ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 631 ใครจะเป็นฝ่ายชนะก่อนกัน

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 631 ใครจะเป็นฝ่ายชนะก่อนกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 631 ใครจะเป็นฝ่ายชนะก่อนกัน

กลุ่มคนทั้งหมดเลยหน้าขึ้นมองทันควัน

ก่อนจะเห็นเงาของคนสองเข้าที่พุ่งเข้ามาดั่งสายลมโดยใช้กระบี่เล่มยาวเป็นยานพาหนะ

คนที่อยู่ข้างหน้าแต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำ ผมสีดำยาวปลิวไสว ใบหน้างามแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้า

คนผู้นั้นคือ ฉู่หลิวเยว่!

และคนที่อยู่ข้างหลังนาง ก็คือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผู้สวมชุดผ้าลินินสีเทา ผิวของเขาขาวใสจนดูเหมือนโปร่งแสงได้ก็มิปาน ใบหน้าของเขางดงามน่ามอง อีกทั้งผมสีทองนุ่มสลวยที่พลิ้วไหวไปตามสายลม แม้สีหน้าของเขาจะดูเย็นชาเพราะคิ้วที่ขมวดมุ่นตลอดเวลา แต่ก็ยังคงมีเอกลักษณ์ความอ่อนเยาว์ และความกระฉับกระเฉงของวัยแรกแย้ม

ซึ่งเขาก็คือ เชียงหว่านโจว!

ใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองคน พวกเขาเหยียบกระบี่นกยูงสีฟ้าที่มีแสงจางๆ บินเข้ามา ราวกับกระบี่เล่มนั้นเป็นทางช้างเผือกที่พาดผ่านท้องฟ้ายามค่ำ

พวกเขาบินผ่านพื้นที่ต่างๆ เข้ามาอย่างโดยไร้เสียงรบกวน และทิ้งเพียงรอยแยกสีดำไว้ในอวกาศ ช่างเป็นพลังปราณที่น่าทึ่งจริงๆ

พวกแต่งตัวเสมือนคนธรรมดา แต่ชุดเหล่านั้นกลับไม่สามารถปกปิดรูปลักษณ์ และลมปราณที่โดดเด่นของพวกเขาได้

ทันทีที่สองร่างปรากฏขึ้น ก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนได้ทันที

อวี้ฉือซงถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลันรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา

เหล่าศิษย์น้อยใหญ่ของชงซูเก๋อเองก็ตื่นเต้นดีใจเช่นกัน

ลู่จือเหยากระโดดไปมาอย่างตื่นเต้นและโบกมือให้ทั้งสองคน

“ศิษย์น้องหญิง! ศิษย์น้องชาย! พวกเราอยู่ทางนี้! โอ๊ย…เจ็บโว้ย!”

แต่เพราะเขาตื่นเต้นเกินไป บาดแผลที่เพิ่งปิดจึงเปิดออกอีกครั้ง จนเขาต้องกัดฟันยิ้มด้วยความเจ็บปวด

เย่หรานหร่านรีบเข้าไปเอ็ดอย่างไว

“ศิษย์พี่ลู่ ระวังหน่อยปะไร!”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร! พวกนั้นอยู่ที่นี่แล้ว ข้าเองก็โล่งใจ! บาดแผลแค่นี้ไม่เห็นจะเจ็บตรงไหนเลย?”

ลู่จือเหยายิ้มกว้างราวไม่ใส่ใจ

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเขาเห็นฉู่หลิวเยว่ หัวใจที่กระสับกระส่ายของเขา ก็ดูเหมือนจะสงบลงทันที

ราวกับว่ามีพลังที่มองไม่เห็นอยู่ในตัวของนาง ซึ่งสามารถทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในตัวนางโดยไม่มีเงื่อนไข

มิหนำซ้ำ ตราบใดที่นางอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว

เย่หรานหร่านหยุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้

“ใช่แล้ว! พวกเขามาแล้ว เช่นนั้นพวกเราต้องชนะแน่นอน”

ฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวกระโดดลงมายืนบนพื้น

ฝูงชนรอบข้างหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ

ทั้งสองเดินตรงไปยังบริเวณที่ทุกคนในชงซูเก๋อยืนอยู่

“ท่านอาจารย์”

ทั้งสองคนทำความเคารพอย่างนอบน้อม

“พวกข้ามาช้าไปหรือเปล่า?”

“ไม่ช้าไปหรอก พวกเจ้ามาทันเวลา…”

ในขณะที่อวี้ฉือซงกำลังพูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ก่อนจะสำรวจตรวจมองฉู่หยิวเยว่อย่างละเอียด พลันขมวดคิ้วและถามอย่างเร่งรีบ

“หลิวเยว่ นี่เจ้าไปทำอันใดมา? เหตุใดจึงมีบาดแผลเต็มตัวเช่นนี้?”

มือทั้งสองข้างของฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น

และถ้ามองดีๆ ก็จะเห็นว่ามันเป็นแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน

อีกทั้งลมปราณที่เต็มไปด้วยไอโลหิตเข้มข้นบนตัวนางอีก

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง

“ท่านอาจารย์ อย่าเพิ่งสอบปากคำข้าเลย ไว้ข้าจะชี้แจ้งให้ท่านทราบเมื่อจบการประลอง แต่ท่านอย่าได้เป็นกังวลนัก เพราะแผลเหล่านี้เป็นเพียงบาดแผลภายนอก ใช้เวลาไม่นาน เดี๋ยวก็หาย”

ก่อนหน้านี้ นางอาบน้ำ ทายาที่บาดแผลตามร่างกาย และเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าที่สะอาดก่อนมาแล้ว

แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอวี้ฉือซงจะตาดีเช่นนี้

จริงๆ แล้วภายในของนางไม่ได้รับบาดเจ็บเลย มีเพียงบาดแผลลึกภายนอกเท่านั้นที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

แม้จะตกสะเก็ดแล้วบ้าง แต่มันก็ยังดูน่าตกใจอยู่ดี

โชคดีที่นางเปลี่ยนใส่ชุดสีดำ ซึ่งสามารถปกปิดบาดแผลได้เกือบทั้งหมด

เพราะถ้าโดนจับได้จริงๆ นางเองก็ไม่รู้จะอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างใด

อวี้ฉือซงไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด ในใจเขายังคงเป็นห่วงศิษย์ตัวน้อยอย่างมาก

ก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่บอกว่านางมีบางอย่างที่ต้องทำ ดังนั้นนางจึงต้องใช้เวลาอยู่บนยอดเขาเยี่ยนหลินพักใหญ่

แต่แค่ครึ่งวัน ก็ได้แผลมามากมายขนาดนี้แล้ว?

“ใครมันโผล่หัวมาหรือ ดูโล่งใจกันใหญ่เชียว”

จางหัวที่เห็นพวกของฉู่หลิวเยว่ปรากฏตัว ก็เอ่ยประชนประชันขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“สองศิษย์หน้าใหม่ผู้โด่งดังของชงซูเก๋อนี่เอง! ข้านึกว่าพวกเจ้าจะขี้ขลาดไม่กล้ามาแล้วเสียอีก แต่ทว่า…สุดท้ายแล้วถึงพวกเจ้าจะมา ก็คงไม่มีประโยชน์”

เนื่องจากยังเหลืออีกสี่การประลองรออยู่ ถึงจะให้ฉู่หลิวเยว่ลงหนึ่งรายกาย เชียงหว่านโจวอีกหนึ่งรายการ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะชนะทุกรายการ

อย่างใดผลที่ได้ก็ชัดเจนแล้ว

ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะไปมอง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“การประลองยังไม่สิ้นสุด ผู้นำจางไม่ควรพร่ำเพ้อให้มากความ มิเช่นนั้น หากหน้าแตกขึ้นมา มันจะดูไม่ดีเอาได้”

สีหน้าของจางหัวเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะพูดอย่างเหยียดหยาม

“ไม่เจอกันคราเดียว ดูเหมือนเจ้าจะอวดดีขึ้นมาก”

“ใครๆ ก็รู้ว่าโชคเข้าข้างข้าอยู่ตลอด ข้าเองก็ไม่อยากจะอวด”

ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มมุมปาก แววตาชัดนางดูมั่นคงชัดเจนและเย็นชา

จางหัว หัวเราะเยาะด้วยความโกรธา

“ดี! เช่นนั้นท่านผู้นำคนนี้ก็จักขอดูหน่อยแล้วกัน ว่าเจ้าจะอวดดีไปได้สักกี่น้ำ ถึงได้กล้าเบ่งใส่ข้าเช่นนี้!”

ทุกคนล้วนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่คาดคิดว่าฉู่หลิวเยว่จะร้ายขนาดนี้ แถมยังกล้าเผชิญหน้ากับจางหัวทันทีที่มาถึงอีก

อวี้ฉือซงขมวดคิ้ว พลันเอ่ยถามเสียงต่ำ

“หลิวเยว่ ร่างกายของเจ้าในตอนนี้…จะไหวหรือ? หากไม่ไหว ก็อย่าฝืนเด็ดขาด”

แม้ว่าการแข่งขันครั้งนี้จะมีความสำคัญ แต่ร่างกายของฉู่หลิวเยว่นั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

แค่เห็นบาดแผลของนาง เขาก็เป็นห่วงจะตายอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับการปล่อยให้นางไปเสี่ยง ด้วยสภาพร่ายกายเช่นนั้น

ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้ว

“ถ้าท่านกังวล เช่นนั้น ให้ข้าไปลงประลองประเภทปรมาจารย์ดีหรือไม่?”

เมื่อครู่นางได้ยินว่ายังขาดคนประลองเซียนหมอ และปรมาจารย์อยู่

ตอนนี้ชงซูเก๋อตามหลังอยู่สามคะแนน

ถ้าอยากเปลี่ยนจากแพ้เป็นชนะ ก็ต้องชนะให้ได้ทั้งสี่การประลอง

โดยไร้ซึ่งข้อต่อรองใดใด

อวี้ฉือซงชะงักไปนิด

“ปรมาจารย์รึ? เจ้าไม่ใช่แค่นักรบหรือเซียนหมอ…แต่เจ้าทำได้ทุกทักษะเลยหรือ!”

ฉู่หลิวเยว่อมยิ้มพลางหยักหน้าตอบ

เมื่อก่อนตอนที่นางเข้าร่วมการงานหมื่นทูร นางไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งในด้านนี้ออกมา จึงแทบไม่มีใครรู้เรื่องนี้ และในที่อยู่ในชงซูเก๋อ นางก็เอาแต่ฝึกฝนในตอนกลางวัน และขึ้นเขาไปลับกระบี่ในตอนกลางคืน ดังนั้นนางจึงไม่มีเวลาที่จะบอกเรื่องนี้กับพวกเขา

อวี้ฉือซงรู้สึกตกใจและในขณะเดียวกันก็รู้สึกผิด

หลิวเยว่เป็นลูกศิษย์ของเขา แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นปรมาจารย์ด้วย…เขาช่างไม่ใช่อาจารย์ที่มีดีเลย

ฉู่หลิวเยว่ที่เห็นสีหน้าของเขา ก็รีบเอ่ยด้วยความเข้าใจ

“ท่านอาจารย์ หากท่านเชื่อในตัวข้า เช่นนั้นก็ให้ข้าลงสนามเถิด”

อวี้ฉือซงครุ่นคิดอยู่นาน และในที่สุดก็พยักหน้ากลับไป

“ก็ได้”

จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ชี้ไปที่เชียงหว่านโจว

“เช่นนั้น…การประลองนักรบรอบที่แปด ให้เสี่ยวโจวลองลงแข่งดู ได้หรือไม่?”

อวี้ฉือซงไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด

“ข้าก็ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”

เชียงหว่านโจวเป็นนักรบระดับหกเพียงคนเดียวในฝั่งของพวกเขาที่ยังไม่ได้ลงแข่ง

ไม่มีใครเป็นตัวเลือกที่เหมาะไปกว่าเขาแล้ว

ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองเชียงหว่านโจว พลางเชิดคางขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“เสี่ยวโจว พวกเรามาแข่งกันไหม ว่าใครจะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะมาได้ก่อนกัน?”

เชียงหว่านโจวกระชับกระบี่เทพเมฆาสำริดในมือ แล้วมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ และพยักหน้าเล็กน้อย

“ตกลง”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *