อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด 268 คนที่รัก
ตอนที่ 268 คนที่รัก
“นานแล้ว” เมื่อมองดูปากที่อ้าค้างของพวกเขา จิ่งเป่ยเฉินจึงค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากหูของอันโหรว “ไม่ตกใจใช่ไหม?”
“ฉันดูเป็นคนตกใจอะไรง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” อันโหรวเหลือบมองไปที่หมินลี่ที่ตอนนี้เขากำลังขมวดคิ้วแน่น “แต่ว่าหลังจากนี้คุณช่วยเบาเสียงลงหน่อยสิ ถ้าเกิดทำให้คนที่รักของคุณตกใจขึ้นมาจะทำยังไง?”
“ผมไม่มีคนที่รักสักหน่อย!” แน่นอนว่าหมินลี่เอ่ยตอบอย่างที่ทุกคนเข้าใจกัน
อันโหรวถึงกับพูดไม่ออก ดูท่าคนคนนี้ไม่น่าจะมียาไหนรักษาได้แล้ว
ถังซือเถียนมองท่าทีของจิ่งเป่ยเฉินกับอันโหรว ภายในใจของเธอรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไร ต่อให้อันอีหานจะเป็นอันโหรว แต่พี่เฉินยอมรับได้จริง ๆ เหรอที่เธอมีลูกสองคนแล้วแบบนั้น
“เดี๋ยวภายหลังก็มีเองแหละ เพราะงั้นคุณต้องรักษาบุคลิกของตัวเองไว้ให้ดีที่สุด ใครจะรู้ว่าความรักจะเข้ามาในชีวิตของคุณตอนไหน!” เธอคิดอยากจะแนะนำใครสักคน เพราะเธอเองก็หวั่น ๆ ว่าหูตัวเองจะหนวกขึ้นมาสักวัน
หมินลี่และจิ่งเป่ยเฉินมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หลังจากนี้พวกเขาคงต้องได้พบกันอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาแบบนี้จะให้จิ่งเป่ยเฉินมาปิดหูของเธอตลอดก็ไม่ใช่เรื่อง
“ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่ผมไม่เห็นจะรู้สึกเลยว่าเสียงของตัวเองดังเกินไป!” หมินลี่เอ่ยพึมพำอยู่ในลำคอ ก่อนจะกวาดสายตามองไปที่คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ
เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าจิ่งเป่ยเฉินขมวดคิ้วขึ้น ปกติแล้วจิ่งเป่ยเฉินมักจะอดทนเก่งมากที่สุด และการที่เขาเป็นแบบนี้ก็บ่งบอกได้เลยว่าเสียงของเขานั้นโคตรจะดังเลยสินะ!
“พี่สะใภ้ พี่อย่าไปสนใจเขาเลย ปล่อยให้เขามีชีวิตโสดไปแบบนั้นแหละ!” ฉีเซิงเทียนยกแก้วไวน์ที่อยู่ในมือขึ้นดื่มพลางกวาดตามองไปยังหมินลี่
“ทำไมนายถึงได้มีสิทธิ์มาบอกฉันแบบนั้นกัน? ทั้ง ๆ ที่นายก็พอ ๆ กันกับฉันนั่นแหละ” หมินลี่พูดตอบกลับโดยทันที
“ฉันอยู่กับพี่เฉินมาตั้งนาน ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตลอด!” ฉีเซิงเทียนพูดจบก็รู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ พี่สะใภ้อยู่ที่นี่ พูดกับพี่เฉินแบบนี้ ไม่ว่ายังไงก็ดูไม่ค่อยมีเหตุผล ทำไมต้องมาโสดเพราะอยู่กับเขาด้วยนะ
เขาจึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ฉันอยู่กับถังซั่ว ยังไงมันก็ต้องโสดอยู่แล้วต่างหาก”
ถังซั่วยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดขึ้น “แบบนี้ก็ดีแล้ว”
“ดีก็……” คำสุดท้ายนั้นถูกฉีเซิงเทียนเก็บไว้ด้วยแก้วไวน์ที่เทเข้าปาก
อันโหรวมองไปที่อาหารตรงหน้า เธอรู้สึกว่าอาหารบนโต๊ะนี้เป็นเธอที่กินเยอะที่สุดเลยก็ว่าได้ เธอเลยเข้าใกล้จิ่งเป่ยเฉินอีกครั้งและเอ่ยถามว่า “นายกินอิ่มหรือยัง?”
“ไปกันเถอะ!” จิ่งเป่ยเฉินลุกขึ้นยืน พร้อมกับก้มหน้ามองตัวเธอ
อันโหรวเข้าใจความหมายของเขาทันที ก่อนจะลุกขึ้นและมองไปที่พวกเขา “พวกนายกินกันตามสบายเลยนะ พวกเราขอตัวก่อน พอดีที่บ้านยังมีเด็ก ๆ รออยู่”
“พี่เฉิน พี่อยู่กับพวกเราก่อนสิ! เด็กไม่…….” ฉีเซิงเทียนรีบปิดปากหมินลี่ทันที ก่อนจะยิ้มให้จิ่งเป่ยเฉินและอันโหรว “พี่เฉิน พี่สะใภ้ กลับดี ๆ นะ!”
เมื่อมองพวกเขาเดินออกไป ฉีเซิงเทียนจึงปล่อยมือที่ปิดปากเขาอยู่ “นายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือไง!”
“ฉันก็คิดอยากถามนายอยู่เหมือนกันว่าจะปิดปากฉันเพื่อ? ฉันแค่คิดจะพูดว่าไม่ใช่ลูกของพี่เฉินสักหน่อย เขาไม่เห็นจำเป็นต้องกลับไปด้วยเลยนี่! พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันนานแล้วนะ พวกเขากลับกันเร็วเกินไปแล้ว!” หมินลี่ถลึงตาใส่ฉีเซิงเทียน เขาแทบไม่ได้มีโอกาสได้พูดคำดี ๆ ออกไปเลย
ถังซือเถียนเองก็มองไปที่ฉีเซิงเทียนและพูดว่า “ใช่ ฉันเห็นด้วย ทำไมไม่ปล่อยให้เขาพูดไปเลย ฉันเองก็อยากรู้ว่าพี่เฉินจะมีปฏิกิริยายังไง เด็กที่ไม่ใช่ลูกของพี่เฉิน เด็กที่เป็นลูกครึ่งแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกของคนอื่นที่ต่างประเทศ พี่เฉินจะไม่รังเกียจอะไรหน่อยเลยเหรอ?”
“พวกนายจะไปเข้าใจอะไร? นี่เขาเรียกว่ารักแท้! ยิ่งไปกว่านั้น ตามที่พวกนายพูดมา ผู้หญิงที่หย่าร้าง แล้วมีลูกติดมาด้วยจะยอมรับไม่ได้เลยเหรอ?” ฉีเซิงเทียนมองดูพวกเขาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาอย่างสิ้นหวัง “เข้าใจบ้างหรือเปล่าอะไรคือลูกติดของหญิงม่าย เด็กคือทุกอย่างของพวกเขา อย่าพูดอะไรไร้สาระอีก!”
“พี่ชาย ฟังดูเหมือนมีประสบการณ์มากขนาดนั้น! พูดมาสิ! เล่นสนุกกับหญิงม่ายมาแล้วกี่คน? พวกเขาล้วนแล้วเป็นยังไง ง่ายดายบ้างไหม เป็นคู่ซ้อมที่ดีเลยสิ!” หมินลี่มองเขาก่อนจะยิ้มออกมา
“เปล่า ฉันไม่ได้เล่นอะไรทั้งนั้น นายอย่ามามองฉันแบบนี้! ฉันโสดแบบนี้ ดูแลตัวเองนั่นแหละดีแล้ว” อีกอย่างตอนนี้เขาก็มีเป้าหมายในใจอยู่แล้วด้วย
ยังไงก็ต้องควักสมองของจิ่งเป่ยเฉินมาไว้ในมือให้ได้ การที่เธอทำแบบนั้นมันน่าเกลียดไปจริง ๆ ส่งของขวัญให้และก็เอากลับไปก็ช่าง แต่ว่านี่ถึงขนาดขังเขาไว้ด้านนอกประตูไม่ให้เข้าไปอีก
“ฉันไม่เชื่อหรอกนะ!” หมินลี่มองเขา ใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยคำพูดสามคำ ‘ไม่เชื่อหรอก’
“ฉันเองก็ไม่เชื่อ!” ถังซือเถียนพูดแทรกขึ้น
ฉีเซิงเทียนถลึงตาใส่เธอ ก่อนจะพูดจาอย่างน่าเกลียดไปว่า “ยังไงดี คืนนี้อยากจะลองกับพี่ชายดูหน่อยไหม?”
“ไม่มีทาง! ถ้าให้อยู่กับนาย ฉันขอตายดีกว่า!” ถังซือเถียนส่ายหน้าทันที พลางมองเขาด้วยสีหน้าที่ระวังตัว
“น่าเบื่อชะมัด ฉันเองก็ไม่สนใจเธอหรอก” ฉีเซิงเทียนส่ายหน้า เขาไม่สนใจผู้หญิงที่คุ้นเคยแบบนี้หรอก แต่สำหรับหลินจือเซี๋ยวแล้ว เป็นข้อยกเว้น!
เป็นข้อยกเว้นที่น่าเกลียดมาก ๆ
ทางด้านหนึ่ง อันโหรวกับจิ่งเป่ยเฉินที่ออกมาจากห้อง ยังไม่ทันได้เดินออกมาจากพ้นตัวอาคารก็ได้เจอกับโอวหยางลี่อีกครั้ง
ข้างนอกตอนนี้หิมะยังคงตกอยู่ ดูเหมือนเขาจะยืนรอที่ประตูมาค่อนข้างนานแล้ว ไหล่ของเขาล้วนเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ ริมฝีปากของเขาก็แดงขึ้นเล็กน้อยด้วยไอเย็น
เมื่อจิ่งเป่ยเฉินเห็นเขาก็จับเอวของอันโหรวและดึงให้เข้ามาใกล้โดยสัญชาตญาณ ก่อนจะพูดว่า “ประธานโอวหยางมายืนอยู่ที่หน้าประตู ไม่มีเงินเข้าไปพักข้างในงั้นเหรอ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โอวหยางกรุ๊ปไม่ค่อยชอบควักเงินมาใช้จ่ายเรื่องพวกนี้กัน หรือจะให้ผมเลี้ยงคุณดีไหม?”
“โหรวโหรว เธอไปกับฉัน!” โอวหยางลี่เหลือบสายตามองไปที่จิ่งเป่ยเฉิน ก่อนที่สายตาจะหยุดที่ตัวของอันโหรว เขามาที่นี่ไม่ได้เพื่อมาหาจิ่งเป่ยเฉิน แต่มาหาโหรวโหรวต่างหาก
“คุณไปเถอะ พวกเราเองก็จะไปด้วยเหมือนกัน แต่ว่าฉันเชื่อว่าเส้นทางของพวกเราสองคนนั้นไม่สามารถเดินไปในทางเดียวกันได้อีกแล้ว” ก่อนหน้านั้นเธอค่อนข้างมีความสุข แต่เมื่อเห็นหน้าเขา รอยยิ้มก็หดหายไปจนแทบไม่ปรากฏขึ้นอีก
“โหรวโหรว!” โอวหยางลี่ก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางหุนหัน เขายืนอยู่ที่ประตูมาเป็นเวลานาน ร่างกายของเขาแข็งทื่อเพราะความหนาว แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถหยุดความหุนหันที่เขามีได้เลย
“โหรวโหรว อย่าโกรธเลย ห้าปีก่อนหน้านั้นฉันมีคำอธิบายที่มีเหตุผลให้เธอเข้าใจอยู่นะ!”
“อธิบายเหรอ? ฉันไม่อยากได้คำอธิบายให้เข้าใจหรอก นอกเสียจากตระกูลอันจะกลับมาที่เมือง A อีกครั้ง และพ่อของฉันก็ต้องมีชีวิตอยู่ ถ้านายทำไม่ได้ก็อย่าโผล่หน้ามาหาฉันอีก” ความรู้สึกของพวกเขาเมื่อห้าปีก่อนมันจบไปตั้งนานแล้ว
“ตระกูลอันยังพอได้ ถ้าหากเธอมาอยู่ข้างกายฉัน โอวหยางกรุ๊ปทั้งหมดจะเป็นของเธอ เธอคิดอยากจะเปลี่ยนเป็นตระกูลอันก็ยังได้ ส่วนเรื่องพ่อของเธอ คนตายไปแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจฟื้นกลับคืนมาได้ เธอน่าจะเข้าใจนะ”
“นั่นคือพ่อของฉันนะ ช่วยระวังคำพูดหน่อย!” อันโหรวพูดอย่างโมโห เขายังพูดจาไร้ยางอายแบบนี้ได้อยู่อีกเหรอ?
ถ้ารู้ว่าจะมีวันนี้ เธอคงเข้าใจมันตั้งแต่แรกแล้วจริง ๆ
“ประธานโอวหยางชอบพูดล้อเล่นจังนะ มีสกุลจิ่งอยู่ โหรวโหรวจะต้องการกลุ่มโอวหยางของคุณทำไมกัน? ไม่เห็นจำเป็นเลยสักนิด” จิ่งเป่ยเฉินยิ้มอย่างเย็นชา ดวงตาสีดำสนิทกำลังจับจ้องมองไปที่ตัวเขา “ประธานโอวหยางเรื่องการไล่ตามอะไรเก่า ๆ นี่นับว่าไม่เลวเลยจริง ๆ นะ ถ้าหากกลุ่มโอวหยางล้มละลายขึ้นมาก็เตรียมตัวทำงานเป็นปาปารัสซี่ได้เลย อาชีพนี้น่าจะพอช่วยเลี้ยงคุณได้บ้าง!’”
ทันทีที่อันโหรวได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้าที่บูดบึ้งก็ค่อย ๆ คลี่รอยยิ้มออกมา ก่อนจะเงยหน้ามองเขาและพูดว่า “เป่ยเฉิน พวกเราไปกันเถอะ! ง่วงแล้ว ฉันอยากนอนแล้ว”
“ไม่อยากเดินไปแล้วสินะ?” จิ่งเป่ยเฉินค่อย ๆ โน้มตัวลงเล็กน้อยและอุ้มเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน “ประธานโอวหยาง พวกเราขอไม่ไปกับคุณแล้วละกัน ถ้าหากคุณคิดอยากจะยืนตากลมหนาว ๆ อยู่ที่นี่ต่อ ผมคงอยู่แบบคุณไม่ได้ ขอตัวก่อนก็แล้วกัน”
โอวหยางลี่มองดูพวกเขาเดินออกไป เขากำหมัดขึ้นก่อนจะใช้มือขวาทุบไปที่ประตูกระจกด้านหลัง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ!
โหรวโหรว เธออยู่กับมันเพราะว่าบริษัทจิ่งแข็งแกร่งและมีอำนาจเหนือกว่าบริษัทโอวหยางอย่างนั้นเหรอ?
บริษัทจิ่งอะไรก็ช่างเถอะ แต่เดิมเขาไม่เคยคิดจะสนใจมันเลยด้วยซ้ำ เขาแค่คิดอยากจะดูเฉย ๆ แต่ถ้าหากเมื่อใดที่พวกเขาสู้กันละก็ ไม่มีใครรู้หรอกว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะและฝ่ายใดจะเป็นผู้แพ้!
Comments