สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 444 ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันแล้ว

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 444 ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 444 ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันแล้ว

บทที่ 444 ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันแล้ว

เมื่อเอ่ยชื่อ ‘ฉู่เหยี่ยน’ จมูกของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ก็ยู่ขึ้น แววตาปรากฏความไม่ชอบใจเล็กน้อย

‘ฉู่เหยี่ยน’ ผู้นี้ชอบมาหานางจริง ๆ มิหนำซ้ำ การมาของเขายังส่งผลกระทบกับงานของนางไม่น้อย หากเขาไม่ทำตัวติดหนึบเช่นนี้ คงพอเป็นสหายที่ดีต่อกันได้

“ไม่ใช่ เจ้าออกไปดูแล้วก็จะรู้เอง” ฮั่วอวิ๋นซิ่วเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน

ลู่จื่ออวิ๋นสูงขึ้นอีกแล้ว

แม่นางน้อยไม่รู้ว่าเติบโตมาอย่างไร ริมฝีปากของนางแดงก่ำ ฟันขาว ดวงตามีชีวิตชีวาเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง บุปผาที่งามที่สุดในใต้หล้าก็ยังไม่อาจเทียบรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ของนางได้แม้เพียงนิด

เติบใหญ่ขึ้นมาก!

เติบโตขึ้นมาอย่างนี้จะดีหรือ?

ฮั่วอวิ๋นซิ่วรู้สึกกังวลลึก ๆ

เมื่อลู่จื่ออวิ๋นออกมาก็เห็นสองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หน้าประตูทันที

“ท่านพ่อ!” ดวงตาของนางเบิกกว้าง โผเขาไปหาลู่อี้ด้วยความประหลาดใจ

ลู่อี้กางแขนออกกว้างรับเจ้าตัวน้อยที่พุ่งเข้ามาในอ้อมกอด

ไม่สิ ไม่ควรเรียกว่าเจ้าตัวน้อยแล้ว

แม่นางน้อยสูงขึ้นมาก เค้าโครงหน้าตาของนางก็เริ่มเด่นชัด

“ท่านพ่อของเจ้าได้รับบาดเจ็บ” มู่ซืออวี่ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยเตือน “ระวังหน่อย อย่าได้ทำให้แผลเปิด”

“ท่านพ่อ เหตุใดจึงบาดเจ็บได้ล่ะเจ้าคะ?” ลู่จื่ออวิ๋นเป็นกังวล “คงไม่เป็นไรมากกระมัง? ร้ายแรงหรือไม่?”

“ไม่ร้ายแรง” ลู่อี้ลูบผมลูกสาวเบา ๆ “เจ้ายุ่งอยู่หรือไม่? อีกประเดี๋ยวพวกเราจะมารับ”

“ไม่ยุ่งเจ้าค่ะ ข้าจะเข้าไปขอตัวลากับอาจารย์” ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งเข้าไปในร้านสาวทอผ้าอย่างเบิกบานใจ วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาบอกลู่อี้ “ท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งไปนะ ไม่นานข้าก็ออกมาแล้ว”

ลู่อี้พยักหน้า

มู่ซืออวี่ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยด้วยท่าทีปวดใจ “ท่านพ่อคนนี้กลับมาแล้ว ข้าที่เป็นแม่ก็ไม่ดีเท่า ดูนางสิ เมื่อครู่นางไม่เรียกข้าสักคำ ในสายตาล้วนมีแต่ท่าน”

“เป็นข้าที่ละอายใจต่อเด็ก ๆ” ลู่อี้เอ่ย “ปกติข้ามักจะยุ่งอยู่กับงาน ล้วนเป็นเจ้าที่เลี้ยงดูลูก ๆ ครั้งนี้ข้าไม่ได้แม้แต่จะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกด้วยซ้ำ ข้าติดค้างเจ้ามากมายนัก”

“หยุดเถอะ” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ท่านอย่ามาคิดว่าใครติดค้างใครกับข้า หากแบ่งแยกชัดเจนเช่นนั้น ข้าหาสหายไม่ดีกว่าหาสามีหรือ”

ลู่อี้หัวเราะ “เจ้านี่นะ!”

“นี่คือความจริง” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้ายังรอเป็นเก้ามิ่งฮูหยินขั้นหนึ่งอยู่นะ หากท่านไม่ทำงานหนัก แล้วข้าจะเป็นได้หรือ? ไหนจะลูกสาวของท่านอีก หากท่านไม่ใหญ่โตมากพอ ท่านจะปกป้องนางได้อย่างไร?”

ลู่อี้เงียบไป

เขาเพิ่งพบว่าลูกสาวของเขายิ่งโตขึ้นก็ยิ่งงดงาม

แน่นอนว่าตอนนี้นางยังน่ารักใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ภายหน้าเล่า? หากโตขึ้นด้วยรูปโฉมเช่นนี้ เกรงว่าจะงามล่มเมืองแน่ ๆ

“ลู่อี้ ตอนนี้ท่านทำได้ดีมาก ลูก ๆ เองก็นับถือท่านมากเช่นกัน ดังนั้นอย่าได้คิดมากถึงเพียงนั้น ไม่ว่าท่านจะทำอะไร พวกเราจะอยู่เคียงข้างและคอยเป็นกำลังใจให้ท่านเสมอ”

“เรียกชื่อข้าอีกแล้ว” ลู่อี้โอบรอบไหล่นาง เขาเขี่ยจมูกภรรยาเบา ๆ “ข้าไม่ได้กลับมานานเกินไป เจ้าถึงกล้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้ ใช่หรือไม่?”

“ข้าไม่ได้เพิ่งทำตามอำเภอใจวันสองวัน เกี่ยวอะไรกับการที่ท่านกลับหรือไม่กลับมาเล่า?” มู่ซืออวี่เลิกคิ้วขึ้น

“ใช่สิ ตอนนี้เจ้าเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าสามอย่างของเมืองฮู่เป่ยแล้ว”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ฮูหยินลู่พลันปวดหัวตุ้บ ๆ ขึ้นมา

ขณะเดียวกันลู่จื่ออวิ๋นก็ถือห่อสัมภาระเดินออกมาพอดี

“ข้าบอกท่านอาจารย์แล้ว ท่านอาจารย์อนุญาตให้ข้าพักผ่อนอยู่ที่บ้านสองสามวัน ให้ใช้เวลากับท่านพ่อ”

“นี่อะไร?”

“นี่คือเสื้อผ้าที่ข้าทำให้ท่านพ่อ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เดิมทีจะให้คนส่งจดหมายส่งมันไปยังเมืองหลวง แต่ท่านพ่อกลับมาแล้ว แน่นอนว่าข้าต้องนำมาส่งให้ท่านเองกับมือ”

“ไม่มีของข้าหรือ?” มู่ซืออวี่จงใจแกล้ง

“มีสิ! เสื้อผ้าของท่านแม่สวยมากนะ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “แต่งานเย็บปักต้องใช้เวลา ดังนั้นจึงอยู่ระหว่างตัดเย็บ”

“พวกเราไปรับฉาวอวี่และน้องหานกันเถอะ!” มู่ซืออวี่เอ่ย “คืนนี้มาทานอาหารฉลองที่ได้กลับมารวมตัวกันดีกว่า”

ทั้งลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานล้วนร่ำเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาอย่างขยันขันแข็ง สองสามีภรรยาไปทักทายท่านอาจารย์เหวินแล้วจึงรับพวกเขากลับมา ระหว่างนั้นก็มีใครบางคนติดสอยห้อยตามมาด้วยหนึ่งคน

“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เมืองเตียนอวี้กำลังจะจัดงานชุมนุมร้อยบุปผา พวกเราไปดูกันเถอะ!” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ย

“ข้าไม่ไป” ลู่จื่ออวิ๋นถามต่อ “ท่านไม่ไปเรียนหรือ?”

“การเล่าเรียนต้องอาศัยระยะเวลายาวนาน อีกทั้งมันคงไม่วิ่งหนีข้าไปไหน แต่งานชุมนุมร้อยบุปผาไม่เหมือนกัน” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ย “เจ้าปักดอกไม้มามากมาย ทว่าเจ้าเคยเห็นพวกมันสักกี่ชนิด? หากเจ้าเห็นมันด้วยตาของตนเอง จะต้องปักได้สมจริงมากขึ้นเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงเป็นแค่การวางแผนรบบนกระดาษ*[1] ไม่มีทางพบแก่นสารที่แท้จริง”

“องค์ชายห้ากล่าวได้ไม่ผิด” ลู่อี้เอ่ย

“ใต้เท้าลู่ อยู่ข้างนอกก็อย่าเรียกข้าว่าองค์ชายห้าเลย…” ฟ่านเหยี่ยนยิ้มแห้ง ๆ “ท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวเหยี่ยนเถอะ”

“นี่ไม่เหมาะสม” ลู่อี้เอ่ยเบา ๆ

“เช่นนั้นเรียกข้า… เรียกชื่อข้าก็ได้ เรียกข้าว่าฉู่เหยี่ยน” ฟ่านเหยี่ยนประกบมือเข้าด้วยกัน “ขอร้องล่ะ ข้าอยู่ที่นี่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น”

“เช่นนั้น ข้าจะเรียกท่านคุณชายเหยี่ยน” ลู่อี้เอ่ย “คุณชายกล่าวได้ไม่ผิด อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าอยู่แต่ในร้านสาวทอผ้าทำงานเย็บปัก ไม่เคยเห็นความงามที่แท้จริง งานเย็บปักจึงขาดความมีชีวิตชีวา อีกสองสามวันพ่อจะพาเจ้าไปดูงานชุมนุมร้อยบุปผา ถึงตอนนั้นพวกเราจะไปด้วยกันกับแม่ของเจ้า หากพี่ชายและท่านน้าของเจ้าว่าง พวกเราทุกคนก็จะไปด้วยกัน กว่าเราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ เหตุใดไม่ออกไปเที่ยวเล่นให้สนุกเล่า?”

“ได้เลย!” ลู่จื่ออวิ๋นรับปาก “มีท่านพ่อกับท่านแม่ไปด้วย ไม่ว่าที่ใดข้าล้วนไปได้ทั้งสิ้น”

“ข้าก็จะไปเช่นกัน” ฟ่านเหยี่ยนรีบกล่าว “ข้าเป็นคนแนะนำ อย่าได้คิดจะทิ้งข้าไว้ข้างหลัง”

ลู่ฉาวอวี่เหลือบมองฟ่านเหยี่ยนเงียบ ๆ

เมื่อก่อนเวลาเห็นฟ่านเหยี่ยนกระตือรือร้นเรื่องเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เขาเพียงคิดว่าอีกฝ่ายคงชอบ ‘น้องสาว’ คนนี้เป็นพิเศษ แต่ต่อให้เขาจะชอบขนาดไหน ทว่าได้รับการตอบรับอย่างเย็นชาจากอวิ๋นเอ๋อร์แล้วยังตามติดนางได้อีกนี่ก็เกินไปหน่อยหรือไม่ เขาป่วยไปแล้วหรือไร?

งานฉลองการกลับมารวมตัวกันของครอบครัวในตอนเย็น ลู่อี้เชิญได้ท่านอาจารย์ของเขา ไป๋เหวยคังมารับประทานอาหารร่วมกัน เวินเหวินซงก็เป็นหนึ่งในแขก

มู่ซืออวี่เข้าครัวด้วยตนเอง

ถงซื่อที่เข้ามาช่วยในครัวเอ่ยถามลูกสาวว่า “ครั้งนี้ลูกเขยจะอยู่นานเพียงใด?”

“เขาได้รับบาดเจ็บ หากหายดีก็ต้องตามไป” มู่ซืออวี่ตอบ “ท่านแม่ หลังจากผ่านปีนี้ไป รอให้ชิงเอ๋อร์โตขึ้นอีกหน่อย ข้าจะพาเด็ก ๆ เข้าไปอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ท่านและท่านอาจู…”

“ข้าและท่านอาจูของเจ้าปรึกษากันแล้ว” ถงซื่อเอ่ย “พวกเราอายุมากแล้ว ไม่อยากสร้างปัญหา เมืองฮู่เป่ยเป็นที่ที่พวกเราคุ้นเคย และที่นี่ก็มีคนไข้หลายคนที่เชื่อใจท่านหมอจู พวกเราสองคนจึงอยากอยู่ที่นี่ น้องหานของเจ้าภายหน้าก็ยังต้องสอบขุนนางสร้างเกียรติคุณ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาจะสอบผ่านหรือไม่ หากเขาสอบไม่ผ่าน ภายหน้าก็ต้องไปพึ่งพาพวกเจ้าที่เมืองหลวง หวังว่าพวกเจ้าคงไม่ละเลยเขา”

“แน่นอน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกท่าน หากอยากมาเมืองหลวงเมื่อใดก็เพียงแค่เขียนจดหมายมาหา เราจะมารับพวกท่าน อีกอย่าง หากที่นี่มีเรื่องอะไรโปรดจำไว้ว่าต้องเขียนจดหมายบอกพวกเราด้วย” มู่ซืออวี่เอ่ย “พวกท่านอยู่ที่นี่ก็ดี ข้ายังมีทรัพย์สินอยู่ที่นี่อีกมากมาย มีคนคอยสอดส่องเช่นนี้ ข้าก็วางใจได้สักหน่อย”

“หลอกข้าให้น้อย ๆ หน่อย” ถงซื่อเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ? เจ้าให้คุณหนูเจิ้งดูแลทรัพย์สินเหล่านั้นหมดแล้ว นางมีวิธีที่จะติดต่อกับเจ้า ต้องการพวกเราที่ใดกัน?”

เวลานี้เจิ้งซูอวี้กำลังหยอกล้อเสี่ยวชิงเอ๋อร์

เสี่ยวชิงเอ๋อร์สวมใส่เสื้อลายเสือและหมวกลายเสือ เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักคนหนึ่ง แต่พวกเขากลับทำให้นางกลายเป็นของเล่นตัวเล็ก ๆ ได้

“นี่คือเสื้อผ้าอะไรกัน?” ลู่ฉาวอวี่แสดงสีหน้ารังเกียจ

ลู่จื่ออวิ๋นที่ยืนอยู่หน้าเปลรู้สึกสนุกเป็นอย่างยิ่ง “สวยมากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านน้าเจิ้ง”

[1] วางแผนรบบนกระดาษ หมายถึง การศึกษาแค่เพียงทฤษฎีที่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด