Dungeon Defense (WN) 321 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (9)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 321 ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 321 – ราชาเหมันต์ (เร็ก ไฮย์มิส) (9)

 

 

 

* * *

 

 

 

ผ่านมาแล้วสี่ปี ที่เกิดการลุกฮือขึ้นครั้งใหญ่ของกลุ่มนิยมสาธารณรัฐโดยมีเมืองมั่งคั่งมากมายเป็นศูนย์กลาง

ผลลัพธ์ก็คือ มีเมืองประกาศตัวเป็นอิสระเกือบยี่สิบกว่าเมือง

 

เมืองอิสระเหล่านั้นก็ปกครองตัวเอง เมืองเหล่านั้นแอบให้การสนับสนุนพวกสาธารณรัฐเป็นการลับ และเป็นดินแดนที่ท่านลอร์ดทั้งหลายฝ่ายสาธารณรัฐให้ความสนใจเป็นอันมาก

 

 

—เหล่าท่านทูตตัวแทนเดินจากมาจากสถานที่เกือบเจ็ดสิบแห่ง ไม่มีทูตรายใดมาถึงเพียงลำพัง ทุกฝ่ายต่างพยายามทำให้กลุ่มทูตตัวเองดูยิ่งใหญ่เกินจริงด้วยกันทั้งนั้น

 

มีน้อยคนนักที่มองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้มอันขื่นขม

 

“อิวาร์, ดูเจ้าพวกนั้นสิ”

 

ผมนั่งอยู่ริมระเบียงในอาคารที่เช่ายืมมาชั่วคราว

ที่พักแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง ทำให้พวกเรามองเห็นถนนได้อย่างชัดเจน

ตอนนี้ เหล่าทูตจาก <พันธมิตรเมืองอิสระตอนเหนือของฟรานเคีย> กำลังเดินเท้าเข้ามาที่ถนนพร้อมกับบรรเลงดนตรีเสียงดัง

 

 

“เจ้าคนพวกนี้แหละที่ลุกขึ้นมาเพื่อปกป้องรักษาความปลอดภัยในสิทธิของผู้คน

แต่ดูเหมือนว่า ‘ผู้คน’ ที่ว่าจะหมายถึงเฉพาะแต่ บุคคลผู้มั่งคั่งเท่านั้น”

 

“ขอประทานอภัยด้วยค่ะ, ฝ่าบาท 

แต่หากปราศจากอำนาจทางการทหารแล้วก็ไม่มีอาจได้สิทธิในการปกครองตนเอง”

 

อิวาร์ยืนข้างกายผมในชุดเมด

 

“พลังทางการทหารของเมืองนั้นขึ้นอยู่กับว่า สามารถจ้างและรักษาทหารรับจ้างได้นานแค่ไหน 

หากบอกว่า เมืองปกครองตนเองอยู่ได้โดยไม่มีเงินตราไหลเวียนก็ออกจะผิดหลักเหตุผลจนเกินไป

ปัจจัยสำคัญในเมืองเหล่านี้ย่อมต้องเป็นความมั่งคั่งอยู่แล้ว”

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…….”

ผมควงไปป์ในมือ

“สุดท้ายแล้ว มีแต่เมืองที่มั่งคั่งเท่านั้นที่ลุกฮือขึ้นมาได้ แต่ว่านะ อิวาร์ เจ้าไม่คิดว่าจริงๆแล้วผู้ยากไร้ต่างหากที่ปรารถนาอิสรภาพอย่างนั้นหรือ?”

 

“ผู้น้อยนี้คิดต่างออกไปค่ะ”

 

แวมไพร์สาวน้อยผู้ถวายความภักดีให้กับผม ยังคงแสดงความออกมาโดยไม่รอช้า

“คนจนนั้นจะไม่ใส่ใจและไม่มีอิทธิพลใดต่อชาติ

จึงเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะให้คนประเภทนั้นมีสิทธิ์ในการโหวตว่า ประเทศชาติควรปกครองอย่างไร ”

 

“ทัศนคติแบบนั้นสมกับเป็นเธอจริงๆ”

ผมหัวเราะเบาๆ

 

สิ่งที่อิวาร์พูดมาก็เป็นความเห็นทั่วๆไปของชาวสาธารณรัฐ ณ ตอนนี้

 

ประชาชนทุกคนสมควรได้รับสิทธิ์ในการโหวตตราบใดที่ยังอยู่ในระบบที่มีรัฐสภา

 

แต่ถึงอย่างไรก็ดีให้ทุกคนมีสิทธิ์โหวตได้นั้นมันก็มากเกินไป

นั่นก็เพราะแต่ละคนต่างมอบผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติในจำนวนที่ไม่เท่ากัน 

 

คนมั่งคั่งร่ำรวยก็จ่ายภาษีมากกว่าเมื่อเทียบกับคนจน

ทหารรับจ้างเองก็รับเงินภาษีพวกนั้น เมืองก็เลยสามารถปกป้องพลเมืองไว้ได้

 

 

มันย่อมเป็นเรื่องปรกติที่คนรวยจะมีสิทธิ์ในการโหวตในเมื่อพวกเขานั้นจ่ายเงินเพื่อปกป้องเมืองในสัดส่วนที่มากกว่า

ด้วยเหตุนั้นแล้ว สิทธิในการโหวตจึงไม่สมควรมอบให้กับชาวนาจนๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ทาสผู้ไม่เคยจ่ายภาษีสักแดงเดียวยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

 

“อิวาร์, เหมือนมีกลิ่นเหม็นเน่ามาจากที่ไหนสักแห่ง มันเป็นกลิ่นที่มาจากความแตกต่างกันมากมายเสียเหลือเกิน

หรือว่ามีข้าคนเดียว ที่ได้กลิ่นเหม็นบูดมาจากขบวนแถวพวกนั้นกัน?”

 

ผมยั่วล้อ

 

“เหล่าคนที่กลืนกินอาหารมากยิ่งกว่าผู้หิวโหยทั้งหลาย

เหล่าคนผู้อิ่มหนำจนไม่ต้องการอาหารใดอื่นอีก

เช่นเดียวกันกับ เหล่าคนผู้ต้องการอิสรภาพมากยิ่งกว่าใครนั้นไม่มีใครเกินพวกทาสไปแล้วล่ะ

แล้วนั่นน่ะมันอะไรกัน?

เจ้าพวกที่ร่ำร้องหาเสรี อิสรภาพ กลับเป็นหมู่ผู้ที่ตะโกนว่า ทาสไม่สมควรได้รับการปลดปล่อย และไม่ควรได้รับสิ่งใดๆเลยอย่างนั้นหรือ”

 

“…….”

 

ิอิวาร์ก้มหัวลงชั่วครู่ราวกับกำลังใช้ความคิด

 

“แต่ฝ่าบาทคะ มันจะเป็นไม่เป็นการลำเอียงหรือกับการมอบอิสรภาพอันเท่าเทียมกันให้กับผู้ที่ไม่เคยทำประโยชน์ใดแม้แต่น้อยนิดให้กับสังคม?”

 

“ดูเหมือนผู้คนจะเข้าใจเรื่องนั้นผิดไป

การอ้างว่า คนพวกนั้นไม่ทำประโยชน์ใดต่อสังคมถือว่าไม่ถูกต้อง

พวกนั้นไม่มีอะไรที่ถือว่าเป็นประโยชน์ต่างหาก จึงจะกล่าวถูกต้องกว่า”

 

ถ้าหากจะบอกว่า คนรวยมีแต้มความรวย  1000 หน่วย ส่วนคนจนมีแต้ม 10 หน่วย

 

 

ยามที่เมืองประสบภัยอันตราย คนรวยก็ยินดีที่จะจ่ายภาษีเพิ่มอีก 10 หน่วย

ในขณะที่คนจนไม่อาจจ่าย 10 หน่วยนั้นได้ ให้ได้ก็ 1 หน่วย

 

“……แต่คนรวยก็ทำงานอย่างหนักเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งขึ้นมาให้ถึง พันหน่วยนะคะ”

 

อิวาร์ปฏิเสธยามที่ได้ยินการเปรียบเปรยของผม

 

“ในขณะที่คนจนยังคงขี้เกียจและผลาญเวลาทิ้งไปแทนที่จะทำงานอย่างหนัก

จริงอยู่ที่มีคนที่แขนขาขาดไป และมีคนที่ไม่อาจทำงานหนักได้แม้จะอยากทำ

ถึงอย่างนั้นคนพวกนั้นก็สมควรได้รับการรักษาเยียวยา”

 

เธอสูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็ก และเธอเองก็ได้สร้างบริษัทการค้าขนาดใหญ่ขึ้นในโลกปีศาจด้วยสองมือของเธอเอง

 

ดังนั้นแล้วสิ่งที่อิวาร์ ล็อดบรอคพูดมานั้น ก็ถือว่า ถูกต้องอย่างแน่นอน

 

“หากไม่นับกรณีนั้น คนยากจนในสังคมก็มาจากความขี้เกียจ”

 

อ่า ผมเข้าใจแล้ว

 

นี่เองสินะ ส่วนนี้เองสินะ ที่ทำให้อิวาร์แตกต่างจากลอร่า

ไม่แปลกเลยว่า เหตุผลที่ลอร่ารักผม ทำไมถึงต่างจากการที่ อิวาร์รักผม

ความหงอยเหงากระทบความรู้สึกผมจนทำให้ผมเผลอพูดเสียงต่ำ

 

“อิวาร์, หากชีวิตของเจ้าระบุว่า ให้ต้องสิ้นอายุขัยในห้าสิบปี เจ้าก็คงไม่สามารถสร้างเคียนคุสก้าขึ้นมาได้ ข้าพูดถูกไหม?”

 

“ถูกต้องแล้วค่ะ”

 

“เจ้าอาจก่อตั้งบริษัทสำเร็จได้ก็เพราะเจ้าเกิดมาเป็นแวมไพร์ก็ได้ ดังนั้นข้าขอถามเจ้าอย่างหนึ่ง เจ้าอยากที่จะเกิดมาเป็นแวมไพร์แต่แรกไหม?”

 

อิวาร์ส่ายหัว

 

“แน่นอนว่าไม่ค่ะ”

 

“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอถามอย่างเดียวกัน พวกคนรวยนั้นเกิดมาเพราะพวกเขาอยากเกิดมารวยอย่างนั้นหรือ? 

คนจนเล่า พวกเขาอยากเกิดมาจนอย่างนั้นหรือ?”

 

“……ก็ไม่เป็นเช่นนั้นค่ะ”

 

ผมพ่นควันผุยหลังดูดไปป์

ควันค่อยๆลอยล่องขึ้นไปบนท้องฟ้าในฤดูหนาวเป็นสีขาวเหมือนกระดาษห่ออาหาร

 

 

“อิวาร์, ทุกอย่างมันก็ไม่ต่างกันเลยมิใช่หรือ? 

เจ้าคิดว่า ข้าอยากเกิดมาเป็นดันทาเลี่ยนเพราะข้าอยากเป็นอย่างนั้นหรือ? 

หรือเจ้าคิดว่า พวกเขาขี้เกียจเพราะพวกเขาต้องการที่จะเป็นแบบนั้น และพวกคนขยันก็อยากจะที่ขยันเพราะอยากเป็นแบบนั้นกันล่ะ?”

 

ผมตกลงมาสู่โลกนี้แล้วกลายเป็นจอมมารโดยไม่สนความต้องการของผม

ผมจึงสามารถพูดแบบนั้นได้อย่างเต็มปาก

 

 

“พวกเราโดนโยนเข้ามาในโลกนับตั้งแต่ที่เราเกิดมา

ไม่ว่าจะเป็นคนพิการไร้แขนขาหรือคนขี้เกียจ พวกเราต่างอยู่บนความจริงเรื่องนั้นเหมือนกัน

นั่นคือ สิ่งที่กำหนดมานับตั้งแต่ตอนที่เจ้าได้เกิดมาแล้ว”

 

“……ผู้น้อยไม่เห็นด้วยค่ะ ทุกคนนั้นมีเจตจำนงเสรี(free will)”

 

ผมยิ้มรับ

 

อิวาร์เอ๋ย เหตุผลที่เธอตกหลุมรักผม ไม่ใช่เพราะเจตจำนงเสรีของเธอเลยแม้แต่น้อย

ผมทั้งชักใยเธอ ผมทั้งเล่นเล่ห์หลอกลวงเธอ

มันไม่มีทั้งนั้นไอ้ความรู้สึกของเธอที่มีต่อผมที่เป็น เจตจำนงอัน ‘เสรี’ 

เธอควรจะคิดเรื่องนี้ให้ดีๆ

 

ผมไม่คิดจะบอกเธอเรื่องนี้ ไม่มีวัน

 

“เอาล่ะ ถึงอย่างไรเราก็เป็นนักการเมืองนะ ไม่ใช่นักปรัชญกา

เรามาพูดคุยเรื่องที่สามารถลงมือ ปฏิบัติได้จริงกันดีกว่า

เธอกำลังจะบอกว่า เป็นการไม่ยุติธรรมนักหาจะให้คนจนและทาสมีสิทธิ์ในการโหวต แต่ก็มีหนทางเหมือนกันที่จะทำให้ทุกคนมีสิทธิ์ในการโหวตได้”

 

อิวาร์เอียงคอด้วยความสงสัย

 

“และสิ่งนั้นคือ?”

 

“เรียบง่ายเลยล่ะ สงครามยังไงล่ะ”

 

ผมยักไหล่แบบคนติดตลก

 

“ชนชั้นล่างก็สามารถสมัครเป็นทหารอาสาได้ตอนที่เกิดสงครามขึ้น

พวกนั้นย่อมต้องรับความเสี่ยงต่อชีวิตหากจะปกป้องเมืองตัวเอง

 

ชีวิตคนๆหนึ่งตอนนี้มีคุณค่ามากเกินกว่า หนึ่งพันโกลด์แล้วด้วยซ้ำ

ดังนั้นแล้ว ผู้คนจะมีความเท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น หากเกิดสงคราม”

 

“และจะยิ่งมากขึ้นไปอีก หากสงครามยิ่งมีมากครั้งขึ้น…….”

 

อิวาร์คงต้องงงไปเลยแน่ๆ

 

 

“สงครามครั้งใหญ่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับพวกฝ่ายสาธารณรัฐหากต้องการจะยึดครองทวีปนี้ไว้

กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราน่ะยังห่างไกลอีกเยอะ

 

สงครามที่ผู้คนตายแค่พันคนน่ะมันไม่พอหรอก

มันต้องเป็นสงครามที่คนนับหมื่น นับแสนคนตายเป็นอย่างน้อย”

 

“นั่น……นั่นเป็นหายนะนะคะ ไม่มีใครปรารถนาหายนะเช่นนั้นแน่”

 

ผมพยักหน้า

 

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยบอกไพมอน

 

แต่เดิมแล้ว ไพมอนเป็นนักนิยมสาธารณรัฐที่จงเกลียดจงชังสงครามที่เกิดขึ้นจากกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา แต่การเริ่มสงครามครั้งใหญ่เพื่อสังคมอันเท่าเทียมกันอย่างนั้นน่ะหรือ? 

 

มีหวังเธอได้ของขึ้น แล้วด่าว่า เป็นการตอแหลเสแสร้งแน่ๆ

 

 

อิวาร์มองผมด้วยความอึ้ง

 

“อย่าบอกนะคะ ฝ่าบาท ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ท่านก่อตั้งกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา และก่อสงครามหุ่นเชิดนั้น……?”

 

“ฮ่าฮา”

 

ผมหัวเราะ

 

 

“ข้าโยนความคิดเรื่องนั้นทิ้งไปแล้ว

การที่ใครบางคนจะเรียกร้องหาความเท่าเทียมกัน ก็ต้องเป็นเพราะพวกเขารักทุกคนเท่าเทียมกัน

และไม่มีทางที่ผู้คนที่รักทุกคนเท่าเทียมกันจะก่อสงครามได้หรอก

มันย้อนแย้งกันในตัวเองเกินไป”

 

“…….”

 

“ไม่มีใครสามารถทำเรื่องแบบนั้นได้”

 

ผมทอดสายตามองไปที่ย่านการค้าแล้วไม่พูดอะไรต่อ

อากาศวันนี้ไม่หนาวเท่าไหร่นักแม้อยู่ในช่วงฤดูหนาว ทำให้มีชาวบ้านมากมายออกมาดูขบวนของเหล่าทูต

 

 

“เจ้าพวกนั้นช่างโง่เขลานัก การแสดงโชว์แบบนั้นมีแต่ให้ผลตรงกันข้ามกับสิ่งที่ต้องการ

 

พวกนั้นก็แค่อยากโชว์ออฟให้คนอื่นดู แต่กลับไม่สามารถสร้างความประทับใจใดให้กับชาวบ้านได้เลย

และในบรรดาผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ หากจะมีใครน่าจับตามองอย่างน้อยก็ต้องมีการแสดงออกถึงความเป็นระบบระเบียบอย่างชัดเจนมากกว่านี้”

 

 

บทสนทนาของพวกเราจบลงที่ตรงนั้น

 

 

ตัวแทนของแต่ละฝ่าย แต่ละชาติมาถึงเมืองจนครบภายใน 15 วัน

ก่อนการประชุมจะเริ่มต้นขึ้น ก็มีกลุ่มหนึ่งที่แสดงตัวว่า ยากไร้ขาดแคลนเป็นอย่างมากโผล่ขึ้นมา

 

ปกติกลุ่มหนึ่งๆก็จะมีสมาชิกอย่างน้อยก็ราว 50 อย่างมากก็ราว 200 

แต่กลุ่มนี้กลับมีคนเพียง 10 คน แถมยังไม่ได้มี ชุดเสื้อผ้าหรูหราอะไรอีกด้วย

 

การแต่งตัวของพวกนั้นอยู่ห่างไกลจากคำว่า ร่ำรวยมั่งคั่งไปไกลโข

 

ธงที่พวกนั้นถือว่าเป็นพื้นแดงและมีอินทรีขาวอยู่ตรงกลางผืนธง

นั่นคือ ธงของสาธารณรัฐฮับบวร์ก

 

ผู้หญิงผมสีเงินสวมเครื่องแบบทหารเดินนำขบวนมา

 

 

ทีแรกทุกคนที่อยู่ในย่านการค้าต่างหยอกเย้า หยอกล้อเรื่องรูปลักษณ์ที่แสนยาจกเหลือเกิน บางคนถึงกับหัวเราะเยาะหยันด้วยเสียงดัง

 

แต่เมื่อมีคนสังเกตเห็นว่า บุคคลผู้นำกองนั้นคือ ท่านคอนซูลแห่งสาธารณรัฐฮับบวร์ก ความเงียบกลับครอบงำถนนทั้งเส้น

 

“ความรุ่งโรจน์จงมีแด่สาธารณรัฐ!”

 

ใครบางคนตะโกนขึ้นมา ดังราวกับน้ำทะลักเขื่อน

 

ชาวเมืองต่างต้อนรับตัวแทนทูตจากสาธารณรัฐฮับบวร์กด้วยเสียงโห่ร้องตะโกน

เสียงปรบมือดังไม่ขาดสายจนกระทั่งอลิซาเบธเดินเข้าไปในทำเนียบของสาธารณรัฐ

ยามเมื่อเธอเข้าไปในตัวอาคารแล้ว กลุ่มคนที่มามุงกันตา่งพูดคุยกันในฐานะที่เป็นประจักษ์พยานผู้เห็นเหตุการณ์

 

 

“…….”

 

ผมเฝ้าดูพวกเขาจากริมระเบียงและดื่มไวน์ไปด้วย

 

‘ความรุ่งโรจน์จงมีแด่สาธารณรัฐ’ 

 

ช่างเป็นวลีที่เหมาะสมนัก ไม่เพียงแต่หมายถึงสาธารณรัฐฮับบวร์กเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงสาธารณรัฐบัทตาเวียอีกด้วย

 

สิ่งนี้ย่อมทำให้ผู้คนสะดวกใจในเข้าร่วมได้ง่ายขึ้น

 

แต่ก็มีโอกาสสูงเหมือนกันที่ อลิซาเบธจะวางคนของตัวเองไว้ในท่ามกลางฝูงชน

 

“เอาจริงๆนะ ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าขันเสียนี่กระไร”

 

ผมได้แต่ยิ้มชั่วร้ายออกมา

 

* * *

 

วันแรกของการประชุมระหว่างตัวแทนเป็นไปอย่างสงบราบรื่น

 

จะพูดว่า เป็นเหมือนวันแนะนำตัวก็ว่าได้

 

ตัวตนยิ่งใหญ่แห่งทวีปต่างมารวมตัวกันในฮอลล์งานเลี้ยงและพูดคุยกันอย่างมีความสุข

 

ผมเองก็ได้เข้าร่วมประชุมโดยมีนักบุญหญิงลองวี่เป็นคู่ควงในงาน

 

ดูเหมือนนักบุญหญิงลองวี่จะไม่แฮปปี้ตั้งแต่เตรียมตัวแล้ว

 

“แค่คิดว่า ฉันจะต้องไปงานเลี้ยงกับคนอย่างนาย…….’

 

“ทั้งหมดนี่ก็เพื่อบริททานี่ อดทนไว้เถอะ”

 

“ฉันรู้น่า!”

ลองวี่กัดฟัน

 

“นายไม่ต้องมาย้ำเตือนฉันทุกครั้งก็ได้

โอ้เอ๋ย องค์พัลลัส เอเธน่า 

โปรดประทานอภัยต่อข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยของท่านด้วย…….”

 

 

เธอสวดภาวนาต่อเทพีของเธอด้วยน้ำเสียงสิ้นหวังตลอดนั่งรถม้าไปด้วยกัน

ผมรู้เรื่องที่เธอมักสวดภาวนากับเทพีของเธอก็ตอนที่ได้อยู่อาคารเดียวกันหลายวัน 

 

แต่มนุษย์ที่รู้เรื่องที่เธอสวดภาวนาด้วยน้ำเสียงแบบนั้นในรถม้าก็หัวหลุดจากบ่าไปแล้ว

 

 

ผู้คนต่างตอบรับการมาถึงของพวกเรากันอย่างดี จอมมารที่ควงคู่มากับนักบุญหญิง ย่อมต้องเป็นที่ตกตะลึง ดึงดูดสายตาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ในเมื่อมันเป็นการจับคู่กันของสิ่งที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้

 

ยามที่มีคนเข้ามาใกล้พวกเรา แล้วถามอ้อมๆเรื่องว่า ทำไมพวกเราถึงมาอยู่ด้วยกันได้

นักบุญหญิงลองวี่ก็จะเผยรอยยิ้มอันแสนสมบูรณ์แบบออกมาแล้วตอบพวกเขาไป

 

“ฉันได้ยินว่า งานนี้ไม่แบ่งแยกกันระหว่างมนุษย์กับปีศาจ

เพื่อสันติสุขระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ฉันจึงได้เชื้อเชิญท่านเค้าท์พาลาทีน ดันทาเลี่ยนมางานนี้ด้วยกัน

ท่านเค้าท์พาลาทีนเองก็ตอบรับคำเชิญของฉันด้วยความยินดี พวกเราจึงมาอยู่กันที่นี่ในวันนี้ค่ะ”

 

 

ย่อมเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะสรรเสริญความมีศรัทธาอันแรงกล้าของท่านนักบุญหญิง

 

ผมกวาดตามองรอบข้างอย่างผ่อนคลายขณะที่ผู้คนมาห้อมล้อมเรา อันที่จริงแล้วผมมองหาอลิซาเบธ

 

ผมกวาดตามองอีกฟากหนึ่งของฮอลล์จัดงานเลี้ยงผมก็เห็นแววตาคู่หนึ่งที่ดึงดูดผม

 

หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีเงินยืนอยู่พร้อมแก้วในมือ

 

 

(TTL : ควงนักบุญหญิงมาเย้ย โอตะ(หญิง)ที่โอชิตัวเอง 
แย้ว่ะ! 

ทำลายน้ำใจอลิซาเบธจังครับ พรี่ดัน) 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด