ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 51 เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไม่สบาย (รีไรท์)

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 51 เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไม่สบาย (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 51 เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไม่สบาย (รีไรท์)

ตอนที่ 51 เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไม่สบาย (รีไรท์)

หลังจากเลิกเรียนในตอนบ่าย เฟิงหยางก็พาเด็กทั้งสองกลับบ้าน เมื่อได้กลิ่นหอมลอยคละคลุ้งอยู่ในลานบ้าน ท้องก็ร้องขึ้นมาหลังจากที่เล่นมาทั้งวัน

เด็ก ๆ ที่สะพายกระเป๋าหนังสือวิ่งตรงไปยังห้องเครื่องเล็ก เฉียวเยี่ยนได้ยินเสียงของเด็ก ๆ จึงออกมาต้อนรับหน้าประตู

นางคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น อ้าแขนออกกว้าง รอให้เด็ก ๆ วิ่งเข้ามาในอ้อมแขน เด็กน้อยสองคนเป็นเหมือนกระสุนปืนใหญ่สองลูก แทบกระแทกเฉียวเยี่ยนล้มลงไป

“วันนี้พวกลูกอยู่ที่สำนักศึกษามีความสุขหรือเปล่าน้า?”

“มีความสุขขอรับ/เจ้าค่ะ”

แน่นอนว่าเสี่ยวฉวนเอ๋อร์มีความสุขที่เรียนแล้วได้ความรู้ ส่วนเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์มีความสุขที่ได้เล่นกับสหายร่วมชั้น

วันนี้มีชั้นเรียนศิลปะการต่อสู้ ซึ่งอาจารย์ผู้สอนก็ได้พาเด็ก ๆ ไปเล่นปาหิมะ ดังนั้นกลุ่มหัวไชเท้าน้อยที่ร่วมแรงกันยังสู้เสี่ยวฉวนเอ๋อร์และเจ้าปลาอ้วนไม่ได้เลย

กำลังแขนของเจ้าปลาอ้วนช่างมหาศาลนัก มีความแม่นยำสูง เขวี้ยงไปทีหนึ่งก็โดนทีหนึ่ง เจ้าหัวไชเท้าน้อยในชั้นเรียนเหล่านั้นล้วนโดนก้อนหิมะของนางกันหมด

แต่เจ้าตัวอ้วนมีความสุขกับการเล่นมากเกินไป ในรองเท้าจึงเต็มไปด้วยหิมะ ซึ่งเท้าน้อยในตอนนี้ทั้งเย็นทั้งเปียก

เฉียวเยี่ยนพบว่าบนหน้าผากเด็กน้อยมีเหงื่อผุดออกมาจึงยื่นมือไปลูบหลังให้ ถึงได้พบว่าเนื้อตัวอีกฝ่ายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ จึงรีบอุ้มไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที

เล่นจนเหงื่อออกท่วมตัว อีกทั้งยังต้องสายลมเย็นอีก เช่นนี้มักจะป่วยได้ง่าย

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เด็กทั้งสองแล้ว มู่ฉินเจินก็กลับมาจากค่ายทหาร ดูเหมือนว่าเขาจะปีนออกจากไหน้ำส้มสายชูได้แล้ว ถึงได้ปฏิบัติต่อเฉียวเยี่ยนไม่ต่างไปจากปกติ

เฉียวเยี่ยนยิ้มให้เขา รับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีดำในมือเขาแล้วเอาไปแขวนไว้ ก่อนจะเอ่ยรัวเร็วด้วยเสียงเบา “วันนี้จะให้ท่านได้กินของแปลกใหม่”

มู่ฉินเจินคล้อยตามรอยยิ้มนาง ความหงุดหงิดที่จัดการงานราชการทหารในบ่ายนี้พลันคลายลง

เหล่าข้ารับใช้ยกโต๊ะที่มีรูตรงกลางออกมา และวางถ่านไฟลงไปในช่องว่างนั้นก่อน จากนั้นก็วางหม้อลงไป

หม้อเป็นหม้อยวนยาง[1] เด็กทั้งสองกินเผ็ดเกินไปไม่ได้ ดังนั้นข้างหนึ่งจึงเป็นน้ำแกงไก่สีเหลืองทอง ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นน้ำแกงรสเผ็ดที่เต็มไปด้วยน้ำมันสีแดง

มู่ฉินเจินสนใจกับหม้อรูปทรงแปลก ๆ ของนาง เขาเคยกินอาหารจากหม้อที่สามารถเพิ่มความร้อนไปด้วยกินไปด้วยก็จริง แต่เป็นแบบหม้อตุ๋นขนาดเล็กที่อุ่นบนเตา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เห็นหม้อที่มีลักษณะแบบหม้อบนโต๊ะนี้

เด็กทั้งสองเหมือนเด็กที่อยากรู้อยากเห็น จ้องมองหม้อแปลก ๆ แต่สิ่งที่ดึงดูดพวกเขามากขึ้นก็คือกลิ่นหอมที่โชยออกมาจากในหม้อ

เฉียวเยี่ยนหยิบถ้วยเล็กออกมาทำน้ำจิ้มให้มู่ฉินเจิน ปรุงไปด้วยอธิบายไปด้วย “นี่เรียกว่าหม้อไฟ เป็นการนำผักดิบลงไปต้มในหม้อ ต้มไปด้วยกินไปด้วย ผักที่ต้มเสร็จแล้วก็เอามาจิ้มกับน้ำจิ้ม จากนั้นก็กินได้เลย”

ในระหว่างที่พูด เฉียวเยี่ยนได้ทำน้ำจิ้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะวางไว้ด้านหน้ามู่ฉินเจิน และส่งสัญญาณให้เขาลองชิม

มู่ฉินเจินยิ้มบางเบา คีบผักกาดขาวลงจุ่มในหม้อน้ำแกงไก่ รอให้สุกก่อนจะจิ้มน้ำจิ้ม จากนั้นก็เอาเข้าปาก

รสชาติน่าทึ่งมากจริง ๆ วิธีการกินก็น่าสนใจ

เฉียวเยี่ยนจ้องมองเขาด้วยสายตาแวววาว รอการประเมินจากเขา มู่ฉินเจินพยักหน้าเบา ๆ และเอ่ยอย่างมั่นใจ “อร่อยมาก”

เฉียวเยี่ยนแย้มยิ้ม และแนะนำฮั่วกัวตี่เลี่ยวของตัวเองให้เขาฟัง “ท่านลองชิมหม้อที่เผ็ดดู หม้อไฟต้องกินแบบนี้จึงจะเข้าถึงจิตวิญญาณของมัน”

ขณะกล่าวก็คีบเนื้อแพะขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จุ่มลงในน้ำแกงเผ็ด หลังจากสุกแล้วก็คีบมาใส่ลงในถ้วยน้ำจิ้มของเขา

มู่ฉินเจินคีบเนื้อขึ้นมากิน และพบว่าเป็นอย่างที่นางว่าไว้ รสชาติของน้ำแกงเผ็ดนั้นพอเหมาะพอดี เขาจึงใส่ผักกาดขาวเข้าไปอีกสองสามใบ

เมื่อเห็นการตอบสนองของมู่ฉินเจิน เฉียวเยี่ยนก็รู้สึกสงบลง ในเมื่อปากอันล้ำค่าของท่านอ๋องยังรู้สึกว่าอร่อย การตอบสนองของคนอื่น ๆ ก็น่าจะไม่เลวเลย

หลังจากสอนมู่ฉินเจินแล้ว เฉียวเยี่ยนก็เริ่มต้มให้ลูกทั้งสอง เด็กทั้งสองกินจนท้องกลมนูน

เหล่าข้ารับใช้ก็ได้กินแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ละเมียดละไมกับการกินเหมือนอย่างเจ้านาย หลังจากใส่ฮั่วกัวตี่เลี่ยวลงในน้ำแกงที่ต้มจนร้อน ก็เทผักเนื้อทั้งหมดลงไปต้มในคราวเดียว อร่อยจนทำให้คนล้มตึงหงายหลัง

บรรดาบ่าวและสาวใช้ต่างถือถ้วยใหญ่คนละถ้วย ข้าวหนึ่งถ้วยใหญ่ คีบผักและเนื้อใส่จนเต็ม จากนั้นก็ตักน้ำแกงหนึ่งช้อนลงคลุกเคล้า กินกันเสียงดังมูมมาม แม้รอบ ๆ ยังมีหิมะโปรยปราย แต่พวกเขากลับกินจนเหงื่อออกปลายจมูก

หลังจากกินอาหารเสร็จ ท้องฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว จู่ ๆ ฮ่องเต้ก็มีพระราชการโองการเรียกมู่ฉินเจินเข้าวังไปปรึกษาหารือ

ยามนี้ท้องฟ้ามืดมานานแล้ว ทว่ามู่ฉินเจินก็ยังไม่กลับมา เฉียวเยี่ยนจึงอาบน้ำให้เด็ก ๆ และกล่อมพวกเขาเข้านอน

…..

มู่ฉินเจินกลับมาเรือนจิ่งเสวียนอีกทีก็ยามจื่อแล้ว แต่กลับพบว่าห้องของเฉียวเยี่ยนยังสว่างอยู่ เขาหยุดอยู่ในลานบ้านครู่หนึ่งก็เห็นฮุ่ยเซียงยกน้ำร้อนเข้าไปในห้องปีกตะวันตกอย่างเร่งรีบ

เขาหยุดนางไว้ และถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เหตุใดหวางเฟยถึงยังไม่นอน?”

ครั้นฮุ่ยเซียงเห็นว่าในที่สุดท่านอ๋องก็กลับมาแล้ว จึงรีบรายงานอย่างร้อนรน “ท่านอ๋อง จวิ้นจู่น้อยไม่สบาย หวางเฟยจึงให้บ่าวไปต้มน้ำร้อนมาเช็ดตัวให้จวิ้นจู่น้อยเจ้าค่ะ”

อวี๋เอ๋อร์ไม่สบาย!

มู่ฉินเจินตกใจ รับอ่างน้ำในมือฮุ่ยเซียงมา และรีบเดินไปยังห้องปีกตะวันตก

เขาเคาะประตูก็ได้ยินเสียงเฉียวเยี่ยนดังออกมาจากข้างใน “เข้ามา”

เขาผลักประตูเข้าไปก็เห็นเฉียวเยี่ยนหันหลังให้เขา และอุ้มกล่อมเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อยู่ในอ้อมแขน

เฉียวเยี่ยนคิดว่าเป็นฮุ่ยเซียงที่เข้ามาจึงเอ่ยสั่งว่า “ฮุ่ยเซียง ยกน้ำเข้ามา”

เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็ยังไม่นอนเช่นกัน เขากล่อมน้องสาวไปพร้อมกับมารดา ครั้นเห็นบิดามาถึง เขาก็เรียกออกมาอย่างเชื่อฟัง “ท่านพ่อ”

มู่ฉินเจินยิ้มให้ลูกชายขณะที่ตัวเองยกน้ำเข้าไป ครั้นเห็นเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไม่สบายจนใบหน้าแดงเรื่อก็รู้สึกปวดใจ

“เหตุใดไม่ส่งคนไปแจ้งข้า?”

เฉียวเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ และมองเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ข้าเห็นว่าท่านกำลังยุ่งอยู่ ท่านบิดผ้าเช็ดหน้าให้ข้าที ข้าจะเช็ดตัวให้ลูก”

เฉียวเยี่ยนไม่มีกะจิตกะใจจะพูดกับเขามาก น่าจะเป็นเพราะวันนี้เด็กน้อยเล่นสนุกจนเกินไปและตากอากาศเย็น หลังจากหลับไปถึงได้พูดเพ้อ นางแตะหน้าผากดูถึงได้รู้ว่าเด็กน้อยไม่สบาย

เด็กน้อยทั้งสองสุขภาพดีมาโดยตลอด น้อยมากที่จะป่วย นี่เป็นครั้งแรกที่จู่ ๆ ก็เกิดไม่สบายเหมือนอย่างตอนนี้ ทำให้เฉียวเยี่ยนรู้สึกกังวลเล็กน้อย

มู่ฉินเจินไม่พูดอะไรมากความ เขาเอาผ้าเช็ดหน้าแช่น้ำร้อนให้ชุ่มแล้วบิดหมาดก่อนจะส่งให้นาง

เฉียวเยี่ยนวางเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ลงบนเตียง เลิกชุดนอนน้อยขึ้นมาและเช็ดเหงื่อตามตัวเด็กน้อย

เด็กน้อยตัวแดงเรื่อเหมือนปลาหลีอ้วน ดวงตาปิดสนิท ราวกับกำลังฝันว่าเป็นจอมยุทธ์ ปากน้อยพูดเพ้อไม่ได้ศัพท์ เดี๋ยวก็ ‘สู้คนไม่ดี ปกป้องท่านแม่’ เดี๋ยวก็ ‘ฮู่ ฮ่า เฮ้ย’ ประหนึ่งว่ากำลังต่อสู้จริง ๆ

เฉียวเยี่ยนทั้งซาบซึ้งทั้งขบขัน ไยนางถึงได้รู้สึกว่าตัวเองคลอดผู้กล้าตัวน้อยออกมา

มู่ฉินเจินมองท่าทางอึดอัดของเด็กน้อยก็ออกไปจากห้อง ให้เกาจัวหยวนเข้าวังไปเชิญหมอหลวงมา

เมื่อเข้าไปในห้อง เขาก็เห็นเฉียวเยี่ยนกำลังป้อนของเหลวสีแดงจากขวดใบหนึ่งให้กับเด็กน้อย แต่เด็กน้อยเริ่มดื้อรั้นขึ้นมาแล้ว จึงบิดตัวปฏิเสธที่จะกินยา

“ลูกไม่กินยา ยามันขม”

เจ้าปลาอ้วนที่เอะอะขึ้นมามีแรงมาก เฉียวเยี่ยนเองก็หมดปัญญา มู่ฉินเจินจึงก้าวไปข้างหน้า อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาและส่งสัญญาณให้เฉียวเยี่ยนป้อนยา

แม้เขาจะไม่รู้ว่าของเหลวสีแดงในมือนางคืออะไร แต่มันต้องดีสำหรับเด็กแน่นอน

เสี่ยวฉวนเอ๋อร์กุมมืออ้วนของน้องสาวไว้ และกล่อมเสียงเบา “น้องหญิงคนดี ยาครานี้ไม่ขม มันเป็นน้ำเชื่อม เป็นน้ำเชื่อมที่เจ้าชอบกิน”

หลังจากเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ได้ยินก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมอ้าปากออกกว้างเหมือนไก่น้อยรอให้ป้อนอาหาร

เฉียวเยี่ยนยิ้มอย่างจนใจ เทยาน้ำไอบิวพรอเฟน[2]ครึ่งฝา แล้วป้อนให้เด็กน้อย

ยาน้ำไอบิวพรอเฟนขวดนี้เป็นยาที่นางเตรียมไว้ให้ลูกทั้งสอง ซึ่งใช้ได้ผลชะงัดกับอาการไข้หวัด

[1] หม้อยวนยาง (鸳鸯锅 ) หรือหม้อรูปทรงสัญลักษณ์หยินหยาง หม้อนี้จะมีความพิเศษตรงที่จะมีที่กั้นตรงกลางเอาไว้แบ่งระหว่างซุปเผ็ดกับซุปจืด

[2] ไอบิวพรอเฟน (Ibuprofen) คือ ยาแก้ปวด ลดไข้ และแก้อักเสบ ชนิดปราศจากสเตียรอยด์ มีทั้งรูปแบบเม็ดและรูปแบบน้ำ

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เปื่อยเสียแล้วเจ้าปลาน้อยเอ๊ย หายไว ๆ นะลูกนะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *