อย เช่นนี้จะได้ไปพบกันในเมืองหลวงเร็ววัน
จดหมายของจงอ๋องกลับวุ่นวายเล็กน้อย ไม่มีอะไรร้ายแรง เพียงแค่สัตว์เลี้ยงของเขาทำให้ผู้คนหวาดกลัวและเขมือบคนในเมืองไปสองสามคน ทว่าฮ่องเต้ชราโปรดปรานเขา ยามนี้จึงเดินกร่างไปทั่วเมืองหลวง
ลู่อี้ “…”
จงอ๋องนั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยโง่งม
ฮ่องเต้ ‘โปรดปราน’ จงอ๋องเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าใช้ลูกชายเป็นคมดาบ ใช้เขาจัดการกับขุนนางเก่าแก่ที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ท้ายที่สุดผู้ที่เป็นแพะรับบาปก็คือจงอ๋อง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ชราผู้นั้น
จดหมายของมู่ซืออวี่ฉบับนี้คงเป็นเหวินอี้ที่เขียนมา
ลู่อี้ไม่ได้เปิดดู ตอนเย็นจึงส่งให้มู่ซืออวี่
กลางดึก โจวป๋อเหวินที่ดื่มจนเมามายเดินร้องเพลงกลับบ้าน
บ้านหลังเล็กนี้เขาเพิ่งซื้อไว้ เพื่อความสะดวกในการอยู่อาศัยระยะยาวเมื่อเมืองฮู่เป่ยรุ่งเรืองขึ้นในอนาคต
ทันทีที่เขาเข้ามาในประตู ถ้วยชาใบหนึ่งก็ถูกเขวี้ยงใส่เขา โชคดีที่ถ้วยชาถ้วยนั้นไม่ได้ทุบเข้าที่หัวเขา ทว่าโดนอกเขาแทน
เขาลูบอกเบา ๆ แล้วตะโกนเสียงดัง “แม่มัน!… เอ่อ ท่านพ่อ?”
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาเยือกเย็น
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพ่อของเขา โจวฟู่กุ้ย
“ท่านพ่อ ท่านมาเมืองฮูเป่ยได้อย่างไร?” โจวป๋อเหวินเดินโซซัดโซเซเข้าไปหา “ท่านพ่อ พวกเราใกล้จะรวยแล้ว ข้าเพิ่งนับถือเป็นพี่น้องกับคนผู้หนึ่ง…”
“ร่ำรวยงั้นรึ เจ้าไม่ดูสภาพตนเองบ้างว่าไร้ประโยชน์เพียงใด ยังอยากจะร่ำรวยอยู่อีกหรือ?” โจวฟู่กุ้ยโมโห “ข้าให้เจ้ามาส่งสินค้าที่เมืองฮู่เป่ย แต่เจ้ากลับดีนัก ไม่ยอมกลับไปแล้ว ดูสภาพเมามายของเจ้าสิ เจ้าไปผูกมิตรกับพวกหัวมังกุท้ายมังกร*[3] อะไรมาอีก?”
“ไม่ขอรับ ท่านฟังข้าก่อน” โจวป๋อเหวินดึงโจวฟู่กุ้ยที่กำลังโกรธให้นั่งลง แล้วเล่าประสบการณ์ในเมืองฮู่เป่ยให้ฟัง “จริง ๆ นะ ปลัดอำเภอเมืองฮู่เป่ยและข้าสนิทสนมราวกับพี่ชายน้องชาย”
โจวฟู่กุ้ยขบคิด
ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองฮู่เป่ยเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งแล้ว หากพวกเขาสามารถผูกสัมพันธ์กับขุนนางที่นี่ได้ ตระกูลโจวจะไม่ก้าวขึ้นไปอีกระดับหรือ?
วันต่อมา โจวฟู่กุ้ยส่งคนไปสืบข่าวเกี่ยวกับนายอำเภอของเมืองฮู่เป่ย
จิ้งจอกเฒ่าอย่างเขาเวลาทำอะไรย่อมต้องทำออกมาให้ดีที่สุด เขาจึงสืบเสาะเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่คนสำคัญในเมืองฮู่เป่ยทั้งหมด นอกจากลู่อี้แล้ว ยังมีเวินเหวินซง นักการเกา เซี่ยคุน และคนอื่น ๆ
“ลู่อี้คนนี้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นลูกชายของลู่ชิงซูจริง ๆ” โจวฟู่กุ้ยมองประวัติของลู่อี้ในมือ
ณ ศาลาว่าการ เซี่ยคุนบอกลู่อี้เรื่องที่โจวฟู่กุ้ยส่งคนมาตรวจสอบเขา
“ดูเหมือนปลาจะงับเหยื่อแล้ว” ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ
“โจวป๋อเหวินฟังคำแนะนำของปลัดอำเภอเวิน เตรียมจะเปิดร้านในเมืองฮู่เป่ยแล้ว อีกไม่นานคงเปิด หากเชิญปลัดอำเภอไป ถึงตอนนั้นท่านสามารถไปทำความรู้จักกับโจวฟู่กุ้ยได้”
“ไม่รีบร้อน หากพวกเรากระตือรือร้นจนเกินไป จิ้งจอกเฒ่าคนนั้นจะมองออกได้ พวกเราเพียงแค่นั่งอยู่บนแท่นตกปลา รอให้ปลางับเหยื่อ” ลู่อี้เอ่ย “พอดีกับระยะนี้ข้าต้องจัดการเรื่องน้องชายใต้เท้าจาง”
“สุนัขตนนั้นอยู่ในคุกจนหวาดกลัวหัวหดแล้ว” เมื่อเอ่ยถึงคนแซ่จางผู้นั้น นักการเกาพลอยรู้สึกยินดีบนความทุกข์ของผู้อื่น “ข้านำเขาไปขังในคุกที่เต็มไปด้วยผู้ร้ายฆ่าคนตาย ได้ยินว่าเพียงคืนเดียวก็ถูกคนถลกกางเกง กลัวจนฉี่ราดไปแล้ว เช่นนี้เขาจึงรอดมหันตภัยมาได้”
“อีกไม่นานแล้ว พาเขาตามข้าไปหาใต้เท้าจาง”
ลู่อี้กำลังจะออกเดินทางอีกครั้งแล้ว จึงถามมู่ซืออวี่ว่านางว่างหรือไม่ หากนางว่างก็ไปเดินเล่นกับเขาเสียหน่อย
มู่ซืออวี่งานยุ่งเสียจนเท้าแทบไม่แตะพื้น มีเวลาเสียที่ใด?
ระยะนี้ผู้ค้าขายต่างหลั่งไหลมารวมตัวกันในเมืองฮู่เป่ย พวกเขาล้วนเสนอให้ตั้งกลุ่มการค้าขึ้น และนางเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้า นางปฏิเสธแล้ว ทว่าทุกคนไม่ยอมให้นางปฏิเสธ ดังนั้นจึงทำได้เพียงแบกรับภาระนี้ไว้
[1] เอาหัวใจไปให้ผู้อื่นเก็บไว้ หมายถึง เปิดอกเชื่อผู้อื่นอย่างหมดใจ
[2] ศาลาพักม้า คือ จุดที่เจ้าหน้าที่สารแวะพักม้า
[3] หัวมังกุท้ายมังกร หมายถึง ไม่เข้ากัน ผิดเพี้ยนไป ไม่เป็นไปตามที่ควรเป็น
Comments