ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 297 อู่เหมยเกิดความสงสัยอีกแล้ว + 298 อู่เจิ้งซือที่ร้อนตัว

Now you are reading ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น Chapter 297 อู่เหมยเกิดความสงสัยอีกแล้ว + 298 อู่เจิ้งซือที่ร้อนตัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 297 อู่เหมยเกิดความสงสัยอีกแล้ว + ตอนที่ 298 อู่เจิ้งซือที่ร้อนตัว

ตอนที่ 297 อู่เหมยเกิดความสงสัยอีกแล้ว

“แกมันเลี้ยงไม่เชื่อง…”

อู่เหมยขัดจังหวะเหอปี้อวิ๋นที่โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “คนเนรคุณ คนไม่รู้จักบญคุณที่เลี้ยงไม่เชื่องนะหรือ? ตั้งแต่เล็กจนโต คำพูดนี้แม่พูดนับครั้งไม่ถ้วน หนูก็แปลกใจนะ ในเมื่อแม่รังเกียจหนู ตอนนั้นทำไมต้องให้หนูเกิดมาด้วย? แม่ก็เป็นอย่างนี้ ดูยังไงก็ไม่เหมือนแม่ที่คลอดหนูออกมา แต่เหมือนกับเก็บจากข้างนอกมาเลี้ยง”

ทันใดนั้นอู่เจิ้งซือก็ไอขึ้นมา ไอหนักจนปอดแทบฉีก อู่เหมยหยิบน้ำยื่นให้เขา อู่เจิ้งซือหลังจากดื่มน้ำแล้วถึงค่อยหยุดไอ เขาหน้าแดง สายตาเขาเริ่มแปลกไปเพียงแต่อู่เหมยไม่ได้สังเกต

“ฉันจะตีแกให้ตาย นังคนไม่รู้จักบาปบุณคุณโทษ แม่เลี้ยงแกมาอย่างลำบากแสนเข็ญ แกก็ไม่รู้จักบุญคุณ แล้วยังกล้าย้อนฉันอีก? เหล่าอู่คุณได้ยินแล้วใช่ไหมที่ยายตัวแสบพูดกับฉัน!”

เหอปี้อวิ๋นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  ไม่อยากจะพะว้าพะวงอู่เจิ้งซืออีกแล้ว คว้าไม้ขนไก่ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ฟาดไปที่อู่เหมยโดยไม่คิด อู่เหมยก็ไม่ได้โง่ยืนให้เธอตีแน่นอน ตอนนี้ชื่อเสียงของเหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยเกือบจะทำให้เธอแพ้แล้ว ในช่วงนี้เธอต้องหยุดสักพัก หากไม่อย่างนั้นอู่เจิ้งซือจะรายงานลำบาก

ในเมื่อไม่ต้องต่อล้อต่อเถียงกับเหอปี้อวิ๋นและอู่เยวี่ยอีก ทำไมเธอยังต้องทนให้เจ็บเนื้อหนังอยู่เรื่อย คนโง่เท่านั้นถึงจะไม่หลบ!

“แม่ตีหนู ด่าหนูทุกวัน มองหนูเป็นวัชพืช แต่มองอู่เยวี่ยเป็นลูกรัก ฮึ! แม่เห็นหนูไม่มีตา ไม่มีสมองเหรอ? คนที่เลี้ยงดูหนูคือคุณพ่อ ส่วนแม่ ใช่คนที่คลอดหนูหรือไม่ เรื่องนี้ยากที่จะบอกได้ ใครจะไปรู้ว่าหนูถูกเก็บมาจากกองขยะไหน!”

อู่เหมยโต้กลับอย่างไม่เกรง ตอนนี้เธอสงสัยชีวิตของตัวเธอเองจริงๆ หากเหอปี้อวิ๋นให้กำเนินเธอเอง จะเป็นไปได้อย่างไรที่เหอปิ้อวิ๋นจะรังเกียจตัวเธอเองเช่นนี้?

ทุกครั้งเวลาที่เหอปี้อวิ๋นใช้สายตาที่ขยะแขยงและเกลียดชังมองตัวเธอเอง ใจของอู่เหมยก็รู้สึกว่าเธอคล้ายกับปลาที่น่าสงสารที่กำลังถูกขอดเกล็ด เกล็ดปลาชิ้นนั้นถูกเอาออกจากตัวเธออย่างโหดเหี้ยม และแต่ละแผ่นก็ติดกับเนื้อและเลือด เชื่อมไปถึงเส้นเอ็นและหลอดเลือด เจ็บปวดเหมือนโดนกัดกินไปถึงหัวใจ

ไม่มีแม่คนใดในโลกนี้สามารถปฏิบัติต่อลูกในไส้ ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอย่างนี้ แม้ว่าจะมีแม่ที่ลำเอียงอยู่ทุกที่ แต่ไม่เหมือนกับเหอปี้อวิ๋นที่ลำเอียงอย่างที่สุด ผู้หญิงคนนี้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนไม่ใช่คนในครอบครัว แต่เป็นเหมือนกับศัตรู

หรือว่ามีหนี้แค้น!

เหอปี้อวิ๋นตาแดง ไม่นึกเลยว่ายายตัวดีจะกล้าย้อน

“ฉันจะตีแกให้ตาย นังคนไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ แม่คลอดแกออกมา เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แกกลับตอบแทนฉันอย่างนี้? ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าแกจะใจดำเหมือนกับสัตว์ ตอนนั้นฉันก็คงจะบีบคอแกให้ตายแล้วโยนทิ้งส้วมไปแล้ว!”

เหอปี้อวิ๋นถือไม้ขนไก่ตามอู่เหมยไป วันนี้จะต้องตียายตัวแสบนี่ให้ขาหักให้ได้ หากไม่ใช่เพราะนังสารเลวนี่ เธอก็คงจะมีลูกชายได้แล้ว

ทำไมอยู่ที่บ้านอู่ เธอถึงไม่มีความมั่นใจแล้ว?

ก็ไม่ถึงกับฝากความหวังทั้งหมดไว้กับอู่เยวี่ย หรือกดดันเยวี่ยเยวี่ยมากเกินไปเสียจนทำให้สภาพจิตใจของเยวี่ยเยวี่ยมีปัญหา

เยวี่ยเยวี่ยที่น่าสงสารของเธอ!

ทั้งหมดเป็นเพราะนังสารเลวนี่ทำร้าย อู่เหมยคือตัวซวย!

แค้นใหม่รวมกับความเกลียดเดิม ทำให้เหอปี้อวิ๋นโกรธจนตาแดงก่ำ ตอนนี้หน้าตาของเธอน่ากลัว คิดแต่จะจับอู่เหมยฟาดให้ตาย

เพียงแต่ว่า เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง จะวิ่งเร็วเหมือนกับเด็กผู้หญิงได้ที่ไหน อู่เหมยวิ่งไปข้างหลังอู่เจิ้งซืออย่างรวดเร็วและง่ายดาย เจอโล่ป้องกันตัวอย่างดีแล้ว

“พ่อคะ พอเห็นแม่เป็นอย่างนั้นแล้ว จะบอกได้ไหมว่านี่คือท่าทีที่ปฏิบัติต่อลูกสาวที่ให้กำเนิดเอง? หนูว่าแม่อยากจะฆ่าหนูให้ตายใจจะขาด หนูใช่ลูกแท้ๆ เหรอ? คุณพ่อ พ่อไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดใช่ไหมคะ?”

……………………………………………………………………

ตอนที่ 298 อู่เจิ้งซือที่ร้อนตัว

อู่เหมยพูดไปพร้อมกับคอยสังเกตสีหน้าของอู่เจิ้งซือไปด้วย คำพูดของเหอปี้อวิ๋นเมื่อครู่ ทำให้เธอเกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ดูลักษณะของเหอปี้อวิ๋น เธอก็ไม่เหมือนคนพูดโกหก แต่เธอก็ยังไม่เชื่อ

แต่ถ้าเธอเป็นลูกในไส้ของเหอปี้อวิ๋น จะเป็นไปได้อย่างไรที่แม้แต่ความรักทางสายเลือดเพียงน้อยนิดจะไม่มีเลย?

ดังนั้นเธอก็อยากจะถามอู่เจิ้งซือ ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าอู่เจิ้งซือจะสามารถให้คำตอบที่น่าพอใจกับเธอ

พูดจริงๆ ตอนนี้เธอหวังว่าตัวเองจะถูกเก็บมาจากข้างนอก เด็กกำพร้าที่ไม่รู้จักพ่อแม่บังเกิดเกล้า ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอก็สามารถไปจากบ้านนี้ได้อย่างสมเหตุสมผล

ตอนแรกอู่เจิ้งซือจะไปดึงเหอปี้อวิ๋น พอโดนอู่เหมยถามอย่างนี้ เขาก็ไอขึ้นมาอีก และไอรุนแรงกว่าเมื่อครู่นี้จนแทบจะหายใจไม่ออก

ผ่านไปสักพักอู่เจิ้งซือถึงค่อยดีขึ้น เขามองอู่เหมยด้วยสีหน้าที่สับสน สายตาของเขาแปลกประหลาดมาก แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วแวบเดียว แต่อู่เหมยก็รับรู้ได้ เธอเริ่มครุ่นคิด เธอมองท่าทางของอู่เจิ้งซือ ชีวิตของเธอมีปัญหาจริงๆ!

“เหมยเหมย ลูกพูดเหลวไหลอะไร? ลูกก็คือลูกในไส้ของแม่ จะไปเก็บมาจากข้างนอกได้อย่างไร? ต่อไปห้ามพูดอย่างนี้อีก!”

อู่เจิ้งซือตวาดเสียงต่ำ เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง และถมึงตาใส่เหอปี้อวิ๋นเป็นการตักเตือน

เหอปี้อวิ๋นใจเย็นลงมาบ้างแล้ว ยอมให้อู่เยวี่ยปลอบใจ เธอไม่ไล่ตีอู่เหมยแล้ว แต่สีหน้าของเธอยังคงดูไม่ดี เธอยิ้มอย่างดูแคลนและกล่าว “เหล่าอู่ คุณยังจะฟังคำพูดของเด็กสารเลวนี่อีกนะ คนอกตัญญูที่ไม่รู้จักบุญคุณ กินของเรา ใช้ของเรา ใช้เงินของเรา ตอนนี้ยังมาบอกว่าพวกเราปฏิบัติกับเธออย่างโหดร้าย เชอะ! เลี้ยงหมายังดีกว่าเลี้ยงนังสารเลวนี่อีก!”

“หนูไม่ได้ว่าพ่อสักหน่อย แม่ก็อย่าโยนความผิดให้หนู อีกอย่างที่หนูได้กินใช้ก็เป็นเงินของพ่อ เงินของแม่ทั้งหมดให้คุณตาคุณยายใช้แล้ว อย่าคิดว่าหนูไม่รู้นะ” อู่เหมยตะโกนเสียงดัง เปิดโปงจุดอ่อนของเหอปี้อวิ๋นแบบไม่เกรงใจ

เดิมทีอู่เจิ้งซือยังอยากจะตำหนิอู่เหมยว่าไม่มีมารยาท แต่พอได้ยินคำพูดของอู่เหมย เขาก็ปิดปากทันที เขารู้สึกเอือมระอาพักหนึ่ง เมื่อก่อนเขาไม่เคยสนใจเงินเดือน แต่หลายวันมานี้เขายิ่งคิดยิ่งเบื่อ แค่รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบมาก

“พอแล้ว เธอ เป็นผู้ใหญ่ไปทะเลาะกับเด็กทั้งวันทำไม? จะว่าไปแล้วเหมยเหมยพูดก็ถูก ถ้าเธอปฏิบัติกับเหมยเหมยได้ครึ่งหนึ่งเหมือนกับที่เธอตั้งใจปฏิบัติกับเยวี่ยเยวี่ย เหมยเหมยก็ไม่มาพูดอย่างนี้”

อู่เจิ้งซือตำหนิด้วยน้ำเสียงต่ำ ช่วงนี้ในบ้านมีแต่ความวุ่นวายบ่อยๆ  ทำให้เขาสูญเสียความอ่อนโยนและการควบคุมตัวเองอย่างในอดีตไป กลายเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาเริ่มหมดความอดทนกับเหอปี้อวิ๋น แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้สังเกตว่า ท่าทีของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

เหอปี้อวิ๋นโกรธจนแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา นังเด็กสารเลวกลายเป็นคนหยาบคาย แล้วยังทำให้อู่เจิ้งซือลุ่มหลงอีก

“เหล่าอู่คุณเปลี่ยนไป เมื่อก่อนคุณไม่เป็นอย่างนี้ แต่ตอนนี้คุณไม่เพียงแต่ด่าฉัน แต่ยังตบตีฉัน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้?”

เหอปี้อวิ๋นถามด้วยความคับแค้นใจ แก้มยังบวมอยู่ แค่เธอพูดเสียงดังก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา วันนี้สายตาของเพื่อนร่วมงานที่โรงเรียนมองมายังเธอ ทำให้เธอรู้สึกจิตใจฟุ้งซ่านตลอดทั้งวัน อู่เหมย นังเด็กสารเลวยังมายั่วยุเธออีก ถ้าเธอไม่โมโหสิถึงจะแปลก

อู่เจิ้งซือรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อคืนหลังจากที่ตบเธอ เขาเองก็เสียใจ เขาเป็นครูที่มีเกียรติและเป็นแบบอย่าง แต่กลับทำเรื่องเสื่อมเสียศักดิ์ศรี หยาบคายเช่นนี้ได้อย่างไร?

ตอนแรกอู่เหมยอยากจะพูดคำพูดที่นุ่มนวลสักสองสามประโยคให้บรรยากาศผ่อนคลาย แต่เธอก็กลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พ่อแค่ตีแม่สองครั้งเอง แต่แม่ตีหนูตั้งแต่เด็กจนโต หนูยังไม่คิดเล็กคิดน้อยกับแม่เลย แม่ทำไมต้องรั้งพ่อไว้?”

อู่เจิ้งซือพูดไม่ออก แล้วยังปล่อยให้อู่เหมยดพูดเสียดแทงอีก รอยบวมช้ำที่หน้าของอู่เหมย ไหนจะรอยจางๆ ที่คอ ร่องรอยเหล่านี้ยังคงติดตาเขาอยู่ตลอด

เหมยเหมยพูดถูก เพิ่งจะตบไปแค่สองฉาดเท่านั้น แต่ถ้าเทียบกับการที่เหอปี้อวิ๋นทำให้เขาเสียหน้า ตบสองฉาดนี้ยังน้อยไป!

…………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด