ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีบทที่ 910 ข้ารู้ว่าวันตายของท่านมาถึงแล้ว

Now you are reading ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี Chapter บทที่ 910 ข้ารู้ว่าวันตายของท่านมาถึงแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มีคำกล่าวว่า ท้องฟ้าไม่มีดวงอาทิตย์สองดวง

แต่ว่าในตอนนี้ ดวงอาทิตย์สองดวงลอยอยู่กลางฟ้าสูง สาดส่องแสงให้แก่โลกสูงเลิศ

โลกใบนี้ถึงขั้นไม่อาจบรรจุแสงไร้สิ้นสุดจากดวงอาทิตย์สองดวงนี้ได้

ท้องฟ้าถูกฉีกกระชากโดยสมบูรณ์ แสงสาดออกไปไกล แม้แต่มิติที่มืดมิดก็ถูกส่องสว่าง

ดวงอาทิตย์สีแดงดวงหนึ่งตรงกลางนั่งไว้ด้วยพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ม้วนศีรษะเป็นมวย สวมจีวรบาง นั่งกลางดอกบัว สองมือประสานมุทรา

เสียงสวดมนต์กระจายไปทั่วฟ้า ลักษณะสมบูรณ์แบบ แสงพุทธสาดส่อง

ดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งเป็นสีทอง ส่องแสงทั่วฟ้าดิน เหมือนกับดวงอาทิตย์ของจริงเหนือศีรษะ

แสงสว่างไร้สิ้นสุดจากดวงอาทิตย์สีทองดวงนั้นแผ่ขยายออกไปรอบๆ ส่องโลกสูงเลิศให้เป็นตอนกลางวัน

แม้ว่าจะไม่ได้มีจิตแห่งสติอันสงบนิ่งของศาสนาพุทธ แต่ดวงอาทิตย์สีทองก็สว่างไสวกว่า เร่าร้อนกว่า บริสุทธิ์ยิ่งกว่า

ทว่าด้านในดวงอาทิตย์สีทองดวงนี้ก็มีแสงหลายสายสาดส่องไม่เปลี่ยนแปลงอยู่เช่นกัน

ฟู่ถิงมองเหตุการณ์นี้ คิ้วเลิกขึ้นน้อยๆ “ตรายูไลครรภโกศธาตุ การสืบทอดสายยูไลของศาสนาพุทธ”

นางมองดวงอาทิตย์สีทองดวงนั้น “ความรู้สึกนี้เหมือนเป็น…”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นคัมภีร์อาทิตย์ไร้ประมาณ ของตำหนักอาทิตย์ไร้ประมาณก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่”

“เมื่อครู่เราได้เห็นคนที่เคยฝึกวรยุทธ์ชนิดนี้จากโถงเซียน ต่อสู้กับจักรพรรดิประกายกาฬ”

ดวงอาทิตย์หนึ่งแดงหนึ่งทองแย่งชิงแสงกลางอากาศ เป็นเหตุให้ฟ้าดินในโลกสูงเลิศกำลังสั่นไหว

ไม่ใช่แค่ท้องฟ้าที่ถูกฉีกเท่านั้น ภูผาแผ่นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็แตกร้าวไปด้วย

โลกสูงเลิศมีระดับความแข็งแกร่งและระดับความมั่นคงของเขตแดนฟ้าดินเหนือกว่าโลกแปดพิภพ โลกผืนสมุทร และโลกปีศาจอัคคี แต่ไม่อาจเทียบกับโลกซ้อนโลกได้

ยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นประมุขจากพุทธและเต๋าสองคนประมือกัน ที่นี่พลันมีสภาพเหมือนวันสิ้นโลก

โชคดีที่สองฝ่ายที่สู้กันยังมีสติดี ในตอนที่ประมือครั้งแรก ก็ทลายนภาออกไป หมายจะย้ายสนามรบไปยังมิติต่างแดน

ไม่ว่าจะเป็นสำหรับโถงเซียนสำนักเต๋า หรือแดนสุขาวดีศาสนาพุทธ คนธรรมดาสามัญที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ล้วนเป็นแหล่งของพลังศรัทธาอันสำคัญ เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่พวกเขาช่วงชิงกันอยู่แล้ว

บางทีอาจเป็นเพราะไม่ต้องการให้กระทบต่อสภาพอากาศ หรือไม่ก็เพราะความต้องการส่วนตัว

สรุปก็คือ ประมุขระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สองคนทลายนภาออกไปแล้ว

แม้ว่าฟ้าดินจะยังคงสั่นไหว แต่ว่าในที่สุดโลกสูงเลิศก็ไม่ได้พินาศเพราะเรื่องนี้

นอกจากยอดฝีมือระดับสุดยอดของแต่ละฝ่ายแล้ว จอมยุทธ์คนอื่นๆ จากโถงเซียนและศาสนาพุทธต่างก็จับคู่เข่นฆ่ากัน

ผู้ที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างสูงทลายนภาตามประมุขระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สองคนไป ส่วนผู้ที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างต่ำต่อสู้กันอยู่บนโลกสูงเลิศ

เยี่ยนจ้าวเกอกับฟู่ถิงสบตากัน แล้วเหาะร่างขึ้นด้านบนอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งสองใช้สภาพโกลาหลตรงหน้า ผละจากโลกสูงเลิศผ่านร่องแยกมิติที่พังทลายทันที

เทียบกับในตอนที่พวกเขาเพิ่งมาถึงฝั่งโถงเซียนเพราะการโจมตีของทวนพระอังคารเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว มิติในตอนนี้สับสนอลหม่านยิ่ง

มิติเวลาเปลี่ยนเป็นโกลาหลถึงขีดสุด ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยการสั่นไหวของกลิ่นอายที่แข็งแกร่ง คล้ายกับควันสงครามตลบไปทั่ว ทุกที่ต่างเกิดการฆ่าฟันกัน

‘สถานการณ์ในตอนนี้ต่อให้ท่านแม่จะอยู่ในโลกใบอื่น ก็เกรงว่าจะไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ต้องหาวิธีออกไปจากที่นี่เช่นกัน’ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจ

สำหรับเขา สำหรับฟู่ถิง สำหรับเสวี่ยชูฉิงที่เป็นลูกศิษย์สามพิสุทธิ์สายหลักแล้ว ดินแดนที่เกิดการต่อสู้ระหว่างโถงเซียนกับศาสนาพุทธเบื้องหน้านี้ ไม่เป็นผลดีต่อการเร้นกายมากที่สุด

หากเก็บพลังฝึกปรือของตัวเอง จะถูกคลื่นที่หลงเหลือจากการต่อสู้กันของทั้งสองฝ่ายกวาดล้างได้ง่ายๆ ตายไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

หากไม่กดอัดพลังของตัวเอง เมื่อด้านในร่างไม่มีทั้งแสงพุทธและแสงเต๋าก็จะสะดุดตา ถูกเปิดเผยสถานะได้อย่างง่ายดาย

ทว่าการหลบหนีในครั้งนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่ถิง กลับพบปัญหาหนึ่งเข้า

แม้ว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นประมุขสองคนนั้นจะกำลังสู้กันอย่างดุเดือด ไม่ได้สนใจพวกเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ว่ากลับมีคู่ต่อสู้คนอื่นค้นพบถึงความผิดปกติของเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่ถิง

คลื่นปราณที่แข็งแกร่งสายหนึ่งม้วนพัดทั่วบริเวณ พุ่งเข้ามาปะทะหน้าพวกเยี่ยนจ้าวเกอ

ผู้มาเยือนมีกลิ่นอายเหี้ยมหาญ คล้ายกับเมฆดำกดทับศีรษะ

ด้านในชั้นเมฆมีแสงสว่างกะพริบ เห็นเงาแสงสิบกลุ่ม เหมือนกับเทพสิบองค์ลงมาจุติ

เยี่ยนจ้าวเกอโพล่งขึ้นว่า “พลังฟ้าพลิกผันเมฆ”

“พลังฟ้าพลิกผันเมฆ วรยุทธ์คุ้มกันสำนักของสำนักเมฆเลือนดาวก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่น่ะหรือ” ฟูถิงตอบสนองอย่างรวดเร็ว “เป็นวรยุทธ์ที่หายสาปสูญไปจากโลกซ้อนโลกอีกแล้ว”

แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังฟ้าพลิกผันเมฆหรือไม่ แสงที่สว่างไสวในกลุ่มเมฆก็พาดขวางอยู่กลางมิติ

ในขณะที่กลุ่มเมฆเคลื่อนตัว หากเจอจอมยุทธ์ศาสนาพุทธคนไหน ต่างเอาชนะและกวาดล้างได้อย่างเหี้ยมหาญ

หยางชงกับเฉวียนฮ่าวหลงเห็นดังนั้นต่างแตกตื่น “เป็นเจ้าสำนักซ่างมาแล้ว!”

เยี่ยนจ้าวเกอถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักซ่าง?”

หยางชงหัวเราะขื่นขม “ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของโลกสูงเลิศของข้า ซ่างจวิน ‘หัตถ์พลิกเมฆคว่ำพิรุณ’ เจ้าสำนักเมฆเลือนดาว”

ในโลกสูงเลิศ สำนักเมฆเลือนดาวเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่ง มีพลังเหนือกว่าสำนักฟ้าโกลาหล

ซ่างจวินผู้เป็นเจ้าสำนักมีอำนาจและชื่อเสียงในแดนเซียนปลดปลงคนหนึ่ง

“เหอะ แม้แต่ชื่อสำนักเมฆเลือนดาวก็คล้ายกัน” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเล็กน้อย ย้ายร่างไปอีกทางหนึ่ง

ฟู่ถิงเข้าใจ เหาะตามเยี่ยนจ้าวเกอไป ค่อยๆ ผละจากโลกสูงเลิศ เข้าสู่มิติที่อยู่ห่างออกไป

กลุ่มเมฆกลุ่มนั้นเปลี่ยนทิศทางตาม เพิ่มความเร็วไล่มา เหมือนกับต้องการหยุดพวกเยี่ยนจ้าวเกอให้ได้

เยี่ยนจ้าวเกอควบคุมความเร็วของตัวเอง หลังจากหนีห่างพร้อมกับฟู่ถิงได้ระยะหนึ่ง ก็ค่อยๆ ถูกกลุ่มเมฆกลุ่มนั้นหยุดไว้

บุรุษสวมชุดแพรที่มีอายุราวๆ สามสิบปีปรากฏกายขึ้นมาจากในกลุ่มเมฆ

ทั่วร่างของเขามีกลุ่มแสงสิบกลุ่มวนเวียน ขับให้เขาเหมือนกับเทพเซียนที่เสด็จมายังโลก

บุรุษสวมชุดแพรก้มมองเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่ถิง กล่าวอย่างเย็นชา “ลูกศิษย์นอกรีต เรื่องวุ่นวายที่สำนักฟ้าโกลาหลก่อขึ้นในโลกสูงเลิศเมื่อก่อนหน้า เป็นฝีมือของพวกเจ้าหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอมองซ่างจวินที่อยู่ด้านหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คำพูดของท่านไร้เหตุผลยิ่ง”

ซ่างจวินยิ้มเล็กน้อย “การเล่นสำนวนไม่ได้ช่วยอะไร”

ชายหนุ่มแบมือ “เช่นนั้นท่านคิดจะทำอย่างไร”

ซ่างจวินแค่นเสียงเย็นชา “ทำอย่างไร? ย่อมจับพวกเจ้าก่อนแล้วค่อยว่ากล่าว”

เยี่ยนจ้าวเกอชี้ไปยังมิติที่กำลังเกิดการต่อสู้กันอยู่ห่างออกไป “แต่ไม่ใช่พวกท่านกำลังสู้กับศาสนาพุทธอยู่หรอกหรือ ไยต้องมาใส่ใจคนที่ไม่เกี่ยวข้องเช่นพวกข้าด้วย”

“มารพุทธแม้ว่าจะเป็นศัตรูที่อยู่ตรงหน้า แต่การจับพวกเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก” ซ่างจวินหัวเราะ

“ในตอนนี้มารพุทธโอหังได้อีกไม่นาน มารร้ายนอกรีตล้วนถูกกำจัดสิ้น ข้าจะทอดแหใส่ปลาเล็กปลาใหญ่ทั้งหมด แม้แต่กุ้งฝอยก็จะกวาดไปด้วย”

เขาพูดพลางยกฝ่ามือขึ้น “ดูจากระดับพลังฝึกปรือและอายุของพวกเจ้า นับว่าอยู่เหนือธรรมดาจริงๆ สมควรเป็นบุคคลอัจฉริยะระดับสุดยอดในเส้นทางนอกรีต”

“พวกเจ้าตกลงสู่เส้นทางนอกรีต ช่างน่าเสียดายจริงๆ มิสู้ให้ข้านำพวกเจ้ากลับสู่เส้นทางหลัก ยังไม่ถือว่าสายเกินไป”

ฟู่ถิงเอ่ยว่า “ผู้ใดเป็นเต๋าสายหลัก ผู้ใดเป็นมารเต๋านอกรีต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่าน”

ซ่างจวินหัวเราะ “ผู้เยาว์อย่างพวกเจ้าจะไปรู้อะไร”

พูดจบก็ฟาดฝ่ามือลงทันที!

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็แค่นหัวเราะ “ข้ารู้ว่าวันตายของท่านมาถึงแล้ว”

………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีบทที่ 910 ข้ารู้ว่าวันตายของท่านมาถึงแล้ว

Now you are reading ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี Chapter บทที่ 910 ข้ารู้ว่าวันตายของท่านมาถึงแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มีคำกล่าวว่า ท้องฟ้าไม่มีดวงอาทิตย์สองดวง

แต่ว่าในตอนนี้ ดวงอาทิตย์สองดวงลอยอยู่กลางฟ้าสูง สาดส่องแสงให้แก่โลกสูงเลิศ

โลกใบนี้ถึงขั้นไม่อาจบรรจุแสงไร้สิ้นสุดจากดวงอาทิตย์สองดวงนี้ได้

ท้องฟ้าถูกฉีกกระชากโดยสมบูรณ์ แสงสาดออกไปไกล แม้แต่มิติที่มืดมิดก็ถูกส่องสว่าง

ดวงอาทิตย์สีแดงดวงหนึ่งตรงกลางนั่งไว้ด้วยพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ม้วนศีรษะเป็นมวย สวมจีวรบาง นั่งกลางดอกบัว สองมือประสานมุทรา

เสียงสวดมนต์กระจายไปทั่วฟ้า ลักษณะสมบูรณ์แบบ แสงพุทธสาดส่อง

ดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งเป็นสีทอง ส่องแสงทั่วฟ้าดิน เหมือนกับดวงอาทิตย์ของจริงเหนือศีรษะ

แสงสว่างไร้สิ้นสุดจากดวงอาทิตย์สีทองดวงนั้นแผ่ขยายออกไปรอบๆ ส่องโลกสูงเลิศให้เป็นตอนกลางวัน

แม้ว่าจะไม่ได้มีจิตแห่งสติอันสงบนิ่งของศาสนาพุทธ แต่ดวงอาทิตย์สีทองก็สว่างไสวกว่า เร่าร้อนกว่า บริสุทธิ์ยิ่งกว่า

ทว่าด้านในดวงอาทิตย์สีทองดวงนี้ก็มีแสงหลายสายสาดส่องไม่เปลี่ยนแปลงอยู่เช่นกัน

ฟู่ถิงมองเหตุการณ์นี้ คิ้วเลิกขึ้นน้อยๆ “ตรายูไลครรภโกศธาตุ การสืบทอดสายยูไลของศาสนาพุทธ”

นางมองดวงอาทิตย์สีทองดวงนั้น “ความรู้สึกนี้เหมือนเป็น…”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นคัมภีร์อาทิตย์ไร้ประมาณ ของตำหนักอาทิตย์ไร้ประมาณก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่”

“เมื่อครู่เราได้เห็นคนที่เคยฝึกวรยุทธ์ชนิดนี้จากโถงเซียน ต่อสู้กับจักรพรรดิประกายกาฬ”

ดวงอาทิตย์หนึ่งแดงหนึ่งทองแย่งชิงแสงกลางอากาศ เป็นเหตุให้ฟ้าดินในโลกสูงเลิศกำลังสั่นไหว

ไม่ใช่แค่ท้องฟ้าที่ถูกฉีกเท่านั้น ภูผาแผ่นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็แตกร้าวไปด้วย

โลกสูงเลิศมีระดับความแข็งแกร่งและระดับความมั่นคงของเขตแดนฟ้าดินเหนือกว่าโลกแปดพิภพ โลกผืนสมุทร และโลกปีศาจอัคคี แต่ไม่อาจเทียบกับโลกซ้อนโลกได้

ยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นประมุขจากพุทธและเต๋าสองคนประมือกัน ที่นี่พลันมีสภาพเหมือนวันสิ้นโลก

โชคดีที่สองฝ่ายที่สู้กันยังมีสติดี ในตอนที่ประมือครั้งแรก ก็ทลายนภาออกไป หมายจะย้ายสนามรบไปยังมิติต่างแดน

ไม่ว่าจะเป็นสำหรับโถงเซียนสำนักเต๋า หรือแดนสุขาวดีศาสนาพุทธ คนธรรมดาสามัญที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ล้วนเป็นแหล่งของพลังศรัทธาอันสำคัญ เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่พวกเขาช่วงชิงกันอยู่แล้ว

บางทีอาจเป็นเพราะไม่ต้องการให้กระทบต่อสภาพอากาศ หรือไม่ก็เพราะความต้องการส่วนตัว

สรุปก็คือ ประมุขระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สองคนทลายนภาออกไปแล้ว

แม้ว่าฟ้าดินจะยังคงสั่นไหว แต่ว่าในที่สุดโลกสูงเลิศก็ไม่ได้พินาศเพราะเรื่องนี้

นอกจากยอดฝีมือระดับสุดยอดของแต่ละฝ่ายแล้ว จอมยุทธ์คนอื่นๆ จากโถงเซียนและศาสนาพุทธต่างก็จับคู่เข่นฆ่ากัน

ผู้ที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างสูงทลายนภาตามประมุขระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สองคนไป ส่วนผู้ที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างต่ำต่อสู้กันอยู่บนโลกสูงเลิศ

เยี่ยนจ้าวเกอกับฟู่ถิงสบตากัน แล้วเหาะร่างขึ้นด้านบนอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งสองใช้สภาพโกลาหลตรงหน้า ผละจากโลกสูงเลิศผ่านร่องแยกมิติที่พังทลายทันที

เทียบกับในตอนที่พวกเขาเพิ่งมาถึงฝั่งโถงเซียนเพราะการโจมตีของทวนพระอังคารเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว มิติในตอนนี้สับสนอลหม่านยิ่ง

มิติเวลาเปลี่ยนเป็นโกลาหลถึงขีดสุด ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยการสั่นไหวของกลิ่นอายที่แข็งแกร่ง คล้ายกับควันสงครามตลบไปทั่ว ทุกที่ต่างเกิดการฆ่าฟันกัน

‘สถานการณ์ในตอนนี้ต่อให้ท่านแม่จะอยู่ในโลกใบอื่น ก็เกรงว่าจะไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ต้องหาวิธีออกไปจากที่นี่เช่นกัน’ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจ

สำหรับเขา สำหรับฟู่ถิง สำหรับเสวี่ยชูฉิงที่เป็นลูกศิษย์สามพิสุทธิ์สายหลักแล้ว ดินแดนที่เกิดการต่อสู้ระหว่างโถงเซียนกับศาสนาพุทธเบื้องหน้านี้ ไม่เป็นผลดีต่อการเร้นกายมากที่สุด

หากเก็บพลังฝึกปรือของตัวเอง จะถูกคลื่นที่หลงเหลือจากการต่อสู้กันของทั้งสองฝ่ายกวาดล้างได้ง่ายๆ ตายไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

หากไม่กดอัดพลังของตัวเอง เมื่อด้านในร่างไม่มีทั้งแสงพุทธและแสงเต๋าก็จะสะดุดตา ถูกเปิดเผยสถานะได้อย่างง่ายดาย

ทว่าการหลบหนีในครั้งนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่ถิง กลับพบปัญหาหนึ่งเข้า

แม้ว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นประมุขสองคนนั้นจะกำลังสู้กันอย่างดุเดือด ไม่ได้สนใจพวกเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ว่ากลับมีคู่ต่อสู้คนอื่นค้นพบถึงความผิดปกติของเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่ถิง

คลื่นปราณที่แข็งแกร่งสายหนึ่งม้วนพัดทั่วบริเวณ พุ่งเข้ามาปะทะหน้าพวกเยี่ยนจ้าวเกอ

ผู้มาเยือนมีกลิ่นอายเหี้ยมหาญ คล้ายกับเมฆดำกดทับศีรษะ

ด้านในชั้นเมฆมีแสงสว่างกะพริบ เห็นเงาแสงสิบกลุ่ม เหมือนกับเทพสิบองค์ลงมาจุติ

เยี่ยนจ้าวเกอโพล่งขึ้นว่า “พลังฟ้าพลิกผันเมฆ”

“พลังฟ้าพลิกผันเมฆ วรยุทธ์คุ้มกันสำนักของสำนักเมฆเลือนดาวก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่น่ะหรือ” ฟูถิงตอบสนองอย่างรวดเร็ว “เป็นวรยุทธ์ที่หายสาปสูญไปจากโลกซ้อนโลกอีกแล้ว”

แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังฟ้าพลิกผันเมฆหรือไม่ แสงที่สว่างไสวในกลุ่มเมฆก็พาดขวางอยู่กลางมิติ

ในขณะที่กลุ่มเมฆเคลื่อนตัว หากเจอจอมยุทธ์ศาสนาพุทธคนไหน ต่างเอาชนะและกวาดล้างได้อย่างเหี้ยมหาญ

หยางชงกับเฉวียนฮ่าวหลงเห็นดังนั้นต่างแตกตื่น “เป็นเจ้าสำนักซ่างมาแล้ว!”

เยี่ยนจ้าวเกอถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักซ่าง?”

หยางชงหัวเราะขื่นขม “ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของโลกสูงเลิศของข้า ซ่างจวิน ‘หัตถ์พลิกเมฆคว่ำพิรุณ’ เจ้าสำนักเมฆเลือนดาว”

ในโลกสูงเลิศ สำนักเมฆเลือนดาวเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่ง มีพลังเหนือกว่าสำนักฟ้าโกลาหล

ซ่างจวินผู้เป็นเจ้าสำนักมีอำนาจและชื่อเสียงในแดนเซียนปลดปลงคนหนึ่ง

“เหอะ แม้แต่ชื่อสำนักเมฆเลือนดาวก็คล้ายกัน” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเล็กน้อย ย้ายร่างไปอีกทางหนึ่ง

ฟู่ถิงเข้าใจ เหาะตามเยี่ยนจ้าวเกอไป ค่อยๆ ผละจากโลกสูงเลิศ เข้าสู่มิติที่อยู่ห่างออกไป

กลุ่มเมฆกลุ่มนั้นเปลี่ยนทิศทางตาม เพิ่มความเร็วไล่มา เหมือนกับต้องการหยุดพวกเยี่ยนจ้าวเกอให้ได้

เยี่ยนจ้าวเกอควบคุมความเร็วของตัวเอง หลังจากหนีห่างพร้อมกับฟู่ถิงได้ระยะหนึ่ง ก็ค่อยๆ ถูกกลุ่มเมฆกลุ่มนั้นหยุดไว้

บุรุษสวมชุดแพรที่มีอายุราวๆ สามสิบปีปรากฏกายขึ้นมาจากในกลุ่มเมฆ

ทั่วร่างของเขามีกลุ่มแสงสิบกลุ่มวนเวียน ขับให้เขาเหมือนกับเทพเซียนที่เสด็จมายังโลก

บุรุษสวมชุดแพรก้มมองเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่ถิง กล่าวอย่างเย็นชา “ลูกศิษย์นอกรีต เรื่องวุ่นวายที่สำนักฟ้าโกลาหลก่อขึ้นในโลกสูงเลิศเมื่อก่อนหน้า เป็นฝีมือของพวกเจ้าหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอมองซ่างจวินที่อยู่ด้านหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คำพูดของท่านไร้เหตุผลยิ่ง”

ซ่างจวินยิ้มเล็กน้อย “การเล่นสำนวนไม่ได้ช่วยอะไร”

ชายหนุ่มแบมือ “เช่นนั้นท่านคิดจะทำอย่างไร”

ซ่างจวินแค่นเสียงเย็นชา “ทำอย่างไร? ย่อมจับพวกเจ้าก่อนแล้วค่อยว่ากล่าว”

เยี่ยนจ้าวเกอชี้ไปยังมิติที่กำลังเกิดการต่อสู้กันอยู่ห่างออกไป “แต่ไม่ใช่พวกท่านกำลังสู้กับศาสนาพุทธอยู่หรอกหรือ ไยต้องมาใส่ใจคนที่ไม่เกี่ยวข้องเช่นพวกข้าด้วย”

“มารพุทธแม้ว่าจะเป็นศัตรูที่อยู่ตรงหน้า แต่การจับพวกเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก” ซ่างจวินหัวเราะ

“ในตอนนี้มารพุทธโอหังได้อีกไม่นาน มารร้ายนอกรีตล้วนถูกกำจัดสิ้น ข้าจะทอดแหใส่ปลาเล็กปลาใหญ่ทั้งหมด แม้แต่กุ้งฝอยก็จะกวาดไปด้วย”

เขาพูดพลางยกฝ่ามือขึ้น “ดูจากระดับพลังฝึกปรือและอายุของพวกเจ้า นับว่าอยู่เหนือธรรมดาจริงๆ สมควรเป็นบุคคลอัจฉริยะระดับสุดยอดในเส้นทางนอกรีต”

“พวกเจ้าตกลงสู่เส้นทางนอกรีต ช่างน่าเสียดายจริงๆ มิสู้ให้ข้านำพวกเจ้ากลับสู่เส้นทางหลัก ยังไม่ถือว่าสายเกินไป”

ฟู่ถิงเอ่ยว่า “ผู้ใดเป็นเต๋าสายหลัก ผู้ใดเป็นมารเต๋านอกรีต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่าน”

ซ่างจวินหัวเราะ “ผู้เยาว์อย่างพวกเจ้าจะไปรู้อะไร”

พูดจบก็ฟาดฝ่ามือลงทันที!

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็แค่นหัวเราะ “ข้ารู้ว่าวันตายของท่านมาถึงแล้ว”

………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+