ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 90 เขามาแล้ว / 91 เหล้า
ตอนที่ 90 เขามาแล้ว
“ไสหัวไป!”
ผู้อาวุโสฉีกจดหมายเชิญเป็นชิ้นๆ ด้วยความโกรธจนตัวสั่น
“ให้เขากลับไปบอกฉู่หลิวเยว่ว่าในเมื่อพวกเขาตัดขาดจากตระกูลฉู่แล้ว ต่อแต่นี้ไปไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตระกูลฉู่ของข้าอีก!”
“ขอรับ! ขอรับ!”
เมื่อเห็นผู้อาวุโสโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง บ่าวรับใช้จึงไม่กล้าอยู่ต่อ เขาจึงรีบถอยออกไปโดยไม่ลาไม่ไหว้
สีหน้าของคนอื่นในห้องโถงตระกูลฉู่ก็ย่ำแย่พอๆ กัน
“ตอนเช้าใครส่งคนนั้นไป!”
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลฉู่ในตอนนี้ตะคอกถามเสียงดัง
กว่ากลับไม่มีผู้ใดปริปากสักคำ
ปัง!
ผู้อาวุโสตบโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดังและขาโต๊ะทั้งสี่แทบหัก
“พูด!”
ฉู่เยี่ยนสะดุ้งเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วพูดเสียงแผ่ว
“ข้า…ตอนแรกข้าแค่อยากทำให้พวกเขารู้สึกอับอาย…แต่…ใครจะไปรู้ว่า…”
“อับอายหรือ เจ้าแหกตาดูสิว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่ต้องอับอาย! หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ตระกูลฉู่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! เป็นเพราะเจ้าที่เสนอหน้าดีนัก!”
ฉู่เยี่ยนเจ็บใจเป็นอย่างยิ่ง
ผู้อาวุโสไม่ใช่ไม่รู้เรื่องนี้ ไม่ฉะนั้นก็คงไม่เห็นด้วยหรอกมิใช่หรือ
แต่พอตอนนี้เรื่องมันกลับตาลปัตร เขาก็เปลี่ยนสี่เหมือนกิ้งก่าทันที แล้วทำเหมือนว่าเขาเป็นคนผิดเพียงคนเดียวอย่างไรอย่างนั้น
“…ใครจะไปรู้ว่านางจะทำเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ”
สีหน้าของผู้อาวุโสมืดหม่นจนน่าหวาดกลัว
นี่ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก
ตอนนี้ปัญหาที่หนักใจที่สุดก็คือ คนที่มีหน้ามีตาในสังคมกว่าครึ่งค่อนเมืองหลวงต่างก็ไปรวมตัวกันที่โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงกันหมดแล้ว!
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด กระนั้นเรื่องนี้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้ว
จากนี้เป็นต้นไป ฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่คงมีฐานที่มั่นคงในเมืองหลวงอย่างแน่นอน
“ผู้อาวุโส ได้ยินมาว่าตอนนี้ประมุขตระกูลลู่ได้ไปหารือกับองค์ชายรัชทายาทที่ตำหนักแล้ว ท่านคิดเห็นว่า…ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี” มีคนคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา
ผู้อาวุโสสูดหายใจเข้าลึกๆ
เวลานี้องค์ชายรัชทายาทกำลังทรงกริ้วเรื่องระหว่างฉู่หลิวเยว่และฉู่เซียนหมิ่น เขาคงไม่ไว้หน้าพวกนางและตระกูลฉู่แน่นอน!
เดิมทีคิดว่าตระกูลฉู่สามารถใช้ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายรัชทายาทและฉู่เซียนหมิ่นเป็นใบเบิกทาง ที่ไหนได้ เรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้!
ทว่าเวลานี้พวกเขากลับขาดการสนับสนุนจากองค์ชายรัชทายาทไปไม่ได้เป็นอันขาด!
“ข้าจะเป็นคนไปเอง!”
…
ฉู่หลิวเยว่คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าตระกูลฉู่จะต้องปฏิเสธกลับมา
นางให้ซูหุยส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากโรงเตี๊ยมแห่งอื่นด้วยความใจเย็น ในขณะเดียวกันนางก็ไม่ลืมให้คนส่งจดหมายเชิญไปยังตำหนักขององค์ชายรัชทายาทอีกด้วย
หรงจิ้นจะมาหรือไม่ ฉู่หลิวเยว่ไม่คิดจะสนใจเลยสักนิด
แต่นางทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดได้ นางก็ยินดีที่จะทำเช่นกัน
คราวนี้มีโรงเตี๊ยมจำนวนไม่น้อยที่ยินยอมให้ความร่วมมือไม่ปฏิเสธเหมือนก่อนหน้านี้ และกิริยาท่าทางรวมถึงทัศนคติของพวกเขาก็แตกต่างจากเมื่อตอนเช้ามาก
ยามนี้จึงมีการจัดโต๊ะกินเลี้ยงซึ่งกินพื้นที่ไปเกือบครึ่งของถนนหน้าโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง
ผู้คนเข้ากันมาจนเนืองแน่น ประกอบกับกลิ่นสุราอาหารหอมตลบอบอวล บรรยากาศช่างดูคึกคักจริงๆ!
และจุดสนใจของทุกคนก็คงหนีไม่พ้นฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่
ใครจะสามารถคาดคิดได้ว่าสองพ่อลูกที่เคยถูกกลั่นแกล้งรังแกมาโดยตลอดจะสามารถเชิดหน้าชูตาในวันนี้ได้
ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลงเป็นอนิจจา
ฉู่หนิงได้รับคำแสดงความยินดีอย่างท่วมท้น ซึ่งเขาก็รู้สึกซาบซึ้งและประทับใจยิ่งนัก
เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะเยว่เอ๋อร์บุตรสาวดั่งแก้วตาดวงใจของเขา
“พี่ฉู่หนิง หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ หลิวเยว่ผ่านพิธีปักปิ่นมาแล้วนี่นา ตอนนี้นางก็เป็นอิสระแล้ว ท่านยังได้เลื่อนขั้นอีก ไม่ทราบว่าท่านพิจารณาบุตรชายตระกูลใดไว้หรือยัง”
“จริงด้วย! บุตรสาวของท่านโดดเด่นถึงเพียงนี้ คงมีหนุ่มๆ ในเมืองหลวงหมายตาหมายใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ฮ่าๆ!”
“แล้วไอ้เจ้าลูกชายของข้าเล่า พี่ฉู่หนิงคิดเห็นเยี่ยงไร”
“หลานชายของข้าอีกคน หลานชายข้าเป็นศิษย์สำนักเทียนลู่เหมือนกัน รับรองพวกเขาต้องมีเรื่องให้สนทนากันแน่นอน”
ฉู่หนิงได้ฟังก็เหงื่อผุดเต็มหน้า
หลังจกาผ่านเรื่องราวขององค์ชายรัชทายาทมาได้ เขาก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว เพราะตอนนี้ยังไม่อยากคิดให้เยว่เอ๋อร์ต้องรีบหมั้นหมายกับผู้ใด
“ทุกท่าน เยว่เอ๋อร์บุตรสาวข้ายังเด็กนัก ตอนนี้…”
“หลีอ๋องเสด็จ!”
เสียงนี้ดังขึ้นขัดจังหวะฉู่หนิง แล้วก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปพร้อมๆ กัน
หลายสายตาต่างหันไปมองกันเป็นตาเดียว!
หลีอ๋อง!
หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับมาประทับที่เมืองหลวงก็ไม่ค่อยได้พบปะผู้คนเท่าใดนัก คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้ว่าเขามีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร
ทว่าวันนี้พระองค์ทรงเสด็จมาที่แห่งนี้ได้อย่างไร!
ตอนที่ 91 เหล้า
ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ปักด้วยดิ้นทองลายขดเมฆสง่างามกำลังย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เขามีรูปร่างสูงโปร่งไหล่กว้างแต่เอวกลับคอดกิ่ว ทุกกิริยาท่วงท่าของเขาราวกับมีแสงสลัวเคลื่อนไหวไปตามอาภรณ์ที่เขาสวมใส่
ในขณะที่ตะวันทอแสงมาอย่างลงตัว แต่เขากลับดูเหมือนมีไอเย็นยะเยือกแผ่ออกมารอบกายราวกับยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาแน่น
คิ้วคมเข้มดั่งคมดาบ จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาคู่งามเปล่งประกายแสงเจิดจ้า แม้กระทั่งท้องฟ้ายามราตรีที่ว่างามที่สุดก็ยังมิสามารถเทียบเท่าความงดงามของเขาได้เพียงเศษเสี้ยว
หากได้มองเพียงแวบเดียวอาจเผลอไผลดำดิ่งเข้าไปในเสน่ห์ของเขาได้อย่างง่ายดาย
ริมฝีปากบางรูปกระจับสีแดงเข้มที่โค้งขึ้นเล็กน้อยกำลังดี เพราะกระจับปากกลมกลึงดั่งไข่มุกทำให้ริมฝีปากที่ดูบางนั้นแลดูอบอุ่นยิ่งขึ้น
ดวงตาคู่คมของเขาประดุจดั่งดวงดาวท่ามกลางท้องนภายามราตรีที่สุกสกาวที่สุดบนโลกใบนี้ แต่ริมฝีปากของเขากลับดูอบอุ่นราวกับสีสันแห่งวสันต์ฤดูที่อ่อนโยนที่สุดในโลกมนุษย์
เขาช่างสง่างามราวกับหยก แต่กลับมีราศีที่สูงส่งและเยือกเย็น สีหน้าที่เรียบนิ่งเย็นชาดูห่างเหินนั้นกลับทำให้คนเผลอมองโดยมิรู้ตัว
ผู้คนต่างต่างเงียบงันไปชั่วขณะ
ตั้งแต่พระองค์เสด็จกลับมามีคนเคยเห็นน้อยจนแทบนับได้ คนที่เหลือส่วนใหญ่ก็เพิ่งเคยเจอเขาครั้งนี้เป็นครั้งแรก
แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าหลีอ๋องผู้ลึกลับและมีร่างกายอ่อนแอพระองค์นี้จะรูปงามถึงเพียงนี้
หญิงสาวบางคนแอบหน้าแดงเงียบๆ
หรงซิวเมินสายตาเหล่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปยังด้านในสุด
ฉู่หนิงเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เขาจึงรีบก้าวเข้าไปหาด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ
“องค์ชายหลีอ๋อง! ทำไมวันนี้พระองค์ถึงว่างเสด็จมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
สำหรับฉู่หนิง หลีอ๋องเคยช่วยพวกเขาสองพ่อลูกในสถานการ์ที่เลวร้ายอยู่หลายครั้งจึงนับว่าเป็นผู้มีพระคุณอย่างสูงของพวกเขา
ในขณะที่ทุกคนต่างดูถูกเหยียดหยามพวกเขาสองพ่อลูก มีเพียงหลีอ๋องพระองค์นี้ที่ยื่นมือมาช่วยเหลือค้ำจุน ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกกับหลีอ๋องที่แตกต่างจากผู้อื่น
เขาได้ยินมาว่าช่วงนี้หลีอ๋องทรงพักฟื้นพระวรกายในตำหนักตลอดและปฏิเสธทุกคำเชิญทั้งหลาย
เดิมทีเขาก็ไม่ได้หวังสิ่งใดมากมาย ทว่ายังคงส่งจดหมายเชิญไปให้พระองค์อยู่ดี แต่ใครจะไปรู้ว่าหลีอ๋องจะเสด็จมาด้วยพระองค์เอง!
แน่นอนว่าฉู่หนิงทั้งดีใจและประหลาดใจไปพร้อมๆ กัน
หรงซิวพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ใต้เท้าฉู่หนิงได้เลื่อนขั้นนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ช่วงนี้สุขภาพของข้าดีขึ้นมากแล้วก็เลยอยากมาร่วมฉลองกับเขาด้วยเหมือนกันเพื่อซึมซับบรรยากาศครึกครื้น แต่วันนี้ธุระให้ต้องจัดการจึงมาช้าไปบ้าง หวังว่าใต้เท้าฉู่หนิงคงจะไม่ถือสา”
ฉู่หนิงรีบเอ่ยว่า
“ไม่ถือสาๆ พระองค์ให้เกียรติเสด็จมา กระหม่อมกับเยว่เอ๋อร์ก็ยินดีอย่างหาที่สุดไม่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดสายตาของเขาก็มาหยุดอยู่ที่ฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่ข้างกัน แต่ดูเหมือนเขาจะแค่กวาดสายตาผ่านไปเท่านั้น
“อ๋อ คุณหนูหลิวเยว่ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันหรือ”
น้ำเสียงฟังดูสุภาพ แต่จะมีผู้ใดรู้บ้างว่าเจ้าหนุ่มคนนี้คือคนเดียวกับที่ขอค้างคืนที่ห้องนางเมื่อคืนนี้!
ฉู่หลิวเยว่แอบก่นด่าเขาในใจ ในเมื่อเข้าต้องการเล่นละครตบตา เช่นนั้นนางก็ไหลไปตามน้ำเล่นให้สมบทบาทเหมือนกัน
นางถอนสายบัว
“ท่านพ่อคิดสิ่งใด หลิวเยว่ก็คิดเช่นนั้นด้วยเพคะ พระองค์ให้เกียรติเสด็จมา หม่อมฉันทราบซึ้งในน้ำพระทัยยิ่งนักเพคะ”
หรงซิวมองนางด้วยแววตาขบขันและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ทุกคนต่างมองฉากนี้ด้วยความแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
หลีอ๋องรู้จักมักจี่กับฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่สองพ่อลูกคู่นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกทั้งดูท่าทางแล้วคงสนิทสนมกันน่าดู
มิฉะนั้น เหตุใดหลีอ๋องถึงได้ปฏิเสธคำเชิญมากมายเพื่อมางานนี้โดยเฉพาะ
องค์ชายเจ็ดมีฐานะสูงส่งและยังเป็นตัวแทนของราชวงศ์ แม้หลายปีมานี้จะไม่ค่อยได้ประทับที่เมืองหลวง แต่เมื่อเสด็จกลับก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหลีอ๋องทันที จึงเห็นได้ว่าฝ่าบาทก็ทรงโปรดปรานหลีอ๋องพระองค์นี้ไม่น้อย
ฉู่หนิงเข้ามาเกี่ยวข้องกับหลีอ๋องตั้งแต่เมื่อไหร่
“หลีอ๋อง เชิญด้านในพ่ะย่ะค่ะ”
…
แม้วันนี้จะมีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดที่มีฐานะสูงส่งไปกว่าหลีอ๋องอีกแล้ว ดังนั้นเมื่อพระองค์เสด็จมาถึงจึงได้ประทับนั่งหัวโต๊ะเป็นธรรมดา
ซึ่งอยู่แถวที่นั่งเดียวกันกับฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่
นอกจากนี้ยังมีเหยียนเก๋ออีกคนที่ได้นั่งแถวเดียวกันนี้
“องค์ชายเชิญนั่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าฉู่หนิงมิต้องมากพิธีหรอก ทำตามสบายเถิด”
ฉู่หนิงเคารพนับถือหรงซิวเป็นอย่างยิ่ง แต่นั้นหรงซิวหาได้เป็นผู้ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง ด้วยเหตุนี้ก็ยิ่งทำให้ฉู่หนิงเกิดความรู้สึกชื่นชมเขามากกว่าเดิม
ฉู่หลิวเยว่เห็นเขาคุยกับฉู่หนิงผู้เป็นบิดาท่าทางมีความสุข นางจึงแอบเบะปากอย่างอดมิได้
ท่านพ่อของนางหลงกลภาพลักษณ์ภายนอกของหรงซิวจนหน้ามืดตามัวจริงๆ
“เยว่เอ๋อร์ ยังไม่รินน้ำชาให้องค์ชายอีก องค์ชายทรงช่วยเหลือเราตั้งหลายครั้ง เรายังไม่เคยได้ขอบพระทัยพระองค์จริงๆ จังๆ สักที”
ฉู่หนิงกล่าว
ฉู่หลิวฉุกคิดได้จึงยื่นมือออกไปแต่กลับเลยกาน้ำชาแล้วหยิบกาเหล้าที่อยู่ข้างกันแทน
“นี่คือสุราใบไผ่เขียวชั้นเลิศ องค์ชายลองดื่มดูสิเพคะ พระองค์ต้องชอบแน่นอน”
ฉู่หนิงชะงักแล้วปรามนางอย่างไม่เห็นด้วย
“เยว่เอ๋อร์ สุขภาพขององค์ชายเพิ่งฟื้นตัว จะดื่มเหล้าได้อย่างไรกัน”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ แล้วมองหรงซิว
“องค์ชาย หม่อมฉันเห็นว่าพระองค์สวมเสื้อผ้าเบาบางก็เกรงว่าอาจจะได้รับลมหนาวเข้า จึงตั้งใจรินเหล้าเพื่ออบอุ่นร่างกายให้เป็นพิเศษ พระองค์มิชอบหรือเพคะ”
หรงซิวจ้องดวงตาเปล่งประกายของนาง เขารู้ว่านางจงใจแกล้งเขา
“ร่างกายของข้ามิสามารถดื่มเยอะได้จริงๆ…”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วแล้วจะยกกาเหล้าออกห่างไป
แต่ทว่าหรงซิวกลับยกมือขึ้นแล้วกดบริเวณข้อมือของนางแผ่วเบา
เมื่อมือของทั้งสองสัมผัสกันก็ดูเหมือนว่าบริเวณนั้นจะมีไฟลุกโชนขึ้นมา
“แต่ทว่า ในเมื่อคุณหนูหลิวเยว่อยากรินเหล้าให้ข้าด้วยตัวเอง ข้าจะปฏิเสธได้เยี่ยงไรเล่า”
เพียงครู่เดียวเขาก็ชักมือกลับไปเงียบๆ ราวกับว่าแค่มาห้ามนางเอาไว้เท่านั้นเอง
ฉู่หนิงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ เขาจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
“ลูกสาวกระหม่อมเอาแต่ใจนัก องค์ชายอย่าได้ถือสา”
หรงซิวเหยียดยิ้มริมฝีปากบางเล็กน้อย
“หากได้ถือสาไม่”
เพราะเขาชินตั้งนานแล้ว
ฉู่หลิวเยว่แอบสบถในใจเบาๆ นางเหลือบสายตาก็เห็นว่าเหยียนเก๋อยังคงยืนอยู่ด้านข้าง
“คุณชายรองเหยียน เหตุใดท่านถึงยังไม่นั่งล่ะเจ้าคะ”
เหยียนเก๋อยืนยิ้มกระอักกระอ่วน
“ไม่ๆ ข้า ข้า…เมื่อยเอวนิดหน่อย ข้ายืนก็ได้!”
ต่อให้เขากินดีหมีหัวใจเสือมา เขาก็ไม่กล้านั่งแถวเดียวกับนายท่านหรอกนะ!
Next
Comments