ตำนานเทพกู้จักรวาล 699 สหายต่างวัยของภูติบดี

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 699 สหายต่างวัยของภูติบดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เถียนฉู่สร่างเมาขึ้นมา และเขาพึมพำจนแทบฟังไม่ได้ยิน “ให้ข้าวางใจอย่างนั้นหรือ ข้ายังไม่รู้เลยว่ากายเนื้อของข้าอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ และก็ไม่รู้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่ไหม ตอนนี้หัวใจของข้าแทบจะกระดอนออกมาจากปากแล้ว…”

กิเลนมังกรและฉีเจี่ยวอี๋ไม่รู้เรื่องรู้ราวโดยสิ้นเชิง และไปดื่มสุรากันต่อ กิเลนมังกรกรอกสุราเข้าปากในรวดเดียว เสร็จหนึ่งไหในไม่กี่วินาที

ในขณะที่ฉีเจี่ยวอี๋มุดหัวเข้าไปในไห และเพราะว่าปากไหมันค่อนข้างกว้าง ก็เลยมีที่พอให้เขาเอาหัวยัดเข้าไปได้

กิเลนมังกรหัวเราะคิกคักไม่มีหยุด “น้องสาม หยุดดื่มแบบนั้นได้แล้ว เดี๋ยวเจ้าก็จมเหล้าตายหรอก น้องสาม น้องสาม…”

สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปเมื่อเห็นฉีเจี่ยวอี๋แน่นิ่งไม่ไหวติงหลังจากเอาหัวมุดเข้าไปในไหสุรา กิเลนมังกรกำลังจะเข้าไปช่วยเหลือเขา แต่ทันใดฉีเจี่ยวอี๋ก็ดึงศีรษะของเขาออกมาจากไหและหัวเราะร่า “ข้าหลอกให้พี่รองตกใจได้เลยใช่ไหมล่ะ หัวของเจ้านั้นใหญ่เกินไป เจ้าก็เลยมุดเข้าไปไม่ได้ ตอนที่ข้ามุดหัวเข้าไปดื่มสุราจากข้างในไหนั้น มันช่างสะใจยิ่งนัก ข้าสามารถใส่หัวทั้งเก้าลงไปในสุราเก้าไห เจ้ารอดูนะ…”

ฉินมู่ชมดู และอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา

ฉีเจี่ยวอี๋เป็นเด็กหนุ่มโดดเด่นเหนือธรรมดาจากสภาสวรรค์ นามของเขาคือเจี่ยวอี๋ อันแสดงว่าเขาเป็นผู้เลิศล้ำไปด้วยปัญญาอย่างไม่มีใครทัดเทียม แต่กระนั้นหลังจากที่เขาประสบความล้มเหลวครั้งใหญ่ เขาก็ตกต่ำจนถึงขั้นไปร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับมังกรอ้วน

ภาพนี้ไม่ช้าไม่นานก็จะกลายเป็นตราบาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา

“วิชาฝึกปรือของพุทธเจ้าท้าวสักกะมีจุดอ่อนเล็กน้อย ดังนั้นจึงมีจุดหนึ่งที่ค่อนข้างเปราะบางอยู่บนดาบเทวะประตูจักรพรรดิอันเขาหลอมสร้างขึ้นมา ที่จุดนั้น ข้าจะสามารถเปิดประตูน้อมสวรรค์เพื่อเชื่อมต่อกับแดนใต้พิภพ ประเด็นสำคัญก็คือจะหาตำแหน่งของจุดอ่อนนั้น…”

ฉินมู่ประกายตาวูบไหว และเขาใช้ปราณชีวิตเพื่อก่อสร้างโครงร่างกายเนื้อของพุทธเจ้าท้าวสักกะและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา เขาแปรเปลี่ยนคัมภีร์สักกะเป็นปราณชีวิตและส่งมันไหลเวียนผ่านโครงสร้างกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมนั้น จากนั้นก็คิดคำนวณโดยละเอียด

“ช่องโหว่นี้เคลื่อนไหวไปมาตลอดเวลา”

ฉินมู่คิดคำนวณอยู่หลายเดือน และจ้องไปยังจุดที่แน่นอนจุดหนึ่งบนเส้นทางโคจรปราณในร่างของพุทธเจ้าท้าวสักกะ จุดนั้นคือจุดที่วิชาฝึกปรือของเขามีช่องโหว่

จากนั้นฉินมู่ก็ใช้ปราณชีวิตของเขาเพื่อก่อสร้างโครงสร้างสองมิติของดาบเทวะประตูจักรพรรดิ และจิตนาการว่าตนคือพุทธเจ้าท้าวสักกะ เมื่อเขาหลอมสร้างดาบเทวะและขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือของตน จุดอ่อนในวิชาฝึกปรือของเขาก็จะหลอมรวมเข้าไปในดาบเทวะประตูจักรพรรดิโดยไม่รู้ตัวผ่านการตีเหล็กของเขา

เคร้ง เคร้ง เคร้ง เขาสามารถจินตนาการออกถึงเสียงฟาดตีของค้อนอันดังอยู่ข้างๆ หูของเขาอย่างต่อเนื่อง

สมองของฉินมู่ประมวลผลอย่างบ้าคลั่งขณะที่สัญลักษณ์พีชคณิตมากมายพุ่งวาบผ่านจิตคิดของเขา เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เขาก็พลันลืมตาขึ้นมาและหัวร่อด้วยเสียงอันดัง “เจอล่ะ!”

เขามองไปรอบๆ และพบว่ากิเลนมังกรสลบเหมือดอยู่กับพื้น ฉีเจี่ยวอี๋เผยร่างเดิมของเขา และแปลงร่างเป็นหงส์เพลิงเก้าหัวที่นอนแผ่อยู่ในโถงทางเดิน ขาของเขาก่ายอยู่บนตัวกิเลนมังกร ขณะที่หัวทั้งเก้าของเขายื่นแหย่เข้าไปในเก้าห้อง

เถียนฉู่ยังคงอยู่ดี เขานั่งอยู่บนไหสุราดีและถือสุราอีกไหเพื่อดื่มอย่างเชื่องช้า

“ตื่นๆ พวกเจ้าทุกคนตื่นกันให้หมด!”

ฉินมู่เตะกิเลนมังกรและฉีเจี่ยวอี๋ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราสามารถออกไปได้แล้ว”

ฉีเจี่ยงอี๋สร้างเมาขึ้นมา และมองไปยังสภาพรอบกายด้วยสีหน้ามึนงง กิเลนมังกรก็อ้าปากหาวและตื่นขึ้นมา

ฉีเจี่ยวอี๋พลันระลึกได้ทันทีว่าเขาได้กลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับกิเลนมังกรและเถียนฉู่ไปได้อย่างไร และนั่นทำให้ใบหน้าเขาแดงฉาน เขารู้สึกว้าวุ่น

เถียนฉู่ถือไหสุราเดินเข้ามา กีบเท้าของเขาสร้างเสียงกุบกับขณะที่เขาแย้มยิ้ม “น้องสาม เจ้าสร่างเมาแล้วหรือ ไม่ต้องกังวล ระหว่างที่พวกเราเมามายกันอยู่นั้น พวกเราแค่สาบานกันเป็นพี่น้อง และไม่ได้ทำเรื่องแผลงพิสดารจนเกินไปนัก”

สีหน้าของฉีเจี่ยวอี๋แข็งทื่อ และเขาพึมพำ “ข้าเป็นน้องสามหรือ”

กิเลนมังกรคลานลุกขึ้นมาและสลัดหัวของเขา “เจ้าอายุน้อยกว่าข้าร้อยปี ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเจ้าต้องเป็นน้องสาม พวกเราได้กระทำสัตยาบันภูติบดีว่าพวกเราจะตายร่วมกัน…”

“พวกเราสาบานต่อภูติบดีหรือ”

สายตาของฉีเจี่ยวอี๋เต็มไปด้วยความแตกตื่นและหวาดผวา เขาพูดอะไรไม่ออก “เหล้าเข้าปากพาผู้คนยุ่งเหยิงจริงๆ”

ฉินมู่เดินไปตามโถงทางเดินยาวนั้นและสำรวจทุกๆ ห้อง “นี่ไม่ใช่เหล้าเข้าปากพาผู้คนยุ่งเหยิงหรอก สุราพวกนี้ไม่ได้ทำให้ใครเมามาย แต่เป็นพวกเจ้าเองที่ทำให้ตนเองเมามาย สุราดีที่นี่อันที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ก่อรูปขึ้นมาจากสำนึกรู้ และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้ ไม่ว่าเจ้าจะดื่มมันเข้าไปมากเท่าไร สุราก็ไม่หมดสิ้นเสียที ผู้ช่วยเสนาบดีซ้ายเอี๋ยนเฉ่าชิงแห่งสภาสวรรค์จะต้องเป็นตัวตนที่ครอบครองทักษะเทวะสำนึกรู้อันแข็งแกร่ง เขาใช้สำนึกรู้อันทรงพลังของเขาเพื่อแปรเปลี่ยนให้เป็นสุราดีเหล่านี้ และในเมื่อพวกเจ้าอยู่ในสถานะของจิตวิญญาณดั้งเดิม การดื่มสุราก็เท่ากับวกเจ้าดื่มทักษะเทวะสำนึกรู้ของเขาเข้าไป ทักษะเทวะของเขาคือสิ่งที่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกเมามาย”

กิเลนมังกร เถียนฉู่ และฉีเจี่ยวอี๋เดินตามไปข้างหลังเขา และกิเลนมังกรก็ถามด้วยความฉงนสงสัย “มันมีทักษะเทวะแบบนี้ด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้น ที่ผ่านมาพวกเราก็ดื่มอากาศน่ะสิ?”

“ไม่ใช่อากาศธาตุล้วนๆ มันเป็นรูปเงาสำนึกรู้ของเอี๋ยนเฉ่าชิง”

ฉินมู่เปิดประตูห้องหนึ่งและชะโงกหัวเข้าไปดูข้างใน เขานำเอาไหสุราออกมาไหหนึ่ง และกระแทกมันด้วยคลื่นสำนึกรู้อันแข็งแกร่ง สำนึกรู้ของเขาถึงกับทำให้ไหสุรานี้จางลงจนกระทั่งหายวับไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา

“นี่คือการที่ข้าใช้สำนึกรู้ของข้าเพื่อลบล้างสำนึกรู้ของเอี๋ยนเฉ่าชิง แน่ล่ะ เขานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง และสร้างไหสุราจำนวนมากมาย สำนึกรู้ของข้าไม่เพียงพอที่จะลบล้างภาพลวงตาอันเขาสร้างเอาไว้โดยสิ้นเชิง ทุกครั้งที่พวกเจ้าดื่มเข้าไป ก็เท่ากับสำนึกรู้ของพวกเจ้าต้องรับการโจมตีหนึ่งหน และดังนั้นพวกเจ้าจึงมีความรู้สึกเมามาย”

ฉินมู่คำนวณห้องต่างๆ และดวงตาของเขาก็พลันลุกวาบ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่ และในตอนนี้!”

ทุกคนไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร และฉินมู่ก็ผลักประตูเปิดออกด้วยกำลังแรง แสงสว่างพวยพุ่งออกมาจากข้างหลังประตู และมันทำให้ทุกคนต้องยกมือขึ้นมาป้องดวงตาเอาไว้

ฉินมู่เดินเข้าไปในห้อง กิเลนมังกรก็เดินตามเข้าไป เถียนฉู่และฉีเจี่ยวอี๋ก็รีบเร่งเท้าเข้าไปในห้อง เมื่อพวกเขาได้ทัศนวิสัยกลับคืนมา ก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง

มันไม่ใช่ห้อง ในทางตรงข้าม มันเป็นโครงสร้างของห้วงมิติประหลาดพิสดารที่ไม่มีแบบแผน ซึ่งก่อตัวขึ้นมาจากอักษรรูนทุกชนิด อักษรรูนประเภทต่างๆ กันได้ก่อสร้างขึ้นมาเป็นชิ้นส่วนมิติอวกาศที่แตกต่าง ชิ้นส่วนมิติอวกาศเหล่านี้เหมือนกับฟันเฟืองที่เกาะเกี่ยวซึ่งกันและกัน

เถียนฉู่พึมพำ “ข้าเคยได้เปิดทุกๆ ห้องที่นี่มาก่อน ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นห้องนี้เลย”

จนถึงบัดนี้ เขาจึงเพิ่งสังเกตเห็นฉินมู่อันกำลังเดินนำหน้าอยู่ ฉินมู่ได้กลายเป็นคนกระดาษ!

ฉินมู่นั้นเหมือนกับคนกระดาษที่บางเฉียบไร้ความหนา เขาเดินไปอยู่ข้างหน้าพวกเขา!

เถียนฉู่ส่ายหัวและพลันตระหนักว่าเขาสามารถมองเห็นก้นของตนเองได้!

เขาก็กลายเป็นคนกระดาษไปด้วย

กิเลนมังกรและฉีเจี่ยวอี๋ก็ไม่แตกต่างกัน!

พวกเขาล้วนแต่เป็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนเอง และปกติแล้วจิตวิญญาณดั้งเดิมจะเป็นสิ่งที่มีรูปทรงสามมิติ กระนั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องนั้น พวกเขาก็ถึงกับสูญเสียมิติความลึกไป

“ห้องนี้มีมาอยู่ตลอด แต่มันเป็นจุดอ่อนของพุทธเจ้าท้าวสักกะ ยิ่งไปกว่านั้น ห้องนี้จะเคลื่อนที่และแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา ต่อให้เจ้าเปิดประตูทุกบานพร้อมๆ กัน ก็อาจจะไม่สามารถหามันเจอได้”

ปากของฉินมู่ปรากฏข้างหลังศีรษะของเขา และนั่นทำให้กิเลนมังกร เถียนฉู่ และฉีเจี่ยวอี๋ ขนหัวลุก

ปากที่ข้างหลังศีรษะฉินมู่เปิดและปิดเพื่อกล่าววาจา “เจ้าจะต้องคิดคำนวณเวลาและสถานที่ที่ถูกต้องในการเปิดประตู เมื่อนั้นเจ้าถึงจะสามารถค้นพบที่แห่งนี้ หลังจากเข้ามาในดาบเทวะประตูจักรพรรดิ โครงสร้างของสภาพแวดล้อมรอบๆ ดาบเทวะนั้นเป็นโลกสองมิติ และสถานที่แห่งนี้มีขึ้นมาเพราะพุทธเจ้าท้าวสักกะตระหนักว่าเขามีจุดอ่อนในตอนหลอมสร้าง ดังนั้นเขาจึงสร้างห้องเหล่านี้เพื่อเก็บสิ่งของจิปาถะ ที่นี่คือห้วงอวกาศหนึ่งมิติ ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เข้ามาที่นี่ก็จะแบนไปหมด”

ชิ้นส่วนมิติอวกาศอันเหมือนฟันเฟืองลอยผ่านพวกเขาไปอย่างเงียบเชียบ และมันก็เป็นภาพอันเปล่งประกายละลานตาจริงๆ

มีอักษรรูนพิสดารและหายากมากมายซึ่งอยู่ในชิ้นส่วนมิติอวกาศ และมันน่าจะเป็นอักษรรูนแห่งจักรพรรดิก่อตั้ง

จักรพรรดิก่อตั้งได้ออกแบบดาบเทวะประตูจักรพรรดิเพื่อให้พุทธเจ้าท้าวสักกะหลอมสร้างขึ้นมา จักรพรรดิก่อตั้งเป็นผู้ออกแบบและมันไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดใดๆ แต่ทว่าทักษะหลอมสร้างตีเหล็กของพุทธเจ้าท้าวสักกะยังไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นเขาจึงสร้างห้องเก็บของแบบนี้เอาไว้

และก็เพราะห้องเก็บของพวกนี้ ฉินมู่และคณะจึงมีโอกาสหลบหนี

ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิก่อตั้งไม่สามารถหลอมสร้างดาบเทวะประตูจักรพรรดิได้ แต่เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพนี้ ฝีมือความสามารถของเขาในการรังสรรค์สมบัติวิเศษจะต้องด้อยกว่าพุทธเจ้าท้าวสักกะ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องให้พุทธเจ้าท้าวสักกะเป็นผู้ตีดาบ

ในสันตินิรันดร์ ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายเชี่ยวชาญด้านงานวิศวกรรม และพวกเขาก็หลอมสร้างอาวุธวิญญาณให้แก่ผู้อื่นเพื่อหาเลี้ยงชีพ

ฉินมู่ศึกษาดูอักษรรูนในชิ้นส่วนมิติอวกาศเหล่านั้น และก็สะท้านจิต อักษรรูนเหล่านี้คือปัญญาญาณแห่งจักรพรรดิก่อตั้ง และหากว่าเขาตรึกตรองเข้าใจแง่อัศจรรย์ของอักษรรูน ก็จะกลายเป็นมรรคผลอันล้ำค่า

“พวกเราเสียเวลาที่นี่นานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นกายเนื้อของพวกเราก็จะตาย” เขาพึมพำ แต่ก็ไม่อาจละสายตาไปจากบรรดาอักษรรูนได้

“พี่ฉิน พวกเรารอไม่ได้อีกต่อไปแล้วนะ!”

ฉีเจี่ยวอี๋เร่งเขา “โลกภายนอกเวลาผ่านไปสามวันแล้ว หากว่ากายเนื้อของพวกเราถูกสัตว์เถื่อนแทะทึ้งล่ะ?”

เถียนฉู่ถอนหายใจกล่าว “กายเนื้อของข้า ตายไปตั้งนานแล้ว…”

“ผู้อาวุโส ข้าอาจจะเคยเห็นกายเนื้อของท่านมาก่อน”

ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ และประตูน้อมสวรรค์อันเหมือนกับกระดาษแผ่นหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นมาในห้องเก็บของ ประตูเปิดอ้า และปราณมารใต้พิภพก็ไหลออกมาทีละชิ้นๆ จากประตู

“ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นเทพเจ้าตนหนึ่งที่ดูเหมือนกับกายาจ้าวแดนดินในหุบเขาภูตผี ข้างหลังเทพเจ้านั้นมีผนึกรูปทรงรังผึ้ง เขามีประตูบานหนึ่งที่ดูคล้ายกับประตูน้อมสวรรค์”

เถียนฉู่อึ้งไปเล็กน้อย และเขาส่ายหัว “หุบเขาภูตผีมันคือที่แบบไหนกัน ตอนที่ข้าสับเขาของภูติบดี ภูติบดีก็ไล่ล่าตามข้ามา และคว้าจับตัวข้า ข้าหนีด้วยความรีบร้อน แต่ภูติบดีนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ แม้ว่าข้าจะหนีออกมาจากแดนใต้พิภพผ่านประตูปริศนาประหารเทพได้ ข้าก็ยังคงไม่อาจสลัดเขาหลุด ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นรูปสลักหิน”

สายตาเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “มือของภูติบดียื่นออกมาจากแดนใต้พิภพและคว้าจับกายเนื้อของข้าเอาไว้ ข้าแปลงร่างเป็นรูปสลักหิน และจิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าก็หนีมาได้ แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ยังมีจิตวิญญาณดั้งเดิมส่วนหนึ่งที่ถูกกักขังเอาไว้ในรูปสลักหิน…ข้าได้หนีเข้าไปในยมโลก และออกมาหลังจากที่หลบหน้าเขาไปสักพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่อาจกลับไปยังกายเนื้อของข้าได้ หากว่าข้ากลับไป ข้าจะถูกจับตัว มันยังคงมีจิตวิญญาณดั้งเดิมกระผีกเล็กๆ ของข้าอยู่ในรูปสลักหิน และข้ายังคงรู้สึกได้ถึงการคว้าบีบในกำมือของเขา…”

เขาตัวสั่นเทิ้มและรีบเปลี่ยนเรื่อง “ใช่แล้ว ประตูน้อมสวรรค์ที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านั่นคือประตูนี้หรือ ประตูนี้คล้ายประตูปริศนาประหารเทพของข้า แต่มันก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แปลกจริง อะไรคือกายาจ้าวแดนดิน”

ฉินมู่กล่าว “กายาจ้าวแดนดินนั้นยากที่จะอธิบายเพียงสองสามคำ ท่านคือกายาจ้าวแดนดินปลอม ข้าจะอธิบายให้ท่านฟังโดยละเอียดในภายหลัง ตอนนี้พวกเรารีบไปก่อเถอะ ข้าจะอยู่รั้งข้างหลัง”

ฉีเจี่ยวอี๋ก้าวเข้าไปในประตูเป็นคนแรก และกิเลนมังกรก็ลังเล แต่ถึงอย่างไรเขาก็กระโดดเข้าไป เคราแพะภูเขาของเถียนฉู่สั่นระริก และเขาก็พลันถอยด้วยความขลาดกลัว “หากว่าข้าเข้าไปในแดนใต้พิภพ ภูติบดีจะต้องเห็นข้าแน่ๆ ข้าอยู่ที่นี่ดีที่สุดแล้ว…”

ฉินมู่ปลอบใจเขา กล่าว “ผู้อาวุโส ท่านวางใจได้เลย ข้ามีมิตรภาพกับภูติบดี!”

เถียนฉู่ก้าวเข้าไปในประตูน้อมสวรรค์พลางตัวสั่นเทิ้ม “ภูติบดีนั้นไร้อารมณ์ เขาจะไปมีมิตรภาพกับเจ้าได้อย่างไร…”

เขาเดินเข้าไป และฉินมู่ก็มองไปรอบๆ ก่อนที่จะเดินเข้าประตูพร้อมกับถอนหายใจ “อักษรรูนแห่งจักรพรรดิก่อตั้งเหล่านี้เพริศแพร้วพิสดาร และแสดงให้เห็นว่ามรรคาและวิชาของเขานั้นลึกล้ำสักเพียงไหน ผู้ที่มีความสามารถและปัญญาสูงล้ำขนาดนี้จะกลายเป็นชายแก่ไม่เอาไหนที่ไม่กล้าออกไปจากหมู่บ้านไร้กังวลได้อย่างไรกันนะ…”

เขาเก็บความสงสัยของเขาเอาไว้ก่อน และก้าวผ่านประตูน้อมสวรรค์เข้าไปในแดนใต้พิภพ

ขณะที่เขาเหยียบลงมั่นอยู่นั่นเอง ตะเกียงดวงหนึ่งก็พลันสาดส่องจากความมืด เมื่อเรือน้อยและผู้เฒ่าอันมีใบหน้าเลือนลางมองเข้าไปไม่เห็นแล่นเรือเข้ามาอย่างเงียบเชียบ

ความมืดไร้ประมาณอยู่รอบๆ ตัวพวกเขา และมีแต่แสงตะเกียงที่ส่องลงไปบนใบหน้า

ผู้เฒ่าใต้ตะเกียงลุกขึ้น และโบกมือ “ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์น้อมคารวะราชาสวรรค์แดนบาดาล และโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ!”

“โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ?”

เถียนฉู่มองไปที่ฉินมู่และอึ้งไปเล็กน้อย เขาพลันหัวเราะด้วยเสียงอันดัง และความกังวลก่อนหน้าของเขาก็หายวับไปจนสิ้น รัศมีอันไร้เทียมทานพวยพุ่งออกมา และเขาก็กลายเป็นใหญ่โตโอฬาร จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขามหึมาเสียจนฉินมู่และคนอื่นๆ กลายเป็นเล็กจิ๋วอย่างเหลือเชื่อ เมื่อยืนเทียบอยู่ที่กีบเท้าของเขา เขาคารวะทักทายด้วยเสียงอันดัง “ผู้ช่วยเสนาบดีซ้ายแห่งรัชสมัยเทวะจักรพรรดิก่อตั้ง เถียนฉู่ น้อมคารวะราชันย์ขุนนางเทียมสวรรค์!”

ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ราชาสวรรค์ ภูติบดีได้รอท่านอยู่นานแล้ว เชิญขึ้นเรือ”

รัศมีของเถียนฉู่พังทลายลงมาทันที และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็หดเล็กลงมาอย่างรวดเร็ว เขาหัวเราะในคอ “ข้าก็กะจะไปวิงวอนขออภัยโทษจากภูติบดีอยู่เช่นกัน แต่ข้าไม่คิดเลยว่าจะถูกกักขังเอาไว้หลายปีดีดัก ดังนั้นข้าจึงไม่มีโอกาสก้าวเข้าไป”

เขาลอบจิ้มหลังฉินมู่และกระซิบด้วยเสียงสั่น “เจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับภูติบดีแน่นะ?”

“ไม่ต้องห่วง”

ฉินมู่ตบหน้าอกตนเองปึกๆ “ภูติบดีและข้าเป็นสหายรักที่คบหากันมาช้านาน เขาจะไว้หน้าข้าอยู่บ้างไม่มากก็น้อย”

เรือน้อยลงไป และผู้เฒ่านำทางความตายก็ถลึงตาจ้องเขา “เมื่อข้าสัมผัสได้ว่ามีคนเปิดประตูน้อมสวรรค์ ข้าก็รู้ทันทีว่าต้องเป็นเจ้า! เจ้ามาก่อเรื่องวุ่นวายอีกแล้ว! ถ้าเจ้าก่อเรื่องอีก ภูติบดีจะจับเจ้ากิน!”

สีหน้าของเถียนฉู่กลายเป็นซีดเผือด และเขาก็ทรุดลงไปกองกับพื้น เขาคิดในใจ มิตรภาพแบบนี้ไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้เลยสักนิด ข้าตายแน่ๆ!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด