ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? 181 ปีศาจน้อยผู้แสนเย้ายวน

Now you are reading ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? Chapter 181 ปีศาจน้อยผู้แสนเย้ายวน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 181 ปีศาจน้อยผู้แสนเย้ายวน

ตอนที่ 181 ปีศาจน้อยผู้แสนเย้ายวน

เฉียวเยี่ยนสมองขาวโพลน รู้สึกเวียนหัวขณะถูกเขาจุมพิต แต่ก็อดตอบสนองสัมผัสของเขาไม่ได้ กระทั่งรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ออก

จูบอันยาวนานจบลงแล้ว ทว่ามู่ฉินเจินยังฟุบอยู่บนร่างนาง เฉียวเยี่ยนที่หายใจหอบอยู่แล้วถูกเขาทับเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก

นางตบหลังเขาเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ลงไป หนัก!”

แต่มู่ฉินเจินกลับนอนนิ่งไม่ไหวติง ความร้อนจากร่างกายถูกส่งผ่านเสื้อผ้าไปยังร่างของเฉียวเยี่ยน

เฉียวเยี่ยนอึ้งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หน้าแดง ด้วยรู้ดีว่าบุรุษที่เป็นเช่นนี้ส่วนใหญ่ล้วนอยากทำเรื่องอย่างว่านั่น

นางขยับร่างกายพยายามขืนตัวออกจากใต้อาณัติเขา แต่มู่ฉินเจินกลับยึดนางไว้ ซบศีรษะกับซอกคอนางและเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “อย่าขยับ”

ขณะกล่าวก็ดันร่างมาแนบชิดนางมากขึ้น จนเฉียวเยี่ยนเบิกตากว้างอย่างตกใจกับการกระทำของเขา ก่อนเอ่ยตะกุกตะกัก “หะ…หายใจเข้าลึกๆ อะ…อย่าตื่นเต้น อย่าตื่นเต้น!”

มู่ฉินเจินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมาแผ่วเบา ด้วยความไม่อยากทำให้นางตกใจ จึงกลิ้งตัวออกจากร่างนาง และจ้องตรงไปที่ผ้าม่านบนหัวเตียง

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ก่อนเขาจะเปิดปากเอ่ย “อาเยี่ยน เมื่อใดเราจะก้าวไปอีกขั้นหนึ่งได้เสียที?”

“หะ…หา?”

เฉียวเยี่ยนตกตะลึงกับคำถามของเขา ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่คุยกันเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา

นางไม่ตอบ เพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดในใจถึงได้ผลักไสเรื่องนั้น แต่จะบอกว่าผลักไสมันก็ดูเหมือนว่าหวาดกลัวมากกว่า สรุปคือนางก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอย่างไรเช่นกัน

เมื่อเห็นนางไม่พูดอะไร มู่ฉินเจินก็ถอนหายใจเล็กน้อย และเอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไร ข้าจะรอเจ้า แต่อย่าให้ข้ารอนานเกินไปเล่าตกลงไหม?”

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาที่ไม่ทันได้เริ่มกินเนื้อคงได้อัดอั้นใจตายไปเสียก่อนแน่

เฉียวเยี่ยนได้ยินคำพูดที่ทนเก็บไว้ของเขาก็รู้สึกทุกข์ใจเล็กน้อย พวกเขายืนยันความสัมพันธ์มาหนึ่งปีเต็มแล้ว ในหนึ่งปีนี้เขาให้ความสำคัญกับนางเป็นอันดับแรก ไม่ว่านางจะทำอะไร เขาสนับสนุนทุกอย่าง ในชีวิตประจำวันก็ยิ่งเอาใจใส่ นางยังจะมีอะไรให้ต้องกังวลอีก?

เมื่อก่อนมีโอกาสที่ทั้งสองเกือบจะเลยเถิดอยู่หลายครั้ง แต่พอถึงจังหวะสำคัญ นางกลับได้สติขึ้นมา จากนั้นก็ผลักเขาออก

เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่ถูกนางผลักออก เขาไม่เคยชักสีหน้าใส่นางเลย แต่จะออกไปสงบสติอารมณ์ด้วยตัวเอง สุดท้ายก็กล่อมนางไม่ให้นางรู้สึกผิด

ท่านอ๋องของนางดีมากๆๆๆ ดีเสียจนนางรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจความปรารถนาดีของผู้อื่น

คืนนี้ก็เช่นเคย หลังจากมู่ฉินเจินถูกผลักออก เขาก็ลุกขึ้นรินน้ำเย็นให้ตัวเอง และยืนอยู่นอกประตูชำระจิตใจอย่างเงียบๆ เมื่ออารมณ์ของตัวเองสงบลงดุจน้ำถึงจะกลับเข้ามาในห้อง

เฉียวเยี่ยนยังไม่หลับ นางนอนราบอยู่บนเตียงพลางจ้องมองเพดานอย่างเหม่อลอย เมื่อมู่ฉินเจินเอนกายซุกใต้ผ้าห่มแล้ว นางก็กลิ้งเข้าไปในอ้อมแขนของเขา กอดเอวสอบเขาไว้แน่น

ร่างกายของมู่ฉินเจินแข็งทื่อไปทันใด และรู้สึกแค่ว่าการชำระจิตใจเมื่อครู่ของตัวเองช่างไร้ประโยชน์ แต่กลับไม่ผลักนางออกไป ใครใช้ให้เจ้าท่อนไม้เป็นคนที่เขารักกันล่ะ

เฉียวเยี่ยนกอดเขาอยู่ ปากก็เอ่ยเสียงเบา “ข้าขอโทษ”

มู่ฉินเจินยิ้มอ่อน และจูบหน้าผากนาง “ไม่ต้องขอโทษหรอก เจ้าไม่ได้ผิด ข้าผิดเองที่ใจร้อนเกินไป”

ทว่าคำพูดของเขาไม่ได้ทำให้เฉียวเยี่ยนสบายใจขึ้นเลย แต่กลับทำให้นางรู้สึกผิดมากขึ้น หลังจากคิดอยู่นาน นางก็รวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “ให้เวลาข้าอีกนิด แค่นิดเดียว ข้าจะรีบปรับตัวเองให้เร็วที่สุด”

มู่ฉินเจินใจอ่อนยวบ เขาลูบหลังนางเบาๆ “ไม่ต้องฝืนตัวเอง และไม่ต้องรีบร้อน ขอแค่เจ้ารู้ไว้ว่าต่อให้นานเท่าใดข้าก็จะรอเจ้าก็พอแล้ว”

เฉียวเยี่ยนรู้สึกประทับใจมากจนคัดจมูกอยากร้องไห้ นางสูดจมูกตัวเอง และเผยรอยยิ้มอ่อนหวานออกมา “ขอบคุณท่านสามี”

น้อยครั้งมากที่นางจะเรียกว่าสามี และส่วนใหญ่นางจะเรียกติดตลกว่าท่านอ๋องหรือที่รัก แต่ต้องยอมรับว่าการเรียกเช่นนี้ทำให้มู่ฉินเจินสุขกายสบายใจมาก

น่าเสียดายที่เขามิอาจเรียกว่าภรรยาออกมาได้ จึงได้แต่ตอบกลับว่า “ไม่ต้องเกรงใจ ฮูหยินของข้า”

หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายเมื่อครู่ เฉียวเยี่ยนก็ยิ่งนอนไม่หลับ จึงคะยั้นคะยอให้มู่ฉินเจินเล่าเรื่องราวให้ฟัง

มู่ฉินเจินไม่มีทางเลือก จึงเล่าเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นในวังวันนี้ให้นางฟัง

เมื่อเฉียวเยี่ยนฟังจบ นางก็หัวเราะกลิ้งไปมาบนเตียง ไม่ต้องไปดูให้เห็นกับตาเอง นางก็จินตนาการสีหน้ามืดมนของท่านอ๋องนางออกได้

หลังหัวเราะจบ นางก็อายเช่นกัน เพราะตัวเอกอีกคนของเรื่องนี้ก็คือนาง ชีวิตของสองสามีภรรยาถูกแม่สามีนำมาคุยอย่างเปิดเผย จะไม่อายได้อย่างไร?

นางแนบศีรษะเข้ากับอ้อมแขนมู่ฉินเจินพร้อมสีหน้าอับอาย และถามเสียงเบา “วันนี้อับอายเป็นพิเศษเลยใช่หรือไม่?”

มู่ฉินเจินยิ้มบางไปกับท่าทางน่ารักของนาง แต่จงใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยเล็กน้อย “ก็ใช่น่ะสิ หากไม่ใช่เพราะสามีของเจ้าร่างกายแข็งแรง วันนี้คงพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ”

นางถูไถใบหน้าอยู่ในอ้อมกอดเขา ไม่ยอมผละศีรษะออก กระทั่งคำพูดก็อายเกินกว่าจะเอ่ยออกมา

มู่ฉินเจินลูบศีรษะนาง “เอาล่ะ เจ้าท่อนไม้ ไม่มีใครหัวเราะเยาะเจ้าหรอก หากยังทำเช่นนี้ต่อไป ข้าคงอดไม่ได้อยาก…”

เขาอยากบอกว่าอยากจูบนางอีกครั้ง แต่เฉียวเยี่ยนเหมือนจะรู้ทันความคิดเขา รีบผละตัวออก กลิ้งไปอยู่เตียงด้านในทันที และแสร้งทำเป็นเอ่ยดุ “ห้ามเรียกข้าว่าเจ้าท่อนไม้ ข้าฉลาดแล้ว! ไม่เหมือนท่อนไม้เลยแม้แต่น้อย”

นางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดมู่ฉินเจินถึงชอบเรียกนางว่าเจ้าท่อนไม้ นางคิดว่าตัวเองฉลาดมากนะ

มู่ฉินเจินเองก็ขยับร่างกายมาหานาง และกอดนางอีกครั้ง “ได้ ไม่เรียกเจ้าว่าเจ้าท่อนไม้แล้ว ต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่าปีศาจน้อย ปีศาจน้อยที่ล่อลวงวิญญาณข้าโดยเฉพาะ”

เฉียวเยี่ยนทุบเขาไปสองทีด้วยความอับอาย หลังจากหยอกล้อกันเสร็จ ทั้งสองก็กอดกันเข้าสู่ห้วงนิทรา

……

วันรุ่งขึ้น มู่ฉินเจินไม่ได้ไปว่าราชกิจในตอนเช้า แม้แต่ขอลาหยุดก็คร้านที่จะขอ และตรงเข้าไปที่ค่ายทหารเลย ทำให้ชายชราในวังคลุ้มคลั่งสุดขีด

เขารู้ว่าเจ้าเด็กบ้านี่พยายามล้างแค้นที่เขาเยาะเย้ยอีกฝ่ายไว้เมื่อวาน ช่างเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยเสียจริง โตจนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ปล่อยให้เขาได้หัวเราะหน่อยคงไม่ทำให้ตกต่ำลงหรอกกระมัง!

วันหยุดเล็กๆ ของชายชราสิ้นสุดลงแล้ว จึงทำได้เพียงพิจารณาสาส์นอย่างกล้ำกลืนต่อไป ทว่าในใจตำหนิโอรสคนนั้นอย่างไม่หยุดพัก

เด็กทั้งสองที่นอนคนเดียวในห้องนอนเดี่ยวเมื่อคืนเป็นครั้งแรกต่างหลับสบายมาก และเคยชินกับอย่างรวดเร็ว เฉียวเยี่ยนจึงรู้สึกโล่งใจ และตื่นมาเตรียมอาหารเช้าให้พวกเขาแต่เช้าตรู่ จากนั้นก็ให้เฟิงหยางไปส่งที่สำนักศึกษา

งานราชการทหารส่วนใหญ่ที่สะสมในช่วงนี้มู่ฉินเจินล้วนมอบให้มู่เวินเหยียนเป็นคนจัดการ

ปีนี้เจ้าเด็กนี่อายุยี่สิบปีแล้ว และเพิ่งออกจากสำนักศึกษามาเมื่อปีที่แล้ว จึงถูกฮ่องเต้เฒ่าโยนไปที่ค่ายทหาร ให้เขาฝึกฝนกับมู่ฉินเจิน

ในบรรดาโอรสทั้งหมดของชายชรา นอกจากมู่ฉินเจินผู้เป็นที่โปรดปรานที่สุดแล้ว เขาก็ยังพอมีความรู้สึกต่อมู่เวินเหยียนอยู่บ้าง

ลู่จาวอี๋เป็นสตรีที่อ่อนโยนคนหนึ่ง ไม่ทะเลาะแย่งชิงกับคนอื่น และไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมากนัก โอรสที่นางสอนออกมาจึงสดใสและบริสุทธิ์ นี่คงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดฮองเฮาจึงเข้ากับนางได้ดี

มู่เวินเหยียนฝึกฝนอยู่ในค่ายทหารมาเกือบปีแล้ว และปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลย

ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น ร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ทักษะฝีมือก็พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนนิสัยก็สงบสุขุมขึ้นมาก กล่าวได้ว่าเขาคือทหารที่มู่ฉินเจินขัดเกลาปั้นแต่งออกมากับมือ

เด็กคนนี้ถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเด็ก คนอายุยี่สิบปีแต่เดิมที่ดูเหลาะแหละขี้เล่นหลังจากถูกมู่ฉินเจินฝึกซ้อมอย่างหนักอยู่ในค่ายทหาร ในที่สุดตอนนี้ก็ดูเป็นผู้ใหญ่แล้ว

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ให้เวลาเสี่ยวเยี่ยนหน่อยค่ะท่านอ๋อง คนมันโสดมายี่สิบสามปีเพิ่งมีความรักเป็นครั้งแรกมันก็จะประหม่าหน่อย อย่าให้เสี่ยวเยี่ยนสั่งสมทฤษฎีจนชั่วโมงเรียนสูงแล้วกัน

ไหหม่า(海馬)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *