เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 139 ลอกคราบเติบโตขึ้น

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 139 ลอกคราบเติบโตขึ้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 139 ลอกคราบเติบโตขึ้น

บทที่ 139 ลอกคราบเติบโตขึ้น

แม้กระทั่งแม่ทัพเฒ่าเซี่ยผู้หนักแน่นมั่นคง หลังจากได้ลองกินแตงโมขององค์ชายรองครั้งก่อน ยามนี้ก็ยังทำหน้าไม่อายมาขอส่วนแบ่งอีกครั้ง

ช่วยไม่ได้ ทางแดนพายัพนั้นผืนดินค่อนข้างแห้งแล้ง เพาะปลูกเสบียงอาหารยังนับว่ายาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปลูกผลไม้เลย

เซี่ยสุยอันแย้มยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เกาศีรษะแล้วนั่งลงเงียบ ๆ

มุมปากของหนานกงฉีโม่กระตุก หลังจากอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้มาพักใหญ่ ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า คนเหล่านี้ล้วนแต่ไม่มียางอายกันสักนิด

ที่แห่งนี้ไม่มีแนวคิดเรื่องการปฏิบัติตัวอย่างสุภาพชน บุคลิกนิสัยแต่ละคนล้วนหยาบกระด้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าทหารผ่านศึกในกองทัพ

หากเอ่ยเรื่องธรรมเนียมมารยาทและความเป็นสุภาพชนกับพวกเขา พวกเขาก็จะกลอกตาแล้วถามกลับว่า สิ่งนี้สามารถทำให้อิ่มท้องได้หรือไม่?

ใช่แล้ว เหล่าทหารชั้นสูงทั้งหมดในกองทัพต่างกังวลปัญหาเดียวกัน

เพราะมีคนจำนวนมากมายอยู่ใต้บัญชาของพวกเขา เช่นนั้น แล้วจะทำอย่างไรให้คนเหล่าสามารถกินอิ่มท้องได้

แล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถหาหญ้าดี ๆ มาเลี้ยงเหล่าม้าศึกได้

อาวุธยุทโธปกรณ์เองก็ต้องเปลี่ยนให้ใหม่สุด เพื่อให้รักษาชีวิตได้มากที่สุด

นี่คือปัญหาที่พวกเขาต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วน พวกเขาต่างต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ มีแค่คนที่ไม่ต้องกังวลกับความปลอดภัยในชีวิตตนเอง สามารถกินอิ่มนอนหลับทุกวัน จึงจะคิดคำนึงถึงปัญหาเรื่องมารยาทและความเป็นสุภาพชนได้

หนานกงฉีโม่ไม่ได้เห็นแย้งกับแนวคิดนี้ แต่ก็ยอมรับว่ามีเพียงการใช้คุณธรรมคุมคนเท่านั้นจึงจะสามารถปกครองแผ่นดินได้ดีกว่า

เพียงว่าพวกเขาเติบโตมาในสังคมที่แตกต่างกัน ทำให้การศึกษาและแนวคิดที่ได้รับมาไม่เหมือนกัน

การได้ออกมาสัมผัสประสบการณ์ในครั้งนี้ ทำให้หนานกงฉีโม่ได้ออกมาจากรั้วพระราชวังอันแสนสุขสบาย สัมผัสประสบการณ์ที่ชีวิตราวกับอยู่บนเส้นด้าย ทั้งยังได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย

ชายหนุ่มเติบโตขึ้นไม่น้อย ผิวพรรณก็คล้ำเข้มขึ้น ความเดียงสาที่มีเหลืออยู่เล็กน้อยก็เลือนหายไปสิ้น ใบหน้าที่งดงามอย่างถึงที่สุดขับเน้นความน่าเกรงขามให้เด่นชัด

เขายังชื่นชอบการสวมอาภรณ์สีแดงเช่นเคย ทุกครั้งที่ควบม้าวิ่งไปบนทุ่งหญ้า เปรียบประหนึ่งดวงตะวันโผล่พ้นฟ้าเคลื่อนตัวผ่าน ทั้งยังกลายเป็นทัศนียภาพอันงดงามของกองทัพอีกด้วย

หนานกงฉีโม่กำลังลอกคราบเติบโต คนในกองทัพเองก็ค่อย ๆ ยอมรับในตัวเขา

ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนจริง ๆ ว่าองค์ชายรองที่มีร่างกายผอมบางดูอ่อนแอ จะสามารถยืนหยัดฝึกฝนตอนเช้ากับพวกเขามาได้ทุกวันจนกระทั่งถึงตอนนี้

ผู้ที่ขยันขันแข็งมุ่งมานะย่อมควรค่าแก่การเคารพเลื่อมใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์ชายรองที่ไม่เคยวางท่าดูแคลนผู้อื่น แตกต่างจากเหล่าคุณชายชนชั้นสูงแสนยโสและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ตามที่พวกเขารู้จัก

แม้ว่าเขาจะยังมีความผยองหยิ่งทระนงตัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นหน่ายใจ

กระทั่งแม่ทัพเฒ่าเซี่ยเองก็ชื่นชมเขามากขึ้น ๆ ทุกครั้งที่มีการประชุมทางการทหารก็ไม่คิดหลบเลี่ยงเขาอีก

และในการประชุมครั้งนี้

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะโชคดีไม่น้อย บังเอิญของจากเมืองหลวงส่งมาให้องค์ชายรองพอดิบพอดี

นี่จะต้องถูกส่งมาโดยองค์หญิงน้อยอย่างแน่นอน ตั้งแต่มาถึงเมืองชายแดนทางทิศพายัพก็มีสิ่งของส่งมาให้องค์ชายรองเป็นประจำ บางครั้งก็มีจดหมายแนบติดมาด้วย บางครั้งก็เป็นคนจากสำนักคุ้มภัย*[1]ที่มาส่ง

ทุกครั้งที่ของจากองค์หญิงน้อยมาส่ง ผู้คนที่พบเห็นจำนวนมากต่างพากันอิจฉาตาร้อนกับความสัมพันธ์อันดียิ่งของพี่น้อง

เมื่อนำของเหล่านั้นเข้ามาแล้ว แม่ทัพเฒ่าเซี่ยและคนอื่น ๆ ก็ตาลุกวาวยามได้เห็นแตงโมผลใหญ่นับสิบลูก

เซี่ยสุยอัน “ว้าว! ครั้งนี้ส่งมาจำนวนมากถึงเพียงนี้ เรียกว่าแตงโมใช่หรือไม่?”

ครั้งก่อนมีเพียงสองลูกเท่านั้น เมื่อเหล่าแม่ทัพน้อยใหญ่แบ่งกันกิน แต่คนล้วนได้รับไปเพียงชิ้นเล็ก ๆ ด้วยปากใหญ่ ๆ ของพวกเขา เพียงแค่คำเดียวก็กินหมดแล้ว ยังไม่ทันจะได้ดื่มด่ำเลยด้วยซ้ำ!

ตอนนี้ได้เห็นแตงโมผลใหญ่ถึงสิบลูก จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร!

“ฮ่าฮ่าฮ่า…ช่างใจกว้างมากเสียจริง องค์ชายรองให้ข้าพูดเถิด ไม่มีน้องสาวของผู้ใดรักพี่ชายได้มากเท่านี้อีกแล้ว ถึงกับส่งของจำนวนมากมาให้ท่านประจำเช่นนี้ ผู้ใดกันในค่ายทหารของพวกเราจะไม่อิจฉาท่าน”

องค์ชายรองช่างโชคดียิ่งนัก ถึงได้มีน้องสาวที่รักพระองค์ถึงเพียงนี้

เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีน้องสาวที่รักและคอยส่งของมาให้เป็นประจำเช่นนี้บ้าง

บนใบหน้าของหนานกงฉีโม่มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น แววตาที่มองไปยังแตงโมเหล่านั้นอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง

เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะจากกันไกลถึงเพียงนี้ แต่เสี่ยวเป่าก็ยังคงส่งของจำนวนมากมาให้เขาเป็นประจำ

ชายหนุ่มเก็บแตงโมเอาไว้ให้ตนเองสองลูก ส่วนที่เหลือนำไปแจกจ่าย

ยกเว้นครอบครัวแม่ทัพเซี่ยที่คว้าแตงโมไปหนึ่งผลโดยไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปแย่ง คนอื่น ๆ ต่างต้องมาฉกชิงแตงโมอีกเจ็ดลูกที่เหลืออยู่

“เอาล่ะ ผู้ใดชนะผู้นั้นจะได้ไป!”

วิธีแก้ไขของพวกเขาเรียบง่ายและมุทะลุเป็นอย่างยิ่ง

ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว คนมีจำนวนมากไป แต่แตงโมมีน้อยนัก จึงไม่มีวิธีแก้ไขโดยไร้ปัญหา!

“บัดซบ ไอ้เด็กนี่เล่นลูกไม้โจมตีข้า!”

“เหอะ…นี่เรียกว่ารอจังหวะบุกโจมตีต่างหาก”

“ไว้หน้าข้าหน่อย พรุ่งนี้ข้าต้องไปหาว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคต พี่น้องอย่างพวกเจ้าก็มอบแตงโมลูกหนึ่งเอาไว้ให้ข้าใช้เอาใจว่าที่ลูกสะใภ้หน่อยเถิด”

“เหอะเหอะ เจ้ามีว่าที่ลูกสะใภ้แล้ว พวกข้ายังไม่มี ผู้ใดกันแน่ที่น่าสงสารกว่า?”

เหล่าชายรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงราวกับหมีเปิดศึกแย่งชิงกันจนแทบพังยับเยิน ภาพที่เห็นนั้นงดงามเกินไปจนไม่อาจทนดูได้

มุมปากของเซี่ยสุยอันกระตุก ทว่าเมื่อเห็นแตงโมผลใหญ่ที่ผู้เป็นบิดาถืออยู่ก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ อย่างน้อยบ้านเขาก็มีแตงโมผลใหญ่อยู่หนึ่งลูก เมื่อนำกลับไปแบ่งกันแล้วยังได้กินคนละหนึ่งชิ้นใหญ่

หนานกงฉีโม่มองฉากนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเบนสายตากลับมามองของสิ่งอื่นที่เสี่ยวเป่าส่งมาด้วย

เสื้อขนสัตว์ มีดสั้น คันธนู….

เขามีความรู้สึกว่าเสี่ยวเป่าไม่น่าจะใช่ผู้ที่ส่งของเหล่านี้มา

จนกระทั่งสิ่งสุดท้ายที่ถูกห่อไว้ในผ้าอย่างระมัดระวังถูกหยิบออกมา นี่ทำให้หนานกงฉีโม่ชะงักไปครู่หนึ่ง

เขาหยิบตุ๊กตาที่อยู่ด้านในออกมาด้วยความระมัดระวัง ตุ๊กตาตัวน้อยกำลังถือเฉ่าเหมยยืนมาด้วยรอยยิ้มร่า หนานกงฉีโม่มองแล้วราวกับได้ยินเสียงนุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าแว่วออกมา

‘พี่รอง ให้ท่านกิน’

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต

แต่มันเหมือนจนเกินไป

หนานกงฉีโม่ใช้นิ้วจิ้วลงไปเบา ๆ บนใบหน้าที่ขาวราวหิมะ

น่าเสียดายที่สัมผัสนั้นไม่เหมือนกับน้องหญิงของเขา

แต่สายตาของหนานกงฉีโม่ที่จับจ้องไปยังตุ๊กตาเหมือนเสี่ยวเป่า ก็เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดูจากก้นบึ้งของหัวใจ

นี่เป็นของขวัญที่ส่งตรงเข้าไปถึงหัวใจของเขาอย่างจัง

เซี่ยสุยอันที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลก็เห็นเช่นเดียวกัน ใบหน้าของเขามีความประหลาดใจ

“นี่…” จะเหมือนเกินไปแล้ว ปรมาจารย์ท่านใดกันที่ทำขึ้นมา!

“ตรงขากับแขนยังขยับได้ด้วย”

หนานกงฉีโม่เก็บตุ๊กตาทันทีไม่ยอมให้เขาจับ จากนั้นก็หยิบเมล็ดพันธุ์ที่ถูกห่อไว้ออกมา แต่ละห่อล้วนเขียนชื่อของพืชแต่ละชนิดเอาไว้

เมล็ดแตงโม เมล็ดเฉ่าเหมย เมล็ดมะเขือเทศ เม็ดผักกาดขาว เมล็ดหูหลัวปัว…

มีทั้งเมล็ดผักและผลไม้ ทั้งยังเขียนเวลาและวิธีที่ควรหว่านเมล็ด รวมถึงสิ่งที่ต้องดูแลให้ความใส่ใจระหว่างการเจริญเติบโตอีกด้วย

แม้ว่าลายมือจะไม่ใช่ของเสี่ยวเป่า แต่ข้อความเหล่านั้นจะต้องเป็นเสี่ยวเป่าที่เอ่ยบอกอย่างแน่นอน

มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่รู้เรื่องพืชพรรณมากถึงเพียงนี้ กระทั่งผู้ที่ทำการเพาะปลูกมานานหลายปียังไม่อาจเทียบนางได้

“ยังมียาอีกด้วย!”

ดวงตาของเซี่ยสุยอันเป็นประกายเมื่อเห็นขวดยาเหล่านั้น กระทั่งสายตาของแม่ทัพเฒ่าเซี่ยยังถูกเสียงของเขาดึงดูดให้มองมา

ก่อนหน้านี้ ยาลูกกลอนที่หนานกงฉีโม่เคยได้รับมานั้น นับว่ามีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง!

[1] สำนักคุ้มภัย (镖局) หมายถึง เป็นสำนักสมัยโบราณที่รับจ้างคุ้มกันคนหรือสิ่งของยามเดินทางได้

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *