หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก 258-1 ความลับของตำหนักธิดาเทพ
ตอนที่ 258-1 ความลับของตำหนักธิดาเทพ
ออกเดินทางจากเมืองถ่าน่าไปทางใต้ ผ่านหุบเขาแคบแห่งหนึ่ง จากนั้นเดินทางผ่านถนนหลวงก็บรรลุถึงชายฝั่งที่พวกเฉียวเวยขึ้นฝั่งมาตอนแรก ตลอดทางไม่ได้ผ่านบึงน้ำแห่งนั้นเลย เมื่อไถ่ถามดูถึงรู้ว่าบึงน้ำเป็นทางเส้นไกล บอกแล้วใช่หรือไม่เล่าว่าไซน่าอิงเป็นคนเจ้าเล่ห์
หนนี้ได้ยินว่าต้องมาระบุตัวศพ อี้เชียนอินกับจีอู๋ซวงจึงมาด้วย สือชีคุ้มครองไห่สือซานเดินทางไปสืบหาข่าวบนเกาะจึงไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ทว่าแม้จะรู้ก็คงแยกแยะศพไม่ได้ พวกเขาก็มาเกาะด้วยกันหมดไม่ใช่หรือ
รถม้าจอดลงข้างทาง ไกลออกไปเห็นแนวชายฝั่งทอดยาวเชื่อมต่อกับขอบฟ้า ทะเลสีหยกมีฟองคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าสาดกระทบประหนึ่งก้อนเมฆร่วงลง
องครักษ์ของตระกูลไซน่ากั้นสถานที่เกิดเหตุไว้แล้ว ไซน่าอิงพาพวกเฉียวเวยเดินเข้าไป ตอนอยู่ห่างออกมายังไม่รู้สึกอันใด แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นก็ไม่น่าพิสมัยอยู่เล็กน้อย
ไซน่าอิงเดินนำอยู่ด้านหน้า เขาส่งสัญญาณมือให้องครักษ์ทั้งหลาย พวกองครักษ์ถอยออกไป หลังจากนั้นทุกคนก็ล้อมเข้ามา พริบตาที่เห็นเสื้อของคนผู้นี้ ใบหน้าของเฉียวเวยก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย นี่ไม่ใช่เสื้อของนางหรอกหรือ
เห็นชัดว่าพวกอี้เชียนอินก็จำเสื้อตัวนี้ได้เหมือนกัน แต่หากพวกเขาจำไม่ผิด เสื้อตัวนี้เฉียวเวยมอบให้คนอื่นไปแล้ว
หัวใจของทุกคนรู้สึกหนาวยะเยือก หันไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เห็นเขาจับจ้องคนผู้นั้นนิ่ง พูดให้ถูกต้องก็คือศพร่างนั้น
นิ้วชี้ของเฉียวเวยยกขึ้นปิดจมูก ถามไซน่าอิงว่า “พบเมื่อใด”
ไซน่าอิงตอบว่า “เช้าวันนี้ ข้ารับใช้ตระกูลไซน่าคนหนึ่งที่ออกไปซื้อของข้างนอกพบเข้า พอกลับมาเขาก็มารายงานข้า ข้ารู้สึกว่าผิดปกติเล็กน้อยจึงเดินทางมาดูด้วยตนเอง หลังจากดูแล้ว ข้าก็พบว่าข้าเหมือนจะรู้จักคนผู้นี้ แต่ข้าก็ไม่แน่ใจเสียทีเดียว ดังนั้นจึงเรียกพวกท่านมา”
“พบที่ใด” เฉียวเวยถาม
“ในทะเล” ไซน่าอิงตอบ
เฉียวเวยมองทะเลอันไร้ขอบเขต “ตรวจศพหรือยัง”
ไซน่าอิงส่ายหน้า “ยัง”
เฉียวเวยล้วงถุงมือคู่หนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วก้าวเข้าไปด้านหน้า
อี้เชียนอิงดึงนางไว้ “ท่านทำอะไร”
เฉียวเวยตอบ “ตรวจศพ”
“ท่าน…” พออี้เชียนอินคิดว่าแม่นางน้อยบอบบางคนนี้จะไปตรวจศพคนตายเหม็นฉึ่งร่างหนึ่ง ใจก็ทนไม่ได้ หันไปบอกจีอู๋ซวง “เจ้าไปตรวจ!”
จีอู๋ซวงย่อมไม่พอใจ แต่พอเหลือบไปมองเฉียวเวยก็นึกถึงคำพูดของเฮ่อหลันชิงประโยคที่ว่า ‘ข้าจะขู่เขาทุกวัน’ ขึ้นมา หัวใจสั่นระริก นั่งลงไปตรวจสอบอย่างจำยอม
เขาสังหารคนมาไม่น้อย แต่เพิ่งจะเคยตรวจสอบศพอย่างจริงจังเป็นหนแรก
เขาข่มกลั้นความรู้สึกปั่นป่วนในท้อง ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อมือแล้วตรวจสอบศพเท่าที่ความสามารถจะเอื้ออำนวย แต่เขาไม่ใช่คนชันสูตรศพมืออาชีพ ดังนั้นสิ่งที่ตรวจได้จึงไม่มาก
“ไม่มีร่องรอยของการถูกพิษ มองไม่เห็นบาดแผลภายนอกชัดเจน” เขาบอก
อี้เชียนอินถาม “จมน้ำตายหรือ”
ศพเสียหายมาก ยากนักจะมองหน้าตาดั้งเดิมออก แต่แล้วเฉียวเวยก็นั่งยองๆ ลงมา ตรวจดูจมูกปากกับนิ้วมือของนาง แล้วเอ่ยว่า “คนที่จมน้ำตายจมูกกับปากจะมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ นิ้วมือก็มักจะมีโคลนทราย นางไม่มีเลยสักสิ่ง ไม่เหมือนจมน้ำตาย นางน่าจะตายแล้วจึงถูกพัดลงไปหรือถูกโยนลงไปในทะเล”
เฉียวเวยคลำลำคอของนางต่อ นางคลำพบของเหนียวข้นชั้นหนึ่ง เมื่อเพ่งสายตาดูก็พบว่าเป็นยางไม้ของต้นหลงเซวี่ยที่จับตัวแข็ง ผิวของนางส่วนที่อยู่ใต้ยางไม้สมบูรณ์ดีไม่เสียหาย เฉียวเวยเห็นรอยรัดเส้นหนึ่งอย่างชัดเจน จึงบอกว่า “นางถูกคนรัดคอตาย สถานที่นางถูกรัดคอตาย…น่าจะมีต้นหลงเซวี่ย ไซน่าอิง แจ้งองครักษ์ของเจ้าไปค้นหาต้นหลงเซี่ยที่อยู่ใกล้ๆ หาต้นที่กิ่งใบหัก”
ไซน่าอิงสั่งองครักษ์ไปทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองศพบนพื้นอย่างนิ่งงัน ความเงียบงันไร้วาจาทำให้ตัวเขาดูผิดไปจากปกติมากนัก
อี้เชียนอินในใจขนลุกซู่ ขยับเข้าไปใกล้เฉียวเวย ถามเสียงเบาว่า “ฮูหยินน้อย คนผู้นี้คือผู้ใดหรือ”
“เจ้าเดาไม่ออกหรือ” เฉียวเวยถาม
อี้เชียนอินส่ายหน้า นี่จะเดาออกได้อย่างไรเล่า หน้าตาเห็นไม่ชัดหมดแล้ว
“คงไม่ใช่ท่านหรอกกระมัง” อี้เชียนอินเอ่ยขึ้นมา
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา
เขาลูบจมุก “ข้าจำได้ว่าเสื้อตัวนี้ท่านให้เซวียหรงหรงยืมไป เหตุใดจึงมาโผล่บนตัวคนผู้นี้ได้ หลังจากนางขึ้นมาบนเกาะก็มอบเสื้อให้ผู้อื่นไปหรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้าตอบว่า “นางไม่ได้มอบเสื้อให้ผู้อื่น นางก็คือเซวียหรงหรง”
อี้เชียนอินตกตะลึง “นางคือเซวียหรงหรง ถ้าอย่างนั้นคนที่ปราสาทเฮ่อหลันคนนั้นเล่า”
เฉียวเวยพยักหน้านิ่งๆ “นั่นเป็นตัวปลอม”
อี้เชียนอินตาโตอ้าปากค้าง “นางไม่เพียงปลอมตัวเป็นท่าน แต่ยังปลอมเป็นเซวียหรงหรงด้วยหรือ”
เฉียวเวยไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ “นางเอาของดูต่างหน้าไปจากเซวียหรงหรง จากนั้นก็ใช้วิชาแปลงโฉมให้เป็นหน้าตาของข้า เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดรู้แล้วว่านางหน้าตาเป็นเช่นไร ทุกคนต่างคิดว่านางก็คือเซวียหรงหรง นางใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ลอบเข้าใกล้เยี่ยนเฟยเจวี๋ย เข้ามาอยู่ข้างในกลุ่มพวกเรา”
อี้เชียนอินถอนหายใจ “เซวียหรงหรงผู้นั้นอาภัพเกินไปแล้ว”
องครักษ์ของปราสาทไซน่าหาต้นหลงเซวี่ยที่ตรงกับที่เฉียวเวยบอกเจอแล้ว พวกเฉียวเวยเดินไปยังสถานที่เกิดเหตุ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนิ่งไม่ขยับ เขายืนนิ่งอยู่ข้างศพเช่นนั้น แววตานิ่งงัน
ต้นหลงเซวี่ยอยู่ใกล้กับเนินดิน ตรงนั้นมีต้นหลงเซวี่ยอยู่หลายต้นนัก แต่มีเพียงต้นเดียวที่กิ่งใบหักร่วง เหมือนตอนยังมีชีวิตผู้ตายพยายามคว้ากิ่งใบของต้นหลงเซวี่ยระหว่างออกแรงดิ้นรนจนกระชากมันหัก
ใต้ต้นหลงเซวี่ยต้นนี้เห็นชัดว่ามีหลุมขนาดใหญ่ที่ถูกขุดไว้แห่งหนึ่ง น่าจะใช้ฝังศพ น้ำยางของต้นหลงเซวี่ยซึมเข้าไปในหลุมทราย มันมีฤทธิ์หยุดการเน่าเปื่อยได้ชะงัดนัก ดังนั้นตอนที่ศพเริ่มเน่าจริงๆ คงจะเริ่มจากตอนอยู่ในทะเล
ศพถูกซัดลงไปในทะเลจนยางของต้นหลงเซวี่ยบนร่างถูกชะล้างออก ส่วนเรื่องที่ว่าตกลงไปในทะเลได้อย่างไร คงเป็นเพราะหลายวันก่อนบนเกาะมีพายุใหญ่สองสามหน ศพจะถูกซัดออกมาจากนั้นกลิ้งตกจากเนินเขาลงไปในทะเลก็ไม่แปลก
เฉียวเวยค้นดูสถานที่เกิดเหตุ แล้วก็พบข้าวของจำนวนหนึ่งของเซวียหรงหรง ปิ่นทองเล่มหนึ่งที่ตนเองมอบให้นาง ปิ่นเงินที่นางประดับติดตัวไว้เอง เห็นเช่นนี้ก็ยิ่งแน่ใจได้ว่าศพสตรีร่างนั้นก็คือเซวียหรงหรง
ผู้ใดจะคิดว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ พวกเขาเป็นห่วงเยี่ยนเฟยเจวี๋ยขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
จีอู๋ซวงรู้จักเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมานานที่สุด แล้วก็เข้าใจนิสัยของเขามากที่สุด คนผู้นี้เอ้อระเหยลอยชายจนเป็นนิสัย ไม่เคยคิดจะลงหลักปักฐานสร้างครอบครัว ทว่าพริบตาที่เขาเห็นเซวียหรงหรง หัวใจของเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว
ตอนเมาเรืออยู่กลางทะเล การดูแลของเซวียหรงหรงทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นที่ชั่วชีวิตไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาปรารถนาจะเดินเคียงข้างคนผู้นี้ไปชั่วชีวิต อยากจะตื่นขึ้นมาพบนางทุกวัน ยามออกไปเข่นฆ่าผู้คน ในบ้านมีสตรีคนหนึ่งรอคอยเขาอยู่ บางทีสักวันหนึ่งพวกเขาอาจมีลูกเป็นของตัวเอง…
ทว่าทุกสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายย่อยยับอย่างไร้เมตตา
ทุกคนกลับมาถึงชายหาด เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคุกเข่าลงไปกอดศพที่มองหน้าตาไม่ออกร่างนั้น เขาไม่มีน้ำตา แต่ทุกคนสัมผัสได้ถึงความโศร้าสลดมหาศาลที่โอบล้อมร่างของเขา
เฉียวเวยเดินเข้าไปอย่างแผ่วเบาแล้วย่อตัวลง ยกมือวางบนหัวไหล่ของเขา ดวงตาหลุบลง “ขอโทษด้วย ลุงเยี่ยน ข้าเข้าใจแม่นางเซวียผิดแล้ว”
อี้เชียนอินถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “ข้าก็เข้าใจนางผิดเหมือนกัน ขอโทษด้วย ลุงเยี่ยน พวกเราไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าตัวปลอมคนนั้น แม้แต่ตัวตนเซวียหรงหรงก็เป็นของปลอมด้วย ผู้ใดให้ตอนนั้นขณะที่ทุกคนล้วนสนใจแต่การเอาชีวิตรอด แต่เซวียหรงหรงกลับยังคิดจะไปคว้าของดูต่างหน้าของฮูหยินน้อย ทุกคนย่อมคิดว่านางมีเจตนาแอบแฝง…”
เฉียวเวยยกศอกถองเขา
อี้เชียนอินกระแอมแล้วหุบปาก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดขึ้นมาอย่างซึมกะทือ “พวกเจ้าไม่ได้เข้าใจผิด นางคือสายลับ นางเป็น…หูตาที่ตำหนักธิดาเทพส่งมาอยู่ข้างตัวพวกเรา เป้าหมายของนางก็คือสืบเบื้องลึกเบื้องหลังของพวกเราทุกคนและขโมยของดูต่างหน้า เพียงแต่หลังจากนางทำสำเร็จแล้วกลับถูกคนสังหารปิดปาก”
เฉียวเวยชะงัก “ลุงเยี่ยน อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด…”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคำรามขัดคำพูดของเฉียวเวย “คิดเช่นนี้หัวใจข้าถึงทนรับได้ขึ้นมาหน่อย!”
เฉียวเวยเลิกพูด
หากทำให้ทนรับไหวเพิ่มสักหน่อย ถ้าเช่นนั้นก็คิดเช่นนั้นไปเถิด อย่างไรก็ดีกว่าแม่นางผู้บริสุทธิ์ดีงามคนหนึ่งถูกตำหนักธิดาเทพสังหารอย่างไร้เมตตาเพราะช่วยของดูต่างหน้าของนางไว้ บางทีเพื่อที่จะเค้นเอาข้อมูลของพวกเขาทุกคนจากปากของนาง นางอาจยังต้องทนรับการทรมานเหมือนไม่ใช่มนุษย์อีกด้วย
เทียบกับเรื่องเช่นนี้ นางอยากให้อีกฝ่ายเป็นสายลับจริงๆ แล้วถูกสังหารปิดปากเพียงเท่านั้นเสียมากกว่า
อี้เชียนอินตบหัวไหล่ของเฉียวเวย “ให้เขาอยู่คนเดียวสักพักเถิด”
เฉียวเวยพยักหน้า
ไซน่าอิงสั่งให้องครักษ์ทั้งหมดออกไป จากนั้นเดินมาขึ้นรถม้าคันที่พวกเฉียวเวยนั่งมา
นางมองเห็นทั้งสองคนบนชายหาดผ่านรอยแยกของม่านรถ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกอดนางแน่น จากนั้นหยิบกำไลทองวงหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ สวมลงบนข้อมือที่เน่าเปื่อยมานานแล้วของนาง
เฉียวเวยเห็นน้ำตาเม็ดโตทะลักออกมาจากดวงตาของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย ลูกผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมยุทธ์เยี่ยนผู้เอ้อระเหยลอยชายคนนี้ ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะโศกเศร้าเสียใจเพื่อคนผู้หนึ่งจนมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้
ความเจ็บปวดของการสูญเสียภรรยาคงเป็นเช่นนี้เอง
แพขนตาของเฉียวเวยกระพือไหวเบาๆ แล้วปลดม่านลง
จีอู๋ซวงหันไปมองไซน่าอิงแล้วบอกว่า “ขอยืมม้าที่วิ่งไวที่สุดให้ข้าสักตัว”
อี้เชียนอินถามอย่างฉงน “เจ้าจะทำสิ่งใด ข้าไปกับเจ้าด้วย”
ไซน่าอิงเลือกม้าตัวพ่วงพีที่วิ่งเร็วที่สุดสองตัวให้พวกเขา ทั้งสองคนขี่ม้าจากไป
ระหว่างที่เฉียวเวยรอคนอยู่ก็ถามไซน่าอิง “ไซน่าอิง ตอนอยู่เมืองเฟยอวี๋เหตุใดจู่ๆ เจ้าก็คลุ้มคลั่ง”
ไซน่าอิงตอบว่า “ข้าจำไม่ได้แล้ว เรื่องตั้งแต่วันนั้นจนข้าตื่นขึ้นมา ข้าไม่มีความทรงจำใดๆ ทั้งสิ้น”
เฉียวเวยพยักหน้า “เจ้าไม่ได้สติอยู่ตลอด จะจำไม่ได้ก็เป็นไปได้ แต่เจ้าจำได้หรือไม่ว่าก่อนคลุ้มคลั่ง ตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่ หรือไปพบผู้ใดมา”
ไซน่าอิงถอนหายใจ “จำไม่ได้ว่ามีอะไรเป็นพิเศษ ข้าน่าจะ…ฝึกวรยุทธ์แล้วธาตุไฟเข้าแทรก”
นิ้วมือของเฉียวเวยเคาะเบาๆ บนผิวโต๊ะ “ปลายเดือนแปดหรือเดือนเก้า เจ้าเคยพบผู้ใดในกระท่อมน้อยบนทะเลสาบหรือเปล่า”
ไซน่าอิงเอ่ยอย่างลำบากใจ “ข้าบอกไม่ได้”
เฉียวเวยหรี่ตาลง “เหตุใดเจ้าจึงบอกไม่ได้”
ไซน่าอิงบีบนิ้วมือ “ข้าเคยสาบานต่อหน้าองค์เทพว่าเรื่องที่พบในกระท่อมน้อยมิอาจบอกแก่ผู้ใดได้ รวมถึงท่านปู่กับท่านพ่อของข้าด้วย”
เฉียวเวยมองเขาตาไม่กะพริบ “ใช่คนของตำหนักธิดาเทพหรือไม่”
เขาหลุบตาลง “จั๋วหม่าน้อยอย่าถามอีกเลย”
ในใจเฉียวเวยพอจะคาดเดาไว้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการการยืนยันจากเขาสักหน่อยก็เท่านั้น เขาจะตอบหรือไม่ล้วนไม่ส่งผลต่อข้อสันนิษฐานในใจของเฉียวเวย เฉียวเวยเอ่ยขึ้นว่า “ไซน่าอิง ในใจของเจ้าตำหนักธิดาเทพเป็นตัวตนเช่นไร หากข้าบอกเจ้าว่า เซวียหรงหรงถูกพวกนางสังหาร เจ้าเชื่อหรือไม่
ไซน่าอิงตกตะลึงวูบหนึ่ง แต่จากนั้นปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ “ตำหนักธิดาเทพประหารคนนอกเผ่าที่บุกเข้ามาในเกาะ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
เฉียวเวยเอ่ยต่อ “ถ้าเช่นนั้นหาก…เป้าหมายที่พวกนางสังหารเซวียหรงหรงไม่ใช่เพราะนางเป็นคนต่างเผ่า ไม่ใช่เพราะนางบุกรุกเกาะนิรนาม แต่เพราะต้องการชิงของดูต่างหน้าในมือนาง เจ้าเชื่อหรือไม่”
ไซน่าอิงไม่พูดไม่จา
เฉียวเวยสบสายตาสับสนของเขา “จั๋วหม่าน้อยตัวปลอมเป็นคนที่ตำหนักธิดาเทพหามา เจ้าเชื่อหรือไม่”
ไซน่าอิงไม่ตอบคำถามของเฉียวเวย แต่เอ่ยขึ้นว่า “คำพูดที่จั๋วหม่าน้อยพูดกับข้าในวันนี้ จะให้คนที่สามรู้ไม่ได้ ข้าขอเตือนจั๋วหม่าน้อยสักคำ ตำหนักธิดาเทพเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดบนเกาะนิรนาม ต่อให้ตระกูลใหญ่ทั้งแปดรวมกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนาง จั๋วหม่าไม่ถูกกับพวกนางก็ไม่มีอะไรแปลก จั๋วหม่าไม่ถูกกับคนมากมาย แม้แต่กับเหอจั๋วเองก็มักจะถูกนางทำให้โมโหแทบเป็นแทบตายอยู่บ่อยครั้ง นางเห็นตำหนักธิดาเทพขัดตาเพราะความรักชังส่วนตัว แต่หากจั๋วหม่าน้อยก็เหลวไหลไปด้วย เกิดเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอำนาจกับกลุ่มอำนาจขึ้นมา กลุ่มอำนาจที่ต่อต้านตำหนักธิดาเทพกลุ่มใดก็ตามล้วนไม่เคยมีจุดจบที่ดี”
เฉียวเวยมองไซน่าอิงอย่างเย็นชา “เจ้ากำลังเกลี้ยกล่อมให้ข้ายอมประนีประนอมหรือ ไม่ต้องพูดถึงว่ามารดาของข้าแต่เดิมก็ไม่ถูกกับพวกนาง ข้าไม่อาจเนรคุณมารดาของข้าไปยืนอยู่ฝั่งของนางปีศาจเฒ่าฝูงนั้นได้ ต่อให้มารดาของข้ากับพวกนางมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่พวกนางวางแผนทำร้ายข้ามาหลายครั้งหลายคราแล้ว ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยพวกนางไปแน่!”
…
ยามฟ้าสาง อี้เชียนอินกับจีอู๋ซวงก็ซื้อโลงศพไม้กลับมาแล้วจัดการฝังเซวียหรงหรงจนเรียบร้อย
คนทั้งคณะกลับมายังปราสาทเฮ่อหลัน
หญิงสาวยังไม่ทราบว่าทุกสิ่งถูกเปิดโปงแล้ว นางกำลังเค้นสมองคิดว่าจะหนีรอดจากสถานที่บัดซบแห่งนี้อย่างไร ทันใดนั้นนางก็เห็นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหน้าคล้ำเขียวเดินเข้ามา นางเหมือนเห็นทางรอด ล้มลุกคลุกคลานถลาเข้าไปหา แต่จนปัญญาที่มือถูกเชือกมัดเอาไว้ เพิ่งวิ่งได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกแรงมหาศาลสายหนึ่งกระชากกลับมา
นางฟุบอยู่บนพื้น มองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างเศร้าโศกและซาบซึ้ง “พี่เยี่ยน…พี่เยี่ยนช่วยข้า…”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยย่างสามขุมเข้าไปหานางพร้อมกับสีหน้าเฉยชา
นางมองสีหน้าที่ไม่คุ้นตาบนใบหน้าของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย หัวใจพลันกระตุกวูบ “พี่เยี่ยน…เจ้า…เจ้าเป็นอะไร”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหยุดตรงหน้านาง เงาดำใหญ่โตห้อมล้อมนางไว้ นางรู้สึกราวกับว่าตัวเองเหยียบลงไปบนความว่างเปล่า ร่วงตกลงไปยังห้วงเหวลึกไร้ก้นบึ้ง ความหวาดกลัวแผ่ลามเข้าครอบงำหัวใจ นางนั่งอยู่บนพื้นกระถดตัวถอยหลังทีละน้อย สุดท้ายก็ถอยไปจนชิดกำแพง ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว…
…
วันนี้แสงตะวันสดใส ตำหนักธิดาเทพอาบไล้ด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบและสงบสุข สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้าค่อยๆ ตื่นขึ้นมาจากห้วงฝันอย่างช้าๆ เหมือนเช่นปกติ นางเป็นคนจำนวนน้อยในหมู่สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เป็นวรยุทธ์จึงไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าไปทำท่านั่งม้า เพียงไปห้องโถงเล็กสวดคัมภีร์ทำวัตรเช้าของวันให้เสร็จก็พอ
นางแต่งตัวสะอาดเรียบร้อยเสร็จก็เดินไปห้องโถงเล็ก ไม่ผิดจากที่คาด นางมาเช้าที่สุดอีกแล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สี่คนนั้นเป็นตัวขี้เกียจ ตะวันไม่โด่งก็ไม่คิดจะลุกขึ้นมา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้าเชิดคางก้าวเข้าไปในห้องโถงเล็ก เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูก็เห็นภายในห้องโถงมีหีบใบหนึ่งเพิ่มขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด นางเปิดฝาหีบอย่างไม่คิดอะไร อยากดูว่าด้านในใส่อะไรไว้ ทว่าทันทีที่เห็น นางก็กรีดร้องแล้วล้มโครมลงบนพื้นทันที
หญิงรับใช้ได้ยินเสียงของนางจึงทยอยวิ่งเข้ามา “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับห้า! สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับห้าท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ห้ามองหีบใบนั้นอย่างหวาดผวา ทุกคนเดินเข้าไปเพ่งสายตามอง แล้วก็ตกใจกลัวจนถอยไปด้านข้างเช่นเดียวกัน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือได้ยินเสียงก็รีบเร่งเดินมา สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่เห็นของในหีบก็ปิดปากวิ่งออกไปค้ำลำต้นของต้นไม้อาเจียนอย่างหนัก
คิ้วของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งขมวดมุ่น ว่าอย่างรังเกียจ “ยังจะตะลึงอยู่ทำอะไร ยังไม่รีบขนหีบออกไปอีก!”
ศิษย์หญิงที่ใช้การได้หลายคนก้าวออกมายกหีบออกไป
เช้าตรู่ ในห้องโถงเล็กของตำหนักธิดาเทพพบของอัปมงคลเช่นนี้ ทำให้จิตใจของผู้คนสับสนว้าวุ่นจริงๆ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามไม่หวาดกลัวตัวหีบ แต่เพียงแค่คิดว่ามันปรากฏขึ้นในตำหนักธิดาเทพประหนึ่งผุดออกมาจากความว่างเปล่าโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัวก็ขนลุกซู่ในใจแล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่!” นางหันไปมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งแววตาเย็นยะเยือกตอบว่า “เป็นคนฝีมือดีจริงๆ!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขาทำเช่นนี้ เป็นการข่มขู่ตำหนักธิดาเทพชัดๆ! พวกเขาคิดว่าอาศัยเฮ่อหลันชิงคนเดียวจะทำอะไรตำหนักธิดาเทพได้จริงหรือ ตำหนักธิดาเทพสืบทอดต่อมาหลายร้อยปี ทุกคนบนเกาะล้วนเป็นสาวกของตำหนักธิดาเทพ เฮ่อหลันชิงจะเอาอะไรมาต่อต้านตำหนักธิดาเทพ อาศัยองครักษ์ไม่กี่คนนั้นหรือ! ช่างเพ้อเจ้อจริงๆ! ศิษย์พี่ใหญ่ การหยามหมิ่นแท่นบวงสรวง การบาดเจ็บของธิดาเทพ ความตายของศิษย์พี่รอง ถึงเวลาต้องเอาคืนกับพวกเขาแล้ว!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสีหน้าเย็นชามิเอ่ยวาจา ทันใดนั้นศิษย์หญิงคนหนึ่งก็ถือกระบี่เดินเข้ามาในห้องโถงเล็ก กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างข้างหูสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งประหลาดใจเล็กน้อย “สำนักผู้อาวุโสหรือ เจ้าแน่ใจหรือไม่”
ศิษย์หญิงตอบว่า “ศิษย์แน่ใจเจ้าค่ะ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งครุ่นคิด “เจ้าพวกนี้เก่งกาจกว่าที่พวกเราคิดไว้มาก ถึงกับสืบไปถึงสำนักผู้อาวุโสแล้ว พวกเขาคิดจะทำอะไร”
…
Comments