ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีบทที่ 776 ละทิ้งความมืดเข้ากับแสงสว่าง?

Now you are reading ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี Chapter บทที่ 776 ละทิ้งความมืดเข้ากับแสงสว่าง? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความปรวนแปรของปราณวิญญาณและเสียงพูดคุยกันของผู้คน เยี่ยนจ้าวเกอล้วนรู้สึกคุ้นเคย

เขาค่อยๆ เก็บกลิ่นอาย เข้าไปใกล้ เสียงพูดของอีกฝ่ายพลันชัดเจนขึ้น

“ทั้งสองฝ่ายใจเย็นก่อน ข้าไม่คิดเป็นศัตรูของพวกท่าน”

คนที่พูดคือจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ม่วงจางเชา เจ้าสำนักรุ่นก่อนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเคยอยู่ในโลกแปดพิภพมาก่อน

“คนที่เป็นศัตรูกับต้าเสวียนคือสำนักแสงสว่าง แม้ข้าจะอยู่ในสำนักแสงสว่าง แต่ก็เป็นแค่เป็นแผนการชั่วคราวเท่านั้น หลังจากโลกจากโลกเบื้องล่างขึ้นมา ก็อยู่ในอาณาเขตของสำนักแสงสว่างแล้ว ดังนั้นจึงเป็นแขกพักอยู่ที่สำนักแสงสว่างชั่วคราว”

จางเชาน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย “ท่านมีตำแหน่งในราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องไม่ธรรมดา คาดว่าคงได้รับข้อมูลหลายอย่าง คนในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าไม่เคยเป็นศัตรูกับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง และไม่เคยเป็นศัตรูกับคนในสิบกระบี่ผู้วิเศษเช่นพวกท่าน บนมือเองก็ไม่เคยเปื้อนเลือดมาก่อนเช่นกัน”

คนสองคนที่ยืนด้านหน้าจางเชา กลับเป็นคังเม่าเซิงและคังจิ่นหยวนสองพี่น้อง

พวกเขาต่างติดตามคังผิงผู้เป็นบิดา เข้าร่วมสงครามทำลายผาตะวันจันทราอันเป็นที่อยู่ของสำนักแสงสว่าง

ต่อมาภายใต้ความแน่วแน่ของพวกเขา ก็ได้ไล่ตามเข้ามาด้านในพายุแม่เหล็กไร้สิ้นสุดบนน่านน้ำของดินแดนสุทธทัศน์พร้อมกับคังผิง

จนกระทั่งเข้ามาในวังก้นทะเล จึงค่อยพลัดหลงกับคังผิง

คนทั้งสองเดินทางอยู่ด้านใน ไม่ได้เจอพวกหลัวจื้อเทา กู้หง กงซุนอู่ แต่กลับพบจางเชาเข้า

คังจิ่นหยวนสีหน้าถมึงทึง ไม่พูดอะไรสักคำเดียว คนเหมือนกับถูกคลุมอยู่ใต้เงาสีดำชั้นหนึ่ง

ลักษณะนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับท่าทางยโสโอหัง ไม่กริ่งเกรงสิ่งใดในอดีตของเขา

หลังจากคังฮูหยินผู้เป็นมารดาประสบเภทภัย เขาก็มีท่าทีเช่นนี้มาโดยตลอด

อารมณ์ต่างๆ เช่น ความโศกเศร้า ความเคียดแค้น ความใจร้อน ความสับสน ต่างผสมผสานกัน

หลังจากเขาใจเย็นลงแล้ว เขาก็ไม่อาจลืมไปได้ว่า เป็นเขาใช้สว่านคำสาปเลือดป่นมิติ มอบโอกาสให้แก่เยี่ยนจ้าวเกอด้านในบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์

ต่อมาทุกอย่างถูกเตรียมพร้อม ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเรื่องนี้ หากไม่มีสว่านคำสาปเลือดป่นมิติ แค่หลอดเลือดปีศาจในมือเยี่ยนจ้าวเกอเพียงอย่างเดียว ไม่อาจทำให้พิธีกรรมปีศาจโลหิต รวมถึงพิธีกรรมปีศาจมายาสำเร็จได้

เป็นเพราะว่าการปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของสว่านคำสาปเลือดป่นมิติชิ้นนั้น เยี่ยนจ้าวเกอจึงสามารถเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ ใช้สภาวะช่วยเหลือได้ จึงค่อยเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในภายหลัง

สุดท้ายก็มอบสถานการณ์ที่พยัคฆ์สองฝ่ายสู้กันต้องตายไปฝ่ายหนึ่ง หรือสถานการณ์ที่ต้องตายทุกฝ่าย ให้กับพวกหลัวจื้อเทาและพวกคังฮูหยิน

ไม่มีคนพูดถึงความผิดนี้ คังผิงผู้เป็นบิดาไม่เคยพูดถึง คังเม่าเซิงพี่น้องที่ตนมองเป็นศัตรูมาโดยตลอดก็ไม่ได้พูดถึงเช่นกัน

แต่ว่าคังจิ่นหยวนไม่อาจลืมเลือนได้

คังเม่าเซิงที่ยืนอยู่ด้านข้างหนักแน่นมั่นคงหมือนก่อนหน้า

แต่ว่าเขาในตอนนี้ ที่จุดลมปราณบนข้อมือมีแสงส่องระยิบระยับ ประสานเสียงกับดวงดาวที่แท้จริงบนท้องฟ้า กลับได้ทำลายนภา เห็นเทวะสำแดง ก้าวสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้นแล้ว

เทียบกับจอมยุทธ์ในระดับเดียวกัน เขายังอ่อนเยาว์ยิ่ง มีศักยภาพไร้สิ้นสุด

คังเม่าเซิงมองจางเชา “ท่านอยากจะกล่าวอะไร กล่าวมาตรงๆ เถอะ”

ถึงแม้ว่าจะมองจางเชาอยู่ แต่ว่าคังเม่าเซิงได้แบ่งความสนใจครึ่งหนึ่งไปอยู่บนสตรีผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างจางเชา

สตรีนางนั้นงดงามเลิศล้ำ ดวงหน้าไร้รอยตำหนิ ลูกตาที่เหมือนกับกวางน้อยทั้งปราดเปรียวและแฝงความฉลาดเจ้าเล่ห์ แต่ก็อ่อนโยนทำให้คนนึกทะนุถนอม

เทียบกับครั้งก่อนที่เยี่ยนจ้าวเกอได้เจอนางแล้ว นางไม่ได้เปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก เพียงแค่มีความสงบนิ่งที่ได้จากการสั่งสมผ่านวันเวลาอันยาวนาน

เป็นเมิ่งหวานนั่นเอง

ตอนนี้นางยืนอยู่ข้างเจาเชาเงียบๆ ด้านข้างคือบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลา ลักษณะองอาจ เหมือนกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศบูรพา กำลังเคลื่อนที่สู่ท้องฟ้าเหนือศีรษะ

ถังหย่งฮ่าวที่ไม่ได้พบมานานนั่นเอง

คนทั้งสามจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นมายังโลกซ้อนโลก ในตอนนี้ต่างอยู่ที่นี่

เทียบกับเมิ่งหวานแล้ว ระดับความสำคัญที่สำนักแสงสว่างปฏิบัติกับถังหย่งฮ่าวถือว่าน้อยกว่ามาก การจัดหาทรัพยากรต่างๆ ไม่อาจเทียบเคียงกันได้

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ระดับพลังฝึกปรือของถังหย่งฮ่าวก็พลันพุ่งทะยาน สะท้อนให้เห็นถึงพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศ แม้จะเป็นในโลกซ้อนโลกก็ยังมีน้อย สำนักแสงสว่างในหลายปีมานี้ยิ่งมายิ่งให้ความสำคัญกับเขา

ทว่าถังหย่งฮ่าวที่ยังเป็นมหาปรมาจารย์ในตอนนี้ ไม่ได้อยู่ในสายตาของคังเม่าเซิง ต่อให้ถังหย่งฮ่าวจะมีระดับพลังฝึกปรือสูงกว่าเมิ่งหวานก็ตาม

ที่คังเม่าเซิงให้ความสำคัญกับเมิ่งหวาน มิสู้บอกว่าให้ความสำคัญกับมงกุฎสีขาวที่เมิ่งหวานสวมอยู่บนศีรษะ

ความเย็นเยียบสุกสกาวที่เหมือนกับแสงสว่างของพระจันทร์ กลับทำให้ไม่ว่าใครล้วนไม่อาจมองข้าม แสงสว่างที่เหมือนกับคลื่นน้ำกระจายออก ราวกับครอบคลุมฟ้าดินรอบๆ ประกอบกันเป็นโลกที่เป็นเอกเทศใบหนึ่ง

คังเม่าเซิงก้าวสู่ขั้นเทวะสำแดงสำเร็จแล้ว พลังของเขาน่าตระหนกนัก เหนือกว่าจางเชาเสียอีก

โดยเฉพาะจางเชายังไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย

แต่ว่าหากเมิ่งหว่านบังคับมงกุฎจันทรา จะสามารถทำให้มงกุฎจันทราแสดงอานุภาพของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางออกมาได้ ของวิเศษที่ได้รับการขนานนามเคียงคู่กับตราประทับตะวันชิ้นนี้ มีพื้นฐานแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ ถ้าเมิ่งหวานกระตุ้นมันและร่วมมือกับจางเชา คังเม่าเซิงก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้

ในสถานการณ์เช่นนี้ จางเชากลับมีท่าทีขอสงบศึก คังเม่าเซิงจึงรู้สึกหวั่นเกรง

ได้ยินจางเชากล่าวว่า “ข้าคิดจะละทิ้งความมืดเข้าหาแสงสว่าง หวังว่าพวกท่านจะช่วยเป็นธุระให้ได้”

คังเม่าเซิงกับคังจิ่นหยวนต่างขมวดคิ้ว

พูดกันอย่างยุติธรรม พลังของจางเชาแม้ว่าจะไม่ด้อยกว่าคังผิงและหลัวจื้อเทา แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้ก้าวสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง

นอกจากนั้น ใช่ว่าจางเชาจะไม่มีที่ว่างให้ก้าวหน้าต่อได้อีก

เขาคิดสวามิภักดิ์กับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง ราชวงศ์ต้าเสวียยนอ๋องย่อมต้อนรับ เพราระหว่างเขากับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องไม่เคยมีความขัดแย้งกันเหมือนอย่างที่เขาพูด

แต่สิ่งที่ทำให้คังเม่าเซิงสองพี่น้องสนใจก็คือ มงกุฎจันทรา

อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงชิ้นนี้ ไม่ใช่แค่โดดเด่นเท่านั้น แต่อาจหมายถึงสิ่งของอย่างอื่นนอกจากตัวมันได้ด้วย

จางเชายืนนิ่งอยู่กับที่ อดทนรอคอย

การดำรงอยู่ของมงกุฎจันทรา เป็นความมั่นใจของเขาเช่นกัน

หลังจากสืบค้น และได้รับทราบถึงเบื้องหลังของตราประทับตะวันและมงกุฎจันทรา จางเชาก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิม

ยิ่งเป็นคนที่เข้าใจถึงเบื้องหลังของมงกุฎจันทราอย่างเช่นพวกคังผิง ก็ยิ่งรักษาความระมัดระวัง ไม่ได้หน้ามืดตามัวเอามาครองเหมือนอย่างสำนักแสงสว่าง

เขาเชื่อว่าคังเม่าเซิงสองพี่น้องน่าจะไม่ปฏิเสธ อย่างน้อยก็คงพาพวกเขาไปพบพวกคังผิงแล้วค่อยตัดสินใจ

กลับเป็นจางเชาที่เฝ้าดูปฏิกิริยาของเมิ่งหวานมาโดยตลอด

แม้พลังฝักปรือในตอนนี้ของเมิ่งหวานจะอยู่แค่ระดับมหาปรมาจารย์ แต่ว่าตอนนี้นางครอบครองมงกุฎจันทรา อาจจะแข็งแกร่งกว่าเขาจางเชาเสียด้วยซ้ำไป

สำหรับเมิ่งหวานแล้ว จางเชาเป็นผู้เป็นมีอำนาจระดับบรมครูในตำนาน เป็นอาจารย์ลุงของอาจารย์ของนาง มีศักดิ์ฐานะและมีพลังมากกว่าหวงกวงเลี่ยที่กำหนดชะตาชีวิตของนางเสียอีก

แต่ว่ากาลเวลาผันเปลี่ยน เมิ่งหว่านในตอนนี้หากเผชิญหน้ากับจางเชา ก็มีความสามารถในการตัดสินใจเป็นของตัวเอง

ในขณะที่ความเงียบของนางทำให้จางเชาวางใจแล้ว ก็อดใคร่ครวญไม่ได้ว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่

ถังหย่งฮ่าวที่อยู่อีกด้านอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ในดวงตาปรากฏความกังวล

จางเชามองเคาเม่าเซิงและคังจิ่นหยวนสองพี่น้อง กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “สำนักแสงสว่างสำหรับพวกท่านแล้ว มีความแค้นล้ำลึก ความจริงศัตรูร่วมกันของพวกท่านทั้งสองฝ่ายก็คือเยี่ยนจ้าวเกอนั่น”

“สำนักของข้าเองก็มีความแค้นที่ไม่อาจแก้ไขกับเยี่ยนจ้าวเกอ และสำนักของเขาเช่นกัน”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีบทที่ 776 ละทิ้งความมืดเข้ากับแสงสว่าง?

Now you are reading ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี Chapter บทที่ 776 ละทิ้งความมืดเข้ากับแสงสว่าง? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความปรวนแปรของปราณวิญญาณและเสียงพูดคุยกันของผู้คน เยี่ยนจ้าวเกอล้วนรู้สึกคุ้นเคย

เขาค่อยๆ เก็บกลิ่นอาย เข้าไปใกล้ เสียงพูดของอีกฝ่ายพลันชัดเจนขึ้น

“ทั้งสองฝ่ายใจเย็นก่อน ข้าไม่คิดเป็นศัตรูของพวกท่าน”

คนที่พูดคือจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ม่วงจางเชา เจ้าสำนักรุ่นก่อนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเคยอยู่ในโลกแปดพิภพมาก่อน

“คนที่เป็นศัตรูกับต้าเสวียนคือสำนักแสงสว่าง แม้ข้าจะอยู่ในสำนักแสงสว่าง แต่ก็เป็นแค่เป็นแผนการชั่วคราวเท่านั้น หลังจากโลกจากโลกเบื้องล่างขึ้นมา ก็อยู่ในอาณาเขตของสำนักแสงสว่างแล้ว ดังนั้นจึงเป็นแขกพักอยู่ที่สำนักแสงสว่างชั่วคราว”

จางเชาน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย “ท่านมีตำแหน่งในราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องไม่ธรรมดา คาดว่าคงได้รับข้อมูลหลายอย่าง คนในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าไม่เคยเป็นศัตรูกับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง และไม่เคยเป็นศัตรูกับคนในสิบกระบี่ผู้วิเศษเช่นพวกท่าน บนมือเองก็ไม่เคยเปื้อนเลือดมาก่อนเช่นกัน”

คนสองคนที่ยืนด้านหน้าจางเชา กลับเป็นคังเม่าเซิงและคังจิ่นหยวนสองพี่น้อง

พวกเขาต่างติดตามคังผิงผู้เป็นบิดา เข้าร่วมสงครามทำลายผาตะวันจันทราอันเป็นที่อยู่ของสำนักแสงสว่าง

ต่อมาภายใต้ความแน่วแน่ของพวกเขา ก็ได้ไล่ตามเข้ามาด้านในพายุแม่เหล็กไร้สิ้นสุดบนน่านน้ำของดินแดนสุทธทัศน์พร้อมกับคังผิง

จนกระทั่งเข้ามาในวังก้นทะเล จึงค่อยพลัดหลงกับคังผิง

คนทั้งสองเดินทางอยู่ด้านใน ไม่ได้เจอพวกหลัวจื้อเทา กู้หง กงซุนอู่ แต่กลับพบจางเชาเข้า

คังจิ่นหยวนสีหน้าถมึงทึง ไม่พูดอะไรสักคำเดียว คนเหมือนกับถูกคลุมอยู่ใต้เงาสีดำชั้นหนึ่ง

ลักษณะนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับท่าทางยโสโอหัง ไม่กริ่งเกรงสิ่งใดในอดีตของเขา

หลังจากคังฮูหยินผู้เป็นมารดาประสบเภทภัย เขาก็มีท่าทีเช่นนี้มาโดยตลอด

อารมณ์ต่างๆ เช่น ความโศกเศร้า ความเคียดแค้น ความใจร้อน ความสับสน ต่างผสมผสานกัน

หลังจากเขาใจเย็นลงแล้ว เขาก็ไม่อาจลืมไปได้ว่า เป็นเขาใช้สว่านคำสาปเลือดป่นมิติ มอบโอกาสให้แก่เยี่ยนจ้าวเกอด้านในบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์

ต่อมาทุกอย่างถูกเตรียมพร้อม ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเรื่องนี้ หากไม่มีสว่านคำสาปเลือดป่นมิติ แค่หลอดเลือดปีศาจในมือเยี่ยนจ้าวเกอเพียงอย่างเดียว ไม่อาจทำให้พิธีกรรมปีศาจโลหิต รวมถึงพิธีกรรมปีศาจมายาสำเร็จได้

เป็นเพราะว่าการปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของสว่านคำสาปเลือดป่นมิติชิ้นนั้น เยี่ยนจ้าวเกอจึงสามารถเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ ใช้สภาวะช่วยเหลือได้ จึงค่อยเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในภายหลัง

สุดท้ายก็มอบสถานการณ์ที่พยัคฆ์สองฝ่ายสู้กันต้องตายไปฝ่ายหนึ่ง หรือสถานการณ์ที่ต้องตายทุกฝ่าย ให้กับพวกหลัวจื้อเทาและพวกคังฮูหยิน

ไม่มีคนพูดถึงความผิดนี้ คังผิงผู้เป็นบิดาไม่เคยพูดถึง คังเม่าเซิงพี่น้องที่ตนมองเป็นศัตรูมาโดยตลอดก็ไม่ได้พูดถึงเช่นกัน

แต่ว่าคังจิ่นหยวนไม่อาจลืมเลือนได้

คังเม่าเซิงที่ยืนอยู่ด้านข้างหนักแน่นมั่นคงหมือนก่อนหน้า

แต่ว่าเขาในตอนนี้ ที่จุดลมปราณบนข้อมือมีแสงส่องระยิบระยับ ประสานเสียงกับดวงดาวที่แท้จริงบนท้องฟ้า กลับได้ทำลายนภา เห็นเทวะสำแดง ก้าวสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้นแล้ว

เทียบกับจอมยุทธ์ในระดับเดียวกัน เขายังอ่อนเยาว์ยิ่ง มีศักยภาพไร้สิ้นสุด

คังเม่าเซิงมองจางเชา “ท่านอยากจะกล่าวอะไร กล่าวมาตรงๆ เถอะ”

ถึงแม้ว่าจะมองจางเชาอยู่ แต่ว่าคังเม่าเซิงได้แบ่งความสนใจครึ่งหนึ่งไปอยู่บนสตรีผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างจางเชา

สตรีนางนั้นงดงามเลิศล้ำ ดวงหน้าไร้รอยตำหนิ ลูกตาที่เหมือนกับกวางน้อยทั้งปราดเปรียวและแฝงความฉลาดเจ้าเล่ห์ แต่ก็อ่อนโยนทำให้คนนึกทะนุถนอม

เทียบกับครั้งก่อนที่เยี่ยนจ้าวเกอได้เจอนางแล้ว นางไม่ได้เปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก เพียงแค่มีความสงบนิ่งที่ได้จากการสั่งสมผ่านวันเวลาอันยาวนาน

เป็นเมิ่งหวานนั่นเอง

ตอนนี้นางยืนอยู่ข้างเจาเชาเงียบๆ ด้านข้างคือบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลา ลักษณะองอาจ เหมือนกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศบูรพา กำลังเคลื่อนที่สู่ท้องฟ้าเหนือศีรษะ

ถังหย่งฮ่าวที่ไม่ได้พบมานานนั่นเอง

คนทั้งสามจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นมายังโลกซ้อนโลก ในตอนนี้ต่างอยู่ที่นี่

เทียบกับเมิ่งหวานแล้ว ระดับความสำคัญที่สำนักแสงสว่างปฏิบัติกับถังหย่งฮ่าวถือว่าน้อยกว่ามาก การจัดหาทรัพยากรต่างๆ ไม่อาจเทียบเคียงกันได้

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ระดับพลังฝึกปรือของถังหย่งฮ่าวก็พลันพุ่งทะยาน สะท้อนให้เห็นถึงพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศ แม้จะเป็นในโลกซ้อนโลกก็ยังมีน้อย สำนักแสงสว่างในหลายปีมานี้ยิ่งมายิ่งให้ความสำคัญกับเขา

ทว่าถังหย่งฮ่าวที่ยังเป็นมหาปรมาจารย์ในตอนนี้ ไม่ได้อยู่ในสายตาของคังเม่าเซิง ต่อให้ถังหย่งฮ่าวจะมีระดับพลังฝึกปรือสูงกว่าเมิ่งหวานก็ตาม

ที่คังเม่าเซิงให้ความสำคัญกับเมิ่งหวาน มิสู้บอกว่าให้ความสำคัญกับมงกุฎสีขาวที่เมิ่งหวานสวมอยู่บนศีรษะ

ความเย็นเยียบสุกสกาวที่เหมือนกับแสงสว่างของพระจันทร์ กลับทำให้ไม่ว่าใครล้วนไม่อาจมองข้าม แสงสว่างที่เหมือนกับคลื่นน้ำกระจายออก ราวกับครอบคลุมฟ้าดินรอบๆ ประกอบกันเป็นโลกที่เป็นเอกเทศใบหนึ่ง

คังเม่าเซิงก้าวสู่ขั้นเทวะสำแดงสำเร็จแล้ว พลังของเขาน่าตระหนกนัก เหนือกว่าจางเชาเสียอีก

โดยเฉพาะจางเชายังไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย

แต่ว่าหากเมิ่งหว่านบังคับมงกุฎจันทรา จะสามารถทำให้มงกุฎจันทราแสดงอานุภาพของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางออกมาได้ ของวิเศษที่ได้รับการขนานนามเคียงคู่กับตราประทับตะวันชิ้นนี้ มีพื้นฐานแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ ถ้าเมิ่งหวานกระตุ้นมันและร่วมมือกับจางเชา คังเม่าเซิงก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้

ในสถานการณ์เช่นนี้ จางเชากลับมีท่าทีขอสงบศึก คังเม่าเซิงจึงรู้สึกหวั่นเกรง

ได้ยินจางเชากล่าวว่า “ข้าคิดจะละทิ้งความมืดเข้าหาแสงสว่าง หวังว่าพวกท่านจะช่วยเป็นธุระให้ได้”

คังเม่าเซิงกับคังจิ่นหยวนต่างขมวดคิ้ว

พูดกันอย่างยุติธรรม พลังของจางเชาแม้ว่าจะไม่ด้อยกว่าคังผิงและหลัวจื้อเทา แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้ก้าวสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง

นอกจากนั้น ใช่ว่าจางเชาจะไม่มีที่ว่างให้ก้าวหน้าต่อได้อีก

เขาคิดสวามิภักดิ์กับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง ราชวงศ์ต้าเสวียยนอ๋องย่อมต้อนรับ เพราระหว่างเขากับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องไม่เคยมีความขัดแย้งกันเหมือนอย่างที่เขาพูด

แต่สิ่งที่ทำให้คังเม่าเซิงสองพี่น้องสนใจก็คือ มงกุฎจันทรา

อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงชิ้นนี้ ไม่ใช่แค่โดดเด่นเท่านั้น แต่อาจหมายถึงสิ่งของอย่างอื่นนอกจากตัวมันได้ด้วย

จางเชายืนนิ่งอยู่กับที่ อดทนรอคอย

การดำรงอยู่ของมงกุฎจันทรา เป็นความมั่นใจของเขาเช่นกัน

หลังจากสืบค้น และได้รับทราบถึงเบื้องหลังของตราประทับตะวันและมงกุฎจันทรา จางเชาก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิม

ยิ่งเป็นคนที่เข้าใจถึงเบื้องหลังของมงกุฎจันทราอย่างเช่นพวกคังผิง ก็ยิ่งรักษาความระมัดระวัง ไม่ได้หน้ามืดตามัวเอามาครองเหมือนอย่างสำนักแสงสว่าง

เขาเชื่อว่าคังเม่าเซิงสองพี่น้องน่าจะไม่ปฏิเสธ อย่างน้อยก็คงพาพวกเขาไปพบพวกคังผิงแล้วค่อยตัดสินใจ

กลับเป็นจางเชาที่เฝ้าดูปฏิกิริยาของเมิ่งหวานมาโดยตลอด

แม้พลังฝักปรือในตอนนี้ของเมิ่งหวานจะอยู่แค่ระดับมหาปรมาจารย์ แต่ว่าตอนนี้นางครอบครองมงกุฎจันทรา อาจจะแข็งแกร่งกว่าเขาจางเชาเสียด้วยซ้ำไป

สำหรับเมิ่งหวานแล้ว จางเชาเป็นผู้เป็นมีอำนาจระดับบรมครูในตำนาน เป็นอาจารย์ลุงของอาจารย์ของนาง มีศักดิ์ฐานะและมีพลังมากกว่าหวงกวงเลี่ยที่กำหนดชะตาชีวิตของนางเสียอีก

แต่ว่ากาลเวลาผันเปลี่ยน เมิ่งหว่านในตอนนี้หากเผชิญหน้ากับจางเชา ก็มีความสามารถในการตัดสินใจเป็นของตัวเอง

ในขณะที่ความเงียบของนางทำให้จางเชาวางใจแล้ว ก็อดใคร่ครวญไม่ได้ว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่

ถังหย่งฮ่าวที่อยู่อีกด้านอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ในดวงตาปรากฏความกังวล

จางเชามองเคาเม่าเซิงและคังจิ่นหยวนสองพี่น้อง กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “สำนักแสงสว่างสำหรับพวกท่านแล้ว มีความแค้นล้ำลึก ความจริงศัตรูร่วมกันของพวกท่านทั้งสองฝ่ายก็คือเยี่ยนจ้าวเกอนั่น”

“สำนักของข้าเองก็มีความแค้นที่ไม่อาจแก้ไขกับเยี่ยนจ้าวเกอ และสำนักของเขาเช่นกัน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+