บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 300: ยืมกำลังฟ้าดิน

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 300: ยืมกำลังฟ้าดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 300: ยืมกำลังฟ้าดิน
ตอนที่ 300: ยืมกำลังฟ้าดิน

เห็นแต่เพียง…

ในรอบระยะหลายสิบจั้ง มีคนทั้งสองเป็นศูนย์กลาง รอบด้านกระเจิดกระเจิง ปราณวิญญาณกระจัดกระจาย ทุกอย่างอยู่ในสภาพเกลื่อนกลาด ฝุ่นละอองคละคลุ้งบดบังแสงตะวัน

ซูอี้ยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ ผ่อนลมหายใจอย่างหนักแน่น ไม่มีสิ่งใดเสียหาย

ฝั่งตรงข้าม หลี่ฉางหนิงถือดาบ เสื้อผ้าโบกพลิ้ว

การปะทะกันในครั้งนี้ ไม่รู้ผลแพ้ชนะเช่นนั้นหรือ?

ทุก ๆ คนต่างก็นิ่งตะลึง ไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง

ดาบที่กลายร่างเป็นมังกรเล่มนั้น ถูกบุคคลระดับปรมาจารย์อย่างซูอี้แก้ได้?

โหยวซิงหลินเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง

นึกไม่ออกเลยสักนิดว่าที่แท้แล้วซูอี้ทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร

“เสียดายนัก ภาวะดาบของเจ้า กระจ่างแจ้งเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น หากว่าข้าเดาไม่ผิด ภาวะดาบเช่นนั้น ไม่ได้กระจ่างแจ้งจากชะตาฟ้าดิน แต่กระจ่างแจ้งจากสมบัติที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้ อานุภาพมีจำกัด ยังห่างไกลอีกนัก”

ซูอี้กล่าวขึ้นมาเนิบ ๆ

ภาวะดาบแต่ละขั้นของวิถีต้นกำเนิด แบ่งตามอานุภาพ มีด้วยกัน “สามขั้นเก้าระดับ”

สามขั้น ก็คือขั้นดิน ขั้นฟ้า และขั้นลี้ลับ

ขั้นดินเป็นขั้นต่ำสุด ขั้นลี้ลับเป็นขั้นสูงสุด

แต่ละขั้นยังแบ่งออกเป็นระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูง สามระดับ

จนกระทั่งย่างก้าวสู่หนทางแห่งวิถีวิญญาณแล้ว คุณลักษณะของภาวะดาบที่กระจ่างแจ้งจึงจะยกระดับสู่เขตแดนใหม่

ทว่าภาวะดาบที่หลี่ฉางหนิงแสดงออกมาในตอนนี้ เป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น กระทั่งความหมายของขั้นต่ำสุดระดับต้นก็ยังไม่รู้ อย่างอื่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

“เปลือกนอกเช่นนั้นหรือ? เพียงพอฆ่าเจ้าได้ก็แล้วกัน!”

สีหน้าของหลี่ฉางหนิงราบเรียบ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทั่วร่างน่ากลัวยิ่งนัก

การประมือเมื่อก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้ดีว่าหากครั้งนี้ไม่แสดงไพ่ใบสุดท้ายออกมา คงไม่อาจจัดการกับซูอี้ผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะโดนสิงสถิตคนนี้

“เช่นนั้นรึ ก็ลองดู”

ร่างของซูอี้โยกย้ายราวกับมังกรบิน จากนั้นปล่อยหมัดอีกครั้ง

“ทลาย!”

หน้าของหลี่ฉางหนิงราวกับน้ำนิ่งในบ่อ ดาบกลับคืนสู่มือ กลายเป็นภาวะดาบดุจดังมังกรผงาดต่อ แล้วฟันออกไปอีกครา

ครืน! ครืน!

ระหว่างฟ้าดินราวกับมีสายฟ้าชนปะทะ เสียงดังจนแสบแก้วหู สร้างความสั่นสะเทือนแก่กระแสลม ก้อนหินดินทรายปลิวว่อน

ซูอี้ควงหมัดรุกฆาต อาจหาญไร้เทียมทาน ราวกับนกกระเรียนร่ายรำกลางอากาศบุกโจมตีถึงชั้นฟ้า

กำลังของแต่ละหมัดประดุจทองคำหลอมเรืองอร่ามส่งประกายบาดตา มีจังหวะวิถีลี้ลับห้อมล้อม

ต่อให้เป็นจักรพรรดิมหายุทธ์ผู้สร้าง ‘เคล็ดวิชาหลอมกระเรียนลอยล่อง’ เห็นอานุภาพเช่นนี้ของซูอี้แล้วก็ยังต้องชื่นชมว่า เยี่ยมยอด!

ทว่าหลี่ฉางหนิงก็ไม่ใช่ย่อย

เทพเซียนเดินดินจากวัดเสวียนเยว่ของอาณาจักรต้าฉินเหนือชั้นยิ่งกว่าจิงเหอเทพเซียนเดินดินผู้ฝืนบรรลุขอบเขต วิถีดาบของเขามีความล้ำเลิศสุดยอด

ทุกอากัปกิริยาล้วนสามารถชักนำบรรยากาศรอบด้านผสมผสานจังหวะวิถีแห่งมังกรผงาด อานุภาพร้ายแรงมากเช่นกัน

ทั้งสองประมือกันราวกับเซียนผู้หลุดพ้นอยู่เหนือโลกสามัญต่อสู้กัน ฟาดฟันจนฟ้าดินในแถบนั้นเกิดความสับสนอลหม่าน เสียงดังครืน ๆ ราวกับฟ้าผ่า

ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นทำให้ผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไปถึงกับอ้าปากตาค้าง

“ผู้สิงสถิต! คน ๆ นี้จะต้องเป็นผู้สิงสถิตเป็นแน่! เป็นไปไม่ได้ที่บุคคลปรมาจารย์ในโลกแห่งนี้จะมีพื้นฐานสามารถต่อสู้กับเทพเซียนเดินดินได้!”

สีหน้าของโหยวซิงหลินเปลี่ยนไป กัดฟันแน่นกรอด ๆ

เขาก็ตื่นตะลึงเช่นกัน ไม่อาจยอมรับความจริงที่ว่าซูอี้สามารถต่อสู้รับมือกับหลี่ฉางหนิงได้

“อีกที!”

ซูอี้แผดเสียง ท่าทีฮึกเหิม คู่ต่อสู้เช่นนี้จุดประกายความอยากเอาชนะและความเหิมเกริมของเขา

ไม่ผิดเลย ผลการฝึกตนของหลี่ฉางหนิงนั้นแข็งแกร่ง วิถีดาบน่าตะลึง

ทว่าพื้นฐานของซูอี้ล้ำหน้าเกินกว่าขอบเขตทั่วไป อย่าว่าแต่โลกสามัญแห่งนี้ แม้กระทั่งเก้ามหาแดนดินก็ยังเรียกได้ว่าหาได้ยาก เพียงพอที่จะสร้างความอัปยศอดสูให้กับผู้ที่หยิ่งผยอง ปีศาจอสูรเหล่านั้น

ฉับพลัน…

ไม่ว่ากำลังดาบในมือของหลี่ฉางหนิงจะเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นใด กำลังหมัดของซูอี้ยังคงซัดทะลุสิ่งกีดขวางทุกอย่างได้ดังเดิม โดยไม่สนใจสิ่งรอบด้าน ราวกับว่าหมัดขาวเนียนดังหยกชิ้นงามล้วนสามารถทลายดาบอันแข็งแกร่งหนักหน่วงนั้นได้ทุกครั้งไป

เพล้ง!!

ระหว่างที่ทั้งสองต่อสู้กัน แผ่นดินบริเวณนั้นแตกร้าว ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนแตกระเบิด

เศษหินแต่ละก้อนกระเด็นออกไปราวกับลูกธนู บุคคลปรมาจารย์บางคนใช้สภาวะพลังสุดขั้วปกป้องตัวเองแล้วก็ยังถูกเศษหินแต่ละก้อนซัดจนเลือดลมปรวนแปร ถึงกับกระอักเลือด

ส่วนเหล่าทหารที่มีผลการฝึกตนยังไม่ถึงขอบเขตปรมาจารย์พากันถอยแล้วถอยอีก หลบแล้วหลบอีก

เพราะคลื่นพลังส่วนเกินในการต่อสู้เช่นนั้นมีความน่ากลัว เพียงแค่โดนก็สามารถกวาดล้างคนได้ทั้งกลุ่ม อันตรายถึงแก่ชีวิต!

จนถึงท้ายสุด ระหว่างฟ้าดินแห่งนั้นแทบจะมองไม่เห็นร่างของซูอี้กลับหลี่ฉางหนิงอีก มองเห็นแต่เพียงกระเรียนสีทองเรืองอร่ามบุกโจมตีต่อสู้กับมังกรขาวกลางอากาศอย่างดุเดือด แต่ละครั้งที่พุ่งชนใส่กันเกิดเป็นพลังความเกรี้ยวกราดนับไม่ถ้วน ซัดพื้นที่ใจกลางค่ายทหารแห่งนี้จนไม่เหลือชิ้นดี

“น่ากลัวเหลือเกิน!”

ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าใดถึงกับขนลุกซู่ หนาววาบไปทั้งตัว

ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเห็นการต่อสู้ระดับนี้เป็นครั้งแรก

การต่อสู้เช่นนี้ราวกับอานุภาพการต่อสู้ในแดนเทพ เกินความนึกคิดคาดหมายของพวกเขา!

แม้กระทั่งตัวตนอย่างซื่อหลานซานกับโหยวซิงหลินก็ยังเห็นการต่อสู้ที่ไม่น่าเชื่อเช่นนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน

เหตุผลก็เพราะว่าฝ่ายหนึ่งเป็นเทพเซียนเดินดินผู้มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่วอาณาจักรต้าฉิน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสามอายุสิบเจ็ดเท่านั้น!

ทั้งสองต่อสู้กันไปเดินกันไป ต่อสู้กันตั้งแต่บนอากาศจนมาถึงบนพื้น กำลังหมัดของซูอี้ประดุจคลื่นโหด ยิ่งสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม จนท้ายสุด ฉับพลันนั้นเอง…

เพล้ง!

ปะทะกันอีกครั้ง ร่างของหลี่ฉางหนิงถอยร่นกลางอากาศ เพราะโดนหมัดของซูอี้ซัดโดนภาวะดาบ กระเทือนจนเซ!

“หลี่ฉางหนิง แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา เพียงแค่วิชาดาบเท่านี้ ยังไม่พอเป็นหินลับมีดให้ข้าซูอี้!”

ซูอี้ยืนผงาดอยู่กลางอากาศ สายตาเป็นประกาย

“เช่นนั้นหรือ?”

หลี่ฉางหนิงยืดตัวขึ้นยืนหยัดมั่น สีหน้าราบเรียบไร้ซึ่งความยินดีและความหม่นหมอง ทว่าภายในสายตากลับมีเพลิงไฟเผาผลาญลุกโชติช่วง

“วิถีดาบที่ข้าร่ำเรียนนั้นมีความล้ำเลิศ นามว่า ‘มังกรขาวเก้าหมุน’ ผู้อาวุโสเซียนดาบท่านหนึ่งในวัดเสวียนเยว่ของข้าเป็นผู้คิดค้น ผู้อาวุโสท่านนั้นกลายร่างจากมังกรขาว มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ นำเอาสิ่งที่ร่ำเรียนมาตลอดทั้งชีวิตหล่อรวมเข้าสู่วิถีดาบ วันนี้หลี่ผู้นี้จะให้เจ้าได้เห็นความร้ายกาจของดาบ ๆ นี้!”

หลี่ฉางหนิงเอ่ยขึ้น

ครืน!

บนร่างผอมบางของเขามีภาวะดาบคงมั่น หมื่นโลกไม่เคลื่อน หักโค้งไม่งอผุดสูงขึ้น

ครู่ถัดมา หลังดาบกลับคืนสู่ในมือของเขาก็ชูขึ้น คนเดินตามดาบ จากนั้นกลายร่างเป็นรุ้งดาบยาวสิบกว่าจั้ง

ชั่วพริบตาเดียวรุ้งดาบสีขาวนั้นก็เปลี่ยนแปลงเป็นเก้าสิ่งมหัศจรรย์ กลายเป็นพลังลึกลับโดดเด่นเก้าอย่าง มีลมพายุโหมกระหน่ำ มีอัคคีสวรรค์ลุกโชติช่วง มีหมอกชั่ววนเวียน มีกระแสไฟส่งผ่าน…

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นภายในดาบ ๆ นี้ ทำให้อานุภาพของดาบ ๆ นี้พุ่งสูงขึ้นจนถึงขั้นน่าตกใจในชั่วพริบตา

“ฟัน!”

หลังจากเสียงตะคอกดัง ดาบเล่มนี้ของหลี่ฉางหนิงก็ฟันลงมา ภาวะดาบอันยิ่งใหญ่กลุ่มนั้นรุนแรงยิ่งกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังดาบพุ่งรอบสี่ทิศ อานุภาพเพิ่มสูง

“มาได้จังหวะ”

ผมดำขลับของซูอี้ปลิวสยาย ชุดคลุมยาวโบกพลิ้ว ทันใดปล่อยหมัดออกไป

หมัด ๆ นี้ราบเรียบธรรมดา ไม่มีหมอกควันและเพลิงไฟ เป็นธรรมชาติ ทว่าเมื่อปล่อยหมัดนี้ออกไป ฟ้าดินสั่นสะเทือนในบัดดล

ครืน!

ในใจของคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า อึดอัดจนแทบกระอักเลือด นี่คือผลกระทบของกำลังหมัด!

ตั้งแต่ตอนที่ซูอี้อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ เขาก็ฝึกฝนเต๋ากังจนสำเร็จแล้ว กระจ่างแจ้งถึงจังหวะวิถี ดังนั้นเมื่อปล่อยหมัด ๆ นี้ออกไป จึงเปรียบได้กับนำพลังยิ่งใหญ่ในฟ้าดินรวบรวมเข้าไว้ในหมัด

หมัดนี้ไร้ชื่อ หากต้องให้เรียก สามารถเรียกได้ว่า ‘หมัดวิถี’!

ภายใต้หมัดเช่นนี้ ไม่ว่าประกายดาบของหลี่ฉางหนิงจะสามารถหมุนเก้าแบบ ก็ยังถูกหมัดธรรมดาทั่วไปของซูอี้ซัดจนเรียบเป็นหน้ากลองอยู่ดี!

ปัง!!!

เสียงระเบิดดัง

พลังดาบที่หลี่ฉางหนิงฟาดฟันออกมาระเบิดกลางอากาศในฉับพลันราวกับหิมะถล่ม ฝนแสงหิมะขาวปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า

ครู่ถัดมา ร่างของหลี่ฉางหนิงถูกกำลังหมัดซัดโดน กระเด็นออกไปไกลหลายสิบจั้งอย่างแรง

เมื่อยืนได้มั่นแล้ว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้าปลิวสยาย สีหน้าขาวซีด เลือดทะลักออกจากมุมปากโดยไม่รู้สึกตัว

แพ้… แพ้แล้วหรือ?

ทุกคนต่างก็อ้าปากตาค้าง แทบเป็นบ้า

หลี่ฉางหนิงเป็นถึงเทพเซียนเดินดิน เหนือคนธรรมดา!

ทว่าตั้งแต่การต่อสู้ในครั้งนี้เริ่มขึ้น กลับเป็นซูอี้คนหนุ่มขั้นสามขอบเขตปรมาจารย์คนนี้เสียอีกที่แสดงพลังที่น่ากลัวยิ่งกว่าออกมา แทบไม่เคยให้หลี่ฉางหนิงได้โอกาสเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ หมัดไร้ซึ่งศัตรูของซูอี้หมัดนั้นทำให้หลี่ฉางหนิงถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัส!

อานุภาพของหมัด ๆ นี้ยังสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกคนถึงกับขนลุกราวกับร่วงเข้าสู่หุบเขาน้ำแข็ง

สามารถแสดงพลังหมัด ๆ นี้ได้ต้องมีพื้นฐานที่น่ากลัวไม่ธรรมดามากเลยใช่หรือไม่

“ซูอี้ ไม่ว่าเจ้าจะถูกสิงสถิตหรือไม่ แต่การที่สามารถอยู่ในขอบเขตของปรมาจารย์ได้ สร้างวิถีแห่งฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ กล่าวได้ว่าเป็นบุคลากรยอดเยี่ยมตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันไม่มีใครเทียม กระทั่งวิถียุทธ์กระบวนหมัดที่เรียนรู้ก็เกินกว่าโลกสามัญ ผสมผสานเป็นวิถี เทพเซียนยกย่อง”

หลี่ฉางหนิงเช็ดเลือดที่กลบปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สีหน้าของเขาราบเรียบ ทว่าสายตากลับเป็นประกาย กล่าวพลางส่ายหน้า

“แต่ที่น่าเสียดายก็คือ อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ใช่เทพเซียนเดินดิน วันนี้จะต้องตายอยู่ที่นี่”

พูดถึงตรงนี้ก็โยนดาบกุ้ยหยวนในมือขึ้น

ชิ้ง!

เสียงดาบราวกับเสียงฟ้าผ่า

หลี่ฉางหนิงยืนกลางอากาศ ดาบกุ้ยหยวนหมุนตัวอยู่บนหัวของเขา พลังลมปราณต้นกำเนิดแห่งฟ้าดินในรอบระยะหลายลี้เริ่มก่อตัวถูกชักนำเข้ามาโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง โจมตีราวกับลมมรสุม

ครืน!

ท้องฟ้าที่สดใสแต่เดิมพลันกลับมีเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบ

พลังแห่งฟ้าดินในรอบระยะหลายลี้มีความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาทั่วไปสามารถควบคุมได้

สีหน้าของหลี่ฉางหนิงขาวซีดมากขึ้นทุกทีอย่างเห็นได้ชัด หน้าผากและไรผมล้วนมีเหงื่อผุด แต่เขาก็ยังไม่สนใจ จิตใจทั้งหมดจดจ่อกับการควบคุมฟ้าดิน

“นี่คือ…”

ทุก ๆ คนแหงนหน้าขึ้นโดยสัญชาตญาณ รู้สึกว่าฟ้าดินกำลังเปลี่ยนแปลง แรงกดดันทำลายล้างไร้รูปร่างกำลังแผ่ขยายไปทั่วบรรยากาศ ทำให้รู้สึกหวาดกลัวราวกับกำลังเผชิญหน้ากับอานุภาพแห่งสวรรค์

“ฟ้าผันผวนแล้ว?”

เซียวเทียนเชวี่ยที่รออยู่ที่อีกด้านของค่าย ถึงกับสะดุ้งแหงนหน้ามองท้องฟ้า

เห็นต้นกำเนิดฟ้าดินอันยิ่งใหญ่รอบสี่ทิศแปดด้านกำลังกดทับบดขยี้ไปยังค่ายทหารทางนั้นราวกับลมมรสุมใหญ่

ต้นไม้ใบหญ้าก้อนหินดินทรายบนผืนแผ่นดินพากันปลิวว่อน

ความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้เซียวเทียนเชวี่ยรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัวเช่นกัน นี่… นี่เป็นพลังอันใดจึงน่ากลัวได้เพียงนี้?

ขณะเดียวกันนี้เอง ซูอี้ก็หรี่ตาลงเช่นกัน มุมปากเผยอขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ

เขามองออกเป็นธรรมดาว่าเคล็ดลับวิชาที่หลี่ฉางหนิงกำลังแสดงนี้ ใช้พลังลมปราณของตัวเองเป็นตัวชักนำเพื่อควบคุมกำลังแห่งฟ้าดินโดยรอบ

ทำเช่นนี้เท่ากับกำลัง ‘ยืมกำลัง’ จากฟ้าดิน ต้องการใช้กำลังของตัวเองบงการพลังแห่งสวรรค์และโลก!

“เริ่มสนุกใหญ่แล้ว”

ชุดคลุมยาวของซูอี้โบกสะบัด ดวงตาลุ่มลึกน่ากลัวราวกับคมดาบ “ข้าจะดูสิว่า ด้วยผลการฝึกแห่งขอบเขตของเจ้า หลังจากสู้อย่างสุดชีวิตแล้ว จะสามารถยืมพลังมาได้มากเพียงใด…”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *