Dungeon Defense (WN) 321 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (9)
บทที่ 321 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (9)
* * *
ผ่านมาแล้วสี่ปี ที่เกิดการลุกฮือขึ้นครั้งใหญ่ของกลุ่มนิยมสาธารณรัฐโดยมีเมืองมั่งคั่งมากมายเป็นศูนย์กลาง
ผลลัพธ์ก็คือ มีเมืองประกาศตัวเป็นอิสระเกือบยี่สิบกว่าเมือง
เมืองอิสระเหล่านั้นก็ปกครองตัวเอง เมืองเหล่านั้นแอบให้การสนับสนุนพวกสาธารณรัฐเป็นการลับ และเป็นดินแดนที่ท่านลอร์ดทั้งหลายฝ่ายสาธารณรัฐให้ความสนใจเป็นอันมาก
—เหล่าท่านทูตตัวแทนเดินจากมาจากสถานที่เกือบเจ็ดสิบแห่ง ไม่มีทูตรายใดมาถึงเพียงลำพัง ทุกฝ่ายต่างพยายามทำให้กลุ่มทูตตัวเองดูยิ่งใหญ่เกินจริงด้วยกันทั้งนั้น
มีน้อยคนนักที่มองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้มอันขื่นขม
“อิวาร์, ดูเจ้าพวกนั้นสิ”
ผมนั่งอยู่ริมระเบียงในอาคารที่เช่ายืมมาชั่วคราว
ที่พักแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง ทำให้พวกเรามองเห็นถนนได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้ เหล่าทูตจาก <พันธมิตรเมืองอิสระตอนเหนือของฟรานเคีย> กำลังเดินเท้าเข้ามาที่ถนนพร้อมกับบรรเลงดนตรีเสียงดัง
“เจ้าคนพวกนี้แหละที่ลุกขึ้นมาเพื่อปกป้องรักษาความปลอดภัยในสิทธิของผู้คน
แต่ดูเหมือนว่า ‘ผู้คน’ ที่ว่าจะหมายถึงเฉพาะแต่ บุคคลผู้มั่งคั่งเท่านั้น”
“ขอประทานอภัยด้วยค่ะ, ฝ่าบาท
แต่หากปราศจากอำนาจทางการทหารแล้วก็ไม่มีอาจได้สิทธิในการปกครองตนเอง”
อิวาร์ยืนข้างกายผมในชุดเมด
“พลังทางการทหารของเมืองนั้นขึ้นอยู่กับว่า สามารถจ้างและรักษาทหารรับจ้างได้นานแค่ไหน
หากบอกว่า เมืองปกครองตนเองอยู่ได้โดยไม่มีเงินตราไหลเวียนก็ออกจะผิดหลักเหตุผลจนเกินไป
ปัจจัยสำคัญในเมืองเหล่านี้ย่อมต้องเป็นความมั่งคั่งอยู่แล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…….”
ผมควงไปป์ในมือ
“สุดท้ายแล้ว มีแต่เมืองที่มั่งคั่งเท่านั้นที่ลุกฮือขึ้นมาได้ แต่ว่านะ อิวาร์ เจ้าไม่คิดว่าจริงๆแล้วผู้ยากไร้ต่างหากที่ปรารถนาอิสรภาพอย่างนั้นหรือ?”
“ผู้น้อยนี้คิดต่างออกไปค่ะ”
แวมไพร์สาวน้อยผู้ถวายความภักดีให้กับผม ยังคงแสดงความออกมาโดยไม่รอช้า
“คนจนนั้นจะไม่ใส่ใจและไม่มีอิทธิพลใดต่อชาติ
จึงเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะให้คนประเภทนั้นมีสิทธิ์ในการโหวตว่า ประเทศชาติควรปกครองอย่างไร ”
“ทัศนคติแบบนั้นสมกับเป็นเธอจริงๆ”
ผมหัวเราะเบาๆ
สิ่งที่อิวาร์พูดมาก็เป็นความเห็นทั่วๆไปของชาวสาธารณรัฐ ณ ตอนนี้
ประชาชนทุกคนสมควรได้รับสิทธิ์ในการโหวตตราบใดที่ยังอยู่ในระบบที่มีรัฐสภา
แต่ถึงอย่างไรก็ดีให้ทุกคนมีสิทธิ์โหวตได้นั้นมันก็มากเกินไป
นั่นก็เพราะแต่ละคนต่างมอบผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติในจำนวนที่ไม่เท่ากัน
คนมั่งคั่งร่ำรวยก็จ่ายภาษีมากกว่าเมื่อเทียบกับคนจน
ทหารรับจ้างเองก็รับเงินภาษีพวกนั้น เมืองก็เลยสามารถปกป้องพลเมืองไว้ได้
มันย่อมเป็นเรื่องปรกติที่คนรวยจะมีสิทธิ์ในการโหวตในเมื่อพวกเขานั้นจ่ายเงินเพื่อปกป้องเมืองในสัดส่วนที่มากกว่า
ด้วยเหตุนั้นแล้ว สิทธิในการโหวตจึงไม่สมควรมอบให้กับชาวนาจนๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ทาสผู้ไม่เคยจ่ายภาษีสักแดงเดียวยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“อิวาร์, เหมือนมีกลิ่นเหม็นเน่ามาจากที่ไหนสักแห่ง มันเป็นกลิ่นที่มาจากความแตกต่างกันมากมายเสียเหลือเกิน
หรือว่ามีข้าคนเดียว ที่ได้กลิ่นเหม็นบูดมาจากขบวนแถวพวกนั้นกัน?”
ผมยั่วล้อ
“เหล่าคนที่กลืนกินอาหารมากยิ่งกว่าผู้หิวโหยทั้งหลาย
เหล่าคนผู้อิ่มหนำจนไม่ต้องการอาหารใดอื่นอีก
เช่นเดียวกันกับ เหล่าคนผู้ต้องการอิสรภาพมากยิ่งกว่าใครนั้นไม่มีใครเกินพวกทาสไปแล้วล่ะ
แล้วนั่นน่ะมันอะไรกัน?
เจ้าพวกที่ร่ำร้องหาเสรี อิสรภาพ กลับเป็นหมู่ผู้ที่ตะโกนว่า ทาสไม่สมควรได้รับการปลดปล่อย และไม่ควรได้รับสิ่งใดๆเลยอย่างนั้นหรือ”
“…….”
ิอิวาร์ก้มหัวลงชั่วครู่ราวกับกำลังใช้ความคิด
“แต่ฝ่าบาทคะ มันจะเป็นไม่เป็นการลำเอียงหรือกับการมอบอิสรภาพอันเท่าเทียมกันให้กับผู้ที่ไม่เคยทำประโยชน์ใดแม้แต่น้อยนิดให้กับสังคม?”
“ดูเหมือนผู้คนจะเข้าใจเรื่องนั้นผิดไป
การอ้างว่า คนพวกนั้นไม่ทำประโยชน์ใดต่อสังคมถือว่าไม่ถูกต้อง
พวกนั้นไม่มีอะไรที่ถือว่าเป็นประโยชน์ต่างหาก จึงจะกล่าวถูกต้องกว่า”
ถ้าหากจะบอกว่า คนรวยมีแต้มความรวย 1000 หน่วย ส่วนคนจนมีแต้ม 10 หน่วย
ยามที่เมืองประสบภัยอันตราย คนรวยก็ยินดีที่จะจ่ายภาษีเพิ่มอีก 10 หน่วย
ในขณะที่คนจนไม่อาจจ่าย 10 หน่วยนั้นได้ ให้ได้ก็ 1 หน่วย
“……แต่คนรวยก็ทำงานอย่างหนักเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งขึ้นมาให้ถึง พันหน่วยนะคะ”
อิวาร์ปฏิเสธยามที่ได้ยินการเปรียบเปรยของผม
“ในขณะที่คนจนยังคงขี้เกียจและผลาญเวลาทิ้งไปแทนที่จะทำงานอย่างหนัก
จริงอยู่ที่มีคนที่แขนขาขาดไป และมีคนที่ไม่อาจทำงานหนักได้แม้จะอยากทำ
ถึงอย่างนั้นคนพวกนั้นก็สมควรได้รับการรักษาเยียวยา”
เธอสูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็ก และเธอเองก็ได้สร้างบริษัทการค้าขนาดใหญ่ขึ้นในโลกปีศาจด้วยสองมือของเธอเอง
ดังนั้นแล้วสิ่งที่อิวาร์ ล็อดบรอคพูดมานั้น ก็ถือว่า ถูกต้องอย่างแน่นอน
“หากไม่นับกรณีนั้น คนยากจนในสังคมก็มาจากความขี้เกียจ”
อ่า ผมเข้าใจแล้ว
นี่เองสินะ ส่วนนี้เองสินะ ที่ทำให้อิวาร์แตกต่างจากลอร่า
ไม่แปลกเลยว่า เหตุผลที่ลอร่ารักผม ทำไมถึงต่างจากการที่ อิวาร์รักผม
ความหงอยเหงากระทบความรู้สึกผมจนทำให้ผมเผลอพูดเสียงต่ำ
“อิวาร์, หากชีวิตของเจ้าระบุว่า ให้ต้องสิ้นอายุขัยในห้าสิบปี เจ้าก็คงไม่สามารถสร้างเคียนคุสก้าขึ้นมาได้ ข้าพูดถูกไหม?”
“ถูกต้องแล้วค่ะ”
“เจ้าอาจก่อตั้งบริษัทสำเร็จได้ก็เพราะเจ้าเกิดมาเป็นแวมไพร์ก็ได้ ดังนั้นข้าขอถามเจ้าอย่างหนึ่ง เจ้าอยากที่จะเกิดมาเป็นแวมไพร์แต่แรกไหม?”
อิวาร์ส่ายหัว
“แน่นอนว่าไม่ค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอถามอย่างเดียวกัน พวกคนรวยนั้นเกิดมาเพราะพวกเขาอยากเกิดมารวยอย่างนั้นหรือ?
คนจนเล่า พวกเขาอยากเกิดมาจนอย่างนั้นหรือ?”
“……ก็ไม่เป็นเช่นนั้นค่ะ”
ผมพ่นควันผุยหลังดูดไปป์
ควันค่อยๆลอยล่องขึ้นไปบนท้องฟ้าในฤดูหนาวเป็นสีขาวเหมือนกระดาษห่ออาหาร
“อิวาร์, ทุกอย่างมันก็ไม่ต่างกันเลยมิใช่หรือ?
เจ้าคิดว่า ข้าอยากเกิดมาเป็นดันทาเลี่ยนเพราะข้าอยากเป็นอย่างนั้นหรือ?
หรือเจ้าคิดว่า พวกเขาขี้เกียจเพราะพวกเขาต้องการที่จะเป็นแบบนั้น และพวกคนขยันก็อยากจะที่ขยันเพราะอยากเป็นแบบนั้นกันล่ะ?”
ผมตกลงมาสู่โลกนี้แล้วกลายเป็นจอมมารโดยไม่สนความต้องการของผม
ผมจึงสามารถพูดแบบนั้นได้อย่างเต็มปาก
“พวกเราโดนโยนเข้ามาในโลกนับตั้งแต่ที่เราเกิดมา
ไม่ว่าจะเป็นคนพิการไร้แขนขาหรือคนขี้เกียจ พวกเราต่างอยู่บนความจริงเรื่องนั้นเหมือนกัน
นั่นคือ สิ่งที่กำหนดมานับตั้งแต่ตอนที่เจ้าได้เกิดมาแล้ว”
“……ผู้น้อยไม่เห็นด้วยค่ะ ทุกคนนั้นมีเจตจำนงเสรี(free will)”
ผมยิ้มรับ
อิวาร์เอ๋ย เหตุผลที่เธอตกหลุมรักผม ไม่ใช่เพราะเจตจำนงเสรีของเธอเลยแม้แต่น้อย
ผมทั้งชักใยเธอ ผมทั้งเล่นเล่ห์หลอกลวงเธอ
มันไม่มีทั้งนั้นไอ้ความรู้สึกของเธอที่มีต่อผมที่เป็น เจตจำนงอัน ‘เสรี’
เธอควรจะคิดเรื่องนี้ให้ดีๆ
ผมไม่คิดจะบอกเธอเรื่องนี้ ไม่มีวัน
“เอาล่ะ ถึงอย่างไรเราก็เป็นนักการเมืองนะ ไม่ใช่นักปรัชญกา
เรามาพูดคุยเรื่องที่สามารถลงมือ ปฏิบัติได้จริงกันดีกว่า
เธอกำลังจะบอกว่า เป็นการไม่ยุติธรรมนักหาจะให้คนจนและทาสมีสิทธิ์ในการโหวต แต่ก็มีหนทางเหมือนกันที่จะทำให้ทุกคนมีสิทธิ์ในการโหวตได้”
อิวาร์เอียงคอด้วยความสงสัย
“และสิ่งนั้นคือ?”
“เรียบง่ายเลยล่ะ สงครามยังไงล่ะ”
ผมยักไหล่แบบคนติดตลก
“ชนชั้นล่างก็สามารถสมัครเป็นทหารอาสาได้ตอนที่เกิดสงครามขึ้น
พวกนั้นย่อมต้องรับความเสี่ยงต่อชีวิตหากจะปกป้องเมืองตัวเอง
ชีวิตคนๆหนึ่งตอนนี้มีคุณค่ามากเกินกว่า หนึ่งพันโกลด์แล้วด้วยซ้ำ
ดังนั้นแล้ว ผู้คนจะมีความเท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น หากเกิดสงคราม”
“และจะยิ่งมากขึ้นไปอีก หากสงครามยิ่งมีมากครั้งขึ้น…….”
อิวาร์คงต้องงงไปเลยแน่ๆ
“สงครามครั้งใหญ่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับพวกฝ่ายสาธารณรัฐหากต้องการจะยึดครองทวีปนี้ไว้
กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราน่ะยังห่างไกลอีกเยอะ
สงครามที่ผู้คนตายแค่พันคนน่ะมันไม่พอหรอก
มันต้องเป็นสงครามที่คนนับหมื่น นับแสนคนตายเป็นอย่างน้อย”
“นั่น……นั่นเป็นหายนะนะคะ ไม่มีใครปรารถนาหายนะเช่นนั้นแน่”
ผมพยักหน้า
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยบอกไพมอน
แต่เดิมแล้ว ไพมอนเป็นนักนิยมสาธารณรัฐที่จงเกลียดจงชังสงครามที่เกิดขึ้นจากกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา แต่การเริ่มสงครามครั้งใหญ่เพื่อสังคมอันเท่าเทียมกันอย่างนั้นน่ะหรือ?
มีหวังเธอได้ของขึ้น แล้วด่าว่า เป็นการตอแหลเสแสร้งแน่ๆ
อิวาร์มองผมด้วยความอึ้ง
“อย่าบอกนะคะ ฝ่าบาท ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ท่านก่อตั้งกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา และก่อสงครามหุ่นเชิดนั้น……?”
“ฮ่าฮา”
ผมหัวเราะ
“ข้าโยนความคิดเรื่องนั้นทิ้งไปแล้ว
การที่ใครบางคนจะเรียกร้องหาความเท่าเทียมกัน ก็ต้องเป็นเพราะพวกเขารักทุกคนเท่าเทียมกัน
และไม่มีทางที่ผู้คนที่รักทุกคนเท่าเทียมกันจะก่อสงครามได้หรอก
มันย้อนแย้งกันในตัวเองเกินไป”
“…….”
“ไม่มีใครสามารถทำเรื่องแบบนั้นได้”
ผมทอดสายตามองไปที่ย่านการค้าแล้วไม่พูดอะไรต่อ
อากาศวันนี้ไม่หนาวเท่าไหร่นักแม้อยู่ในช่วงฤดูหนาว ทำให้มีชาวบ้านมากมายออกมาดูขบวนของเหล่าทูต
“เจ้าพวกนั้นช่างโง่เขลานัก การแสดงโชว์แบบนั้นมีแต่ให้ผลตรงกันข้ามกับสิ่งที่ต้องการ
พวกนั้นก็แค่อยากโชว์ออฟให้คนอื่นดู แต่กลับไม่สามารถสร้างความประทับใจใดให้กับชาวบ้านได้เลย
และในบรรดาผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ หากจะมีใครน่าจับตามองอย่างน้อยก็ต้องมีการแสดงออกถึงความเป็นระบบระเบียบอย่างชัดเจนมากกว่านี้”
บทสนทนาของพวกเราจบลงที่ตรงนั้น
ตัวแทนของแต่ละฝ่าย แต่ละชาติมาถึงเมืองจนครบภายใน 15 วัน
ก่อนการประชุมจะเริ่มต้นขึ้น ก็มีกลุ่มหนึ่งที่แสดงตัวว่า ยากไร้ขาดแคลนเป็นอย่างมากโผล่ขึ้นมา
ปกติกลุ่มหนึ่งๆก็จะมีสมาชิกอย่างน้อยก็ราว 50 อย่างมากก็ราว 200
แต่กลุ่มนี้กลับมีคนเพียง 10 คน แถมยังไม่ได้มี ชุดเสื้อผ้าหรูหราอะไรอีกด้วย
การแต่งตัวของพวกนั้นอยู่ห่างไกลจากคำว่า ร่ำรวยมั่งคั่งไปไกลโข
ธงที่พวกนั้นถือว่าเป็นพื้นแดงและมีอินทรีขาวอยู่ตรงกลางผืนธง
นั่นคือ ธงของสาธารณรัฐฮับบวร์ก
ผู้หญิงผมสีเงินสวมเครื่องแบบทหารเดินนำขบวนมา
ทีแรกทุกคนที่อยู่ในย่านการค้าต่างหยอกเย้า หยอกล้อเรื่องรูปลักษณ์ที่แสนยาจกเหลือเกิน บางคนถึงกับหัวเราะเยาะหยันด้วยเสียงดัง
แต่เมื่อมีคนสังเกตเห็นว่า บุคคลผู้นำกองนั้นคือ ท่านคอนซูลแห่งสาธารณรัฐฮับบวร์ก ความเงียบกลับครอบงำถนนทั้งเส้น
“ความรุ่งโรจน์จงมีแด่สาธารณรัฐ!”
ใครบางคนตะโกนขึ้นมา ดังราวกับน้ำทะลักเขื่อน
ชาวเมืองต่างต้อนรับตัวแทนทูตจากสาธารณรัฐฮับบวร์กด้วยเสียงโห่ร้องตะโกน
เสียงปรบมือดังไม่ขาดสายจนกระทั่งอลิซาเบธเดินเข้าไปในทำเนียบของสาธารณรัฐ
ยามเมื่อเธอเข้าไปในตัวอาคารแล้ว กลุ่มคนที่มามุงกันตา่งพูดคุยกันในฐานะที่เป็นประจักษ์พยานผู้เห็นเหตุการณ์
“…….”
ผมเฝ้าดูพวกเขาจากริมระเบียงและดื่มไวน์ไปด้วย
‘ความรุ่งโรจน์จงมีแด่สาธารณรัฐ’
ช่างเป็นวลีที่เหมาะสมนัก ไม่เพียงแต่หมายถึงสาธารณรัฐฮับบวร์กเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงสาธารณรัฐบัทตาเวียอีกด้วย
สิ่งนี้ย่อมทำให้ผู้คนสะดวกใจในเข้าร่วมได้ง่ายขึ้น
แต่ก็มีโอกาสสูงเหมือนกันที่ อลิซาเบธจะวางคนของตัวเองไว้ในท่ามกลางฝูงชน
“เอาจริงๆนะ ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าขันเสียนี่กระไร”
ผมได้แต่ยิ้มชั่วร้ายออกมา
* * *
วันแรกของการประชุมระหว่างตัวแทนเป็นไปอย่างสงบราบรื่น
จะพูดว่า เป็นเหมือนวันแนะนำตัวก็ว่าได้
ตัวตนยิ่งใหญ่แห่งทวีปต่างมารวมตัวกันในฮอลล์งานเลี้ยงและพูดคุยกันอย่างมีความสุข
ผมเองก็ได้เข้าร่วมประชุมโดยมีนักบุญหญิงลองวี่เป็นคู่ควงในงาน
ดูเหมือนนักบุญหญิงลองวี่จะไม่แฮปปี้ตั้งแต่เตรียมตัวแล้ว
“แค่คิดว่า ฉันจะต้องไปงานเลี้ยงกับคนอย่างนาย…….’
“ทั้งหมดนี่ก็เพื่อบริททานี่ อดทนไว้เถอะ”
“ฉันรู้น่า!”
ลองวี่กัดฟัน
“นายไม่ต้องมาย้ำเตือนฉันทุกครั้งก็ได้
โอ้เอ๋ย องค์พัลลัส เอเธน่า
โปรดประทานอภัยต่อข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยของท่านด้วย…….”
เธอสวดภาวนาต่อเทพีของเธอด้วยน้ำเสียงสิ้นหวังตลอดนั่งรถม้าไปด้วยกัน
ผมรู้เรื่องที่เธอมักสวดภาวนากับเทพีของเธอก็ตอนที่ได้อยู่อาคารเดียวกันหลายวัน
แต่มนุษย์ที่รู้เรื่องที่เธอสวดภาวนาด้วยน้ำเสียงแบบนั้นในรถม้าก็หัวหลุดจากบ่าไปแล้ว
ผู้คนต่างตอบรับการมาถึงของพวกเรากันอย่างดี จอมมารที่ควงคู่มากับนักบุญหญิง ย่อมต้องเป็นที่ตกตะลึง ดึงดูดสายตาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ในเมื่อมันเป็นการจับคู่กันของสิ่งที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้
ยามที่มีคนเข้ามาใกล้พวกเรา แล้วถามอ้อมๆเรื่องว่า ทำไมพวกเราถึงมาอยู่ด้วยกันได้
นักบุญหญิงลองวี่ก็จะเผยรอยยิ้มอันแสนสมบูรณ์แบบออกมาแล้วตอบพวกเขาไป
“ฉันได้ยินว่า งานนี้ไม่แบ่งแยกกันระหว่างมนุษย์กับปีศาจ
เพื่อสันติสุขระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ฉันจึงได้เชื้อเชิญท่านเค้าท์พาลาทีน ดันทาเลี่ยนมางานนี้ด้วยกัน
ท่านเค้าท์พาลาทีนเองก็ตอบรับคำเชิญของฉันด้วยความยินดี พวกเราจึงมาอยู่กันที่นี่ในวันนี้ค่ะ”
ย่อมเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะสรรเสริญความมีศรัทธาอันแรงกล้าของท่านนักบุญหญิง
ผมกวาดตามองรอบข้างอย่างผ่อนคลายขณะที่ผู้คนมาห้อมล้อมเรา อันที่จริงแล้วผมมองหาอลิซาเบธ
ผมกวาดตามองอีกฟากหนึ่งของฮอลล์จัดงานเลี้ยงผมก็เห็นแววตาคู่หนึ่งที่ดึงดูดผม
หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีเงินยืนอยู่พร้อมแก้วในมือ
(TTL : ควงนักบุญหญิงมาเย้ย โอตะ(หญิง)ที่โอชิตัวเอง
แย้ว่ะ!
ทำลายน้ำใจอลิซาเบธจังครับ พรี่ดัน)
Comments