หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก 321-1 ชนะ ชนะ ชนะ! (1)
ตอนที่ 321-1 ชนะ ชนะ ชนะ! (1)
เรื่องที่เฉียวเวยเอาชนะผู้อาวุโสสองคนติดกระจายไปทั่วสำนักซู่ซินจงอย่างรวดเร็วยิ่งนัก แม้แต่บ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่ปัดกวาดเหล่านั้นภายในเรือนก็ยังรู้ว่ามีสตรีผู้ร้ายกาจนางหนึ่งเดินทางมาเยือนสำนัก ได้ยินว่าสตรีนางนี้เป็นภรรยาของศิษย์พี่สี่ ช่างพิสูจน์ประโยคที่บอกว่า มิใช่พวกเดียวกัน มิอยู่ด้วยกันจริงๆ
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวพาน้องชายกับเด็กๆ กลับไปที่เรือน ปี้เอ๋อร์ทำอาหารเต็มโต๊ะใหญ่ ฉลองที่ฮูหยินของตนชูธงคว้าชัยชนะกลับมา กำราบศัตรูราบทุกทิศ! วันนี้กินอิ่มหนำ วันพรุ่งนี้ค่อยตีผู้อาวุโสกลุ่มนั้นให้แตกกระเจิง!
ครอบครัวนั่งล้อมโต๊ะ
เฉียวเวยเอาชนะผู้อาวุโสได้ คนที่เบิกบานใจไม่ใช่แค่ปี้เอ๋อร์คนเดียว จีหมิงซิวไม่ต้องพูดถึง เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามเองก็เบิกบานใจอย่างที่สุด ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋กระโดดโลดเต้นอยู่ในห้อง มีเพียงจูเอ๋อร์ที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ถึงอย่างนั้นบนศีรษะของมันก็ประดับดอกไม้สีแดงสดอยู่ หนึ่งดอก สองดอก สามดอก สี่ดอก…เต็มหัว เรียกได้ว่าสีแดงสาดออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง!
ปี้เอ๋อร์ตักข้าว เฉียวเวยวางตะเกียบจนเรียบร้อย จีหมิงซิวคีบปีกไก่พะโล้ให้เฉียวเวยหนึ่งชิ้น เฉียวเวยไม่ชอบกินน่องไก่ จิ่งอวิ๋นก็ไม่ชอบ จีหมิงซิวจึงคีบปีกไก่อีกข้างให้จิ่งอวิ๋น น่องไก่ทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งให้วั่งซู ข้างหนึ่งให้ใต้เท้าเจ้าสำนัก
วั่งซูชอบกินน่องไก่มากที่สุดนางกัดคำโตๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับคีบน่องไก่วางลงในชามของวั่งซู
วั่งซูร้องโอ๊ะออกมาหนึ่งคำ “อารอง วันนี้ท่านใจดีจริง!”
เฉียวเวยหลุดหัวเราะ นางลูบศีรษะน้อยๆ ของวั่งซูแล้วบอกว่า “วันอื่นอารองของเจ้าไม่ใจดีหรือ”
วั่งซูตอบอย่างปากหวาน “วันไหนๆ ก็ใจดี แต่วันนี้ดีที่สุด!”
จีหมิงซิวเห็นน้องชายไม่กินน่องไก่ก็คีบกุ้งกระเทียมตัวโตให้น้องชายหนึ่งตัว เมืองหลีฮวามีอาหารทะเลไม่น้อย แม้จะสดใหม่คุณภาพดีสู้เผ่าถ่าน่าไม่ได้แต่ก็นับว่าอร่อยยิ่งนัก ไหนเลยจะคิดว่าใต้เท้าสำนักมองก็ยังไม่มอง คีบกุ้งใส่ไว้ในชามของวั่งซู
คราวนี้วั่งซูร้องว้าวออกมาทันที!
อารองมักจะแย่งอาหารของนางเสมอ วันนี้เหตุไฉนจึงคีบอาหารให้นางเล่า
จีหมิงซิวสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว เขามองน้องชายแวบหนึ่งแล้วถามว่า “”วันนี้เจ้าเป็นอะไร อารมณ์ไม่ดีตรงไหนหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงเหอะ “ข้าอารมณ์ไม่ดีตรงไหน ก็แค่อาหารพวกนั้นที่เจ้าคีบให้ ข้ากินจนเบื่อแล้วก็เท่านั้น”
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นคนบอกปี้เอ๋อร์ให้ทำอาหารพวกนี้เองไม่ใช่หรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาตอบว่า “จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากกิน ทำไม ไม่ได้หรือ”
เฉียวเวยจิ๊ปาก “ได้ๆ วันนี้พี่สะใภ้อย่างข้าอารมณ์ดี จะไม่จู้จี้กับเจ้า กินเถอะ!”
“เหอะ” ใต้เท้าเจ้าสำนักลงมือกินด้วยท่าทางมิใคร่จะยินดี ปากบอกว่าไม่ชอบกิน แต่เมื่อวั่งซูกินไก่ทั้งชามใกล้จะหมด เขาก็ยังลงมือกินเร็วราวกับสูบ!
หลังอาหารเย็น เจ้าซาลาเปาน้อยอาบน้ำแล้วนอนหลับปุ๋ยบนเตียงอย่างมีความสุข
เฉียวเวยห่มผ้าให้ทั้งสามคนเสร็จเรียบร้อยก็กลับมาที่ห้องของตนเอง
จีหมิงซิวเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เส้นผมสีดำขลับเปียกชื้นที่แผ่ปรกหัวไหล่ดูมันวาวดำเข้มดุจผืนผ้าแพร ทำให้คนดูเกียจคร้าน แล้วยังขับผิวขาวนวลผ่องดุจหยกของเขาอีกด้วย เสื้อของเขาแบะกว้าง เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแกร่งช่วงหนึ่ง เฉียวเวยเห็นแล้วรู้สึกลำคอตีบตัน
เฉียวเวยเดินเข้าไปหาอย่างเงียบเชียบแล้วนั่งลงข้างกายเขา ร่างกายอ่อนนุ่มพิงบนหัวไหล่เขาอย่างแผ่วเบา แววตาลุ่มหลงจับจ้องแผงอกกำยำของเขา “นายน้อยหมิง นี่ท่านกำลังอ่านหนังสือ หรือว่ากำลังล่อลวงหัวหน้าพรรคคนนี้”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” จีหมิงซิวปิดหนังสือพลางอมยิ้มมองนาง
มือน้อยของเฉียวเวยลูบไล้แผงอกของเขาอย่างซุกซน “พักนี้ยุ่งอยู่กับการฝึกอยู่ตลอด เหมือนว่าจะปล่อยให้นายน้อยหมิงเปล่าเปลี่ยวอยู่บ้าง มิสู้คืนนี้…ชดเชยให้นายน้อยหมิงดีๆ เป็นอย่างไร”
จีหมิงซิวถูกโลมไล้จนด้านล่างเริ่มร้อนผ่าว แต่เขากลับไม่กดนางไว้ใต้ร่างในทันที แต่กุมมือนางไว้แล้วบอกว่า “สู้มาทั้งวันแล้ว ยังมีแรงเหลืออยู่อีกหรือ”
เฉียวเวยปลดปิ่นบนศีรษะ แพเส้นผมดำขลับทิ้งตัวลงมา นางนั่งคร่อมต้นขาของเขาแล้วเอ่ยอย่างเย้ายวน “ต้องให้ข้าออกแรงด้วยหรือ”
อัครมหาเสนาบดีน้อยดีดผึงตื่นขึ้นมาเต็มตา!
เฉียวเวยครางหืมออกมาเบาๆ
จีหมิงซิวเกือบจะเสียการควบคุม เจ้าตัวร้ายกาจน้อย นับวันยิ่งชำนาญทักษะยั่วยวนบุรุษขึ้นทุกที เกือบจะทำให้เขารักษามาดไว้ไม่ได้แล้ว จีหมิงซิวยึดเอวนุ่มนิ่มของนางพลางลูบไล้แผ่วเบา “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า”
“เรื่องอะไรหรือ” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวปัดเรือนผมงดงามของนางออก ก่อนจะหอมโหนกแก้มได้รูปของนาง “เรื่องการประลองวันพรุ่งนี้ของเจ้า ข้าจะเล่าเรื่องผู้อาวุโสสองคนที่เจ้าต้องต่อกรวันพรุ่งนี้ให้เจ้าฟัง”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเรียกอาจารย์ตามา!” เฉียวเวยกระโดดลงจากเตียงในเสี้ยววินาที
จีหมิงซิวที่กำลังจะกุ้มไปจุมพิตเฉียวเวย จูบโดนแต่ความว่างเปล่า เขามองร่างของเฉียวเวยวิ่งฉิวออกจากห้องไปราวกับพายุ ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีงุนงงเล็กน้อย เหตุไฉนแผนการบอกเรื่องสำคัญแบบรัญจวนใจล่มไม่เป็นท่าเสียแล้วเล่า…
…
เฉียวเวยใช้รถเข็นเข็นอาจารย์ตาฮั่วเข้ามา หลังจากนั้นจึงใช้รถเข็นอีกคันหนึ่งเข็นกระบี่ของอาจารย์ตาฮั่วเข้ามาด้วย หนึ่งคนหนึ่งกระบี่พันผ้าพันแผลหนาเตอะ ดูแล้วน่าฉงนงงงวยกับความแปลกประหลาด
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบื่อหน่ายจึงเตร็ดเตร่มาทางด้านนี้ เห็นประตูเปิดอยู่จึงเดินอาดๆ เข้ามา เขาเหลือบมองกระบี่ยาวที่ถูกพันจนเป็นมัมมี่ มืออันซุกซนอยากจะเข้าไปจิ้มดูสักหน่อย
อาจารย์ตาฮั่วหมุนคอดังกึกๆ กลับมาเห็นเข้า แววตาฉับพลันเย็นเฉียบ ใต้เท้าเจ้าสำนักชักมือกลับมาลูบศีรษะตนเอง เงยหน้ามองฟ้าเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
จีหมิงซิวเริ่มพูดเรื่องจริงจัง “แม้การท้าสู้ผู้อาวุโสของเจ้าสำนักแต่ละรุ่นของสำนักซิ่นจงจะไม่มีลำดับอย่างแน่ชัด แต่โดยปกติแล้มักจะเรียงตามลำดับจากต่ำไปสูง วันนี้เสี่ยวเวยท้าสู้กับผู้อาวุโสห้าและผู้อาวุโสสี่ไปแล้ว วันพรุ่งนี้หากไม่ผิดคาดก็จะเป็นผู้อาวุโสสามกับผู้อาวุโสรอง ความสามารถของผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้ล้วนเหนือกว่าผู้อาวุโสสี่กับผู้อาวุโสห้า ประสบการณ์ในการรับมือศัตรูก็มากมายกว่า วันพรุ่งนี้เสี่ยวเวยต้องระวัง”
เฉียวเวยพยักหน้า นางยืดร่างเล็กๆ อย่างมั่นใจในตนเอง “วางใจเถิด ข้าได้รับสืบทอดวิชาจากอาจารย์ตาของข้าอย่างลึกซึ้ง จัดการผู้อาวุโสไม่กี่คนไม่ใช่ปัญหา! ต่อให้เขาเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจอีกเท่าใด ข้าก็จะรับมือไปตามสถานการณ์!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขยับตัวไปด้านหลังรถเข็นอย่างช้าๆ จากนั้นก็ยกปลายนิ้วขึ้นมาจิ้มกระบี่ของอาจารย์ฮั่ว
“ฮึ่ย!” อาจารย์ตาฮั่วส่งเสียงออกมาจากจมูกอย่างขุ่นเคือง
ใต้เท้าเจ้าสำนักชักนิ้วกลับ ท้ายทอยของตาเฒ่าคนนี้มีดวงตางอกอยู่หรืออย่างไร ทำเช่นนี้แล้วยังรู้อีกหรือ!
จีหมิงซิวไม่สนใจน้องชายที่กำลังเล่นอยู่ เขาเอ่ยกับเฉียวเวยต่อ “ข้ามั่นใจในตัวเจ้า แต่โบราณกล่าวไว้ดีนัก รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง หากอยากป้องกันความผิดพลาด อย่างไรก็ระวังเพิ่มสักหน่อยย่อมดีกว่า”
เฉียวเวยพยักหน้า “ผู้อาวุโสสองคนนี้ใช้วิชาอันใดเป็นบ้างเล่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขยับไปหลังรถเข็นของอาจารย์ตาฮั่ว จากนั้นยื่นนิ้วออกมา จิ้มท้ายทอยของอาจารย์ตาฮั่ว ทุกครั้งจิ้มจนเกือบจะโดนแล้ว แต่อาจารย์ตาฮั่วก็ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย ดูท่าคงจะไม่มีดวงตาอีกคู่นะ….
ใต้เท้าเจ้าสำนักขยับตัวไปด้านหลังรถเข็นของกระบี่ยาวอีกหน เพิ่งจะยื่นนิ้วออกมา อาจารย์ตาฮั่วก็ส่งเสียง “ฮึ่ย” หนักๆ ออกมาอีกหน!
ท่านปู่ช่วยด้วย!
ใต้เท้าเจ้าสำนักชักนิ้วกลับมากัด!
จีหมิงซิวเอ่ยเหมือนขบคิดบางสิ่งอยู่ “ผู้อาวุโสสามวิชาตัวเบายอดเยี่ยมนัก ความเร็วของเจ้าในตอนนี้เกรงว่าจะซื้อความได้เปรียบจากผู้อาวุโสสามไม่ได้ หากเจ้าอยากเอาชนะ ต้องแข่งสิ่งอื่น”
“แข่งสิ่งอื่นหรือ” เฉียวเวยลูบคาง “กำปั้นหรือ”
จีหมิงซิวบอกว่า “ผู้อาวุโสสามมีอาวุธชิ้นหนึ่งนามว่า ‘อาภรณ์ไหมฟ้าแดนหิมะ’ ลือกันว่าอาภรณ์ไหมฟ้าชนิดนี้แข็งแกร่งจนตัดได้ทุกสิ่ง ไม่มีปราการใดที่ทะลวงมิได้ หอกดาบฟันไม่เข้า น้ำไฟมิอาจกล้ำกราย ต่อกรด้วยยากเย็นยิ่งนัก”
พอคิดอะไรได้ เฉียวเวยก็ถามว่า “ใช่อาภรณ์ไหมฟ้าแบบเดียวกับที่หลี่อวี้สวมหรือไม่”
จีหมิงซิวตอบว่า “แข็งแกร่งยิ่งกว่าชนิดนั้นเล็กน้อย”
“โอ้” เฉียวเวยประหลาดใจ เกราะอ่อนไหมฟ้าของหลี่อวี้ทนทายาดมากแล้ว ตอนสวมมัน ใช้ต้านการโจมตีของสวี่หย่งชิงได้เกือบครึ่งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าอาวุธของผู้อาวุโสสามจะแข็งแกร่งยิ่งกว่ามัน แล้วยังคมกริบอย่างยิ่งอีก เฉียวเวยหยิบถ้วยชาขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้น…หากข้าถูกฟันขึ้นมา…”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “เรื่องนั้นต้องดูว่าฟันที่ใด”
เฉียวเวยมองข้อมืออันงดงามและขาวผ่องของตนเอง แล้วเลิกคิ้ว “มือ?”
“อ้อ” จีหมิงซิวตอบด้วยท่าทางสบายๆ “ก็น่าจะถูกฟันจนด้วนกระมัง”
“พรูดดด”
เฉียวเวยพ่นน้ำชา
จีหมิงซิวบอกอีกว่า “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลใจเกินไปนัก ผู้อาวุโสสามไม่ใช่ว่าจะหยิบอาภรณ์ไหมฟ้าออกมาใช้ง่ายๆ หากเจ้าเอาชนะเขาได้ในกระบวนท่าเดียวเหมือนผู้อาวุโสสี่วันนี้ก็ไม่ต้องกังวลถึงชีวิตแล้ว”
ลูกตาของเฉียวเวยกลอกไปมา “ถ้าอย่างนั้น…หากข้าเอาชนะเขาไม่ได้ในหนึ่งกระบวนท่าเล่า”
จีหมิงซิวตอบว่า “กฎของผู้อาวุโสสามก็คือภายในสิบกระบวนท่าจะไม่ใช่อาภรณ์ไหมฟ้า ดังนั้นความจริงแล้วเจ้ามีโอกาสสิบกระบวนท่า”
สิบกระบวนท่าฟังดูแล้วมากเอาการ เฉียวเวยกะพริบตา “ข้ายืนหยัดสู้กับผู้อาวุโสห้าไปกี่กระบวนท่า”
จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดกระบวนท่ากระมัง”
เฉียวเวยนอนพังพาบทันที
“อาจารย์ตา อาจารย์ตาท่านยังมีท่าไม้ตายอันใดที่ยังไม่ถ่ายทอดให้ข้าหรือไม่” เฉียวเวยหันไปเขย่าตัวอาจารย์ตาฮั่ว แต่อาจารย์ตาฮั่วหลับตาพริ้มหลับไปเสียแล้ว
…
เวลาล่วงเลยผ่าน การประลองวันที่สองเริ่มต้นขึ้น
ผู้ชมด้านล่างของเวทีมีมากกว่าเมื่อวานไม่น้อย ไม่ใช่แค่บ่าวรับใช้ทำงานปัดกวาดที่รีบเร่งมาชมการต่อสู้ แม้แต่ชาวบ้านในเมืองหลีฮวากับเมืองใกล้เคียงจำนวนไม่น้อยเมื่อได้ยินเรื่องการต่อสู้เมื่อวาน ก็ทยอยกันขอขึ้นเขามาชมการต่อสู้เช่นเดียวกัน
ปกติสำนักซู่ซินจงพึ่งพาสิ่งที่ชาวบ้านเหล่านี้มอบให้ ขณะที่พวกเขาเสพสุขกับของบรรณาการจากชาวบ้าน พวกเขาก็ปกป้องความปลอดภัยให้เมืองรอบๆ เป็นที่พึ่งพาได้ยิ่งกว่าทางการ ชาวบ้านอยากจะขึ้นเขามาชมการต่อสู้ สำนักซู่ซินจงจึงไม่มีเหตุผลจะขัดขวาง ถึงอย่างไรในอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีตัวอย่างเรื่องทำนองนี้มาก่อน เพียงแต่ว่าในอดีตล้วนแต่เป็นคุณชายและชายหนุ่มจากตระกูลคหบดีทั้งหลายที่มาร่วมชมเรื่องสนุก ไม่เหมือนครานี้ แม้แต่ผู้เฒ่าอายุหกสิบกว่าไปจนถึงเด็กน้อยอายุหกเจ็ดขวบก็แห่กันมาอย่างตื่นเต้น
Comments