ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 693 ลอบโจมตี

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 693 ลอบโจมตี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 693 ลอบโจมตี

เมื่อกวาดตามองให้ทั่ว ก็จะเห็นว่าลำธารสายนี้ใสสะอาดมาก

แต่ถ้าเขยิบเข้าไปมองใกล้ๆ อย่างละเอียดแล้วล่ะก็ จะสามารถมองเห็นลำแสงสีรุ้งที่ส่องประกายอยู่ในน้ำ

เสมือนมีคนโรยผลึกสีรุ้งนับไม่ถ้วนลงไป ความแวววาวนั้นเจิดจรัสและงดงามหาที่เปรียบมิได้!

เมื่อเทียบกับฉากเมื่อครู่แล้ว ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงราวกับคนละโลก

ฉู่หลิวเยว่ชำเลืองมองถวนจื่อที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง

ถวนจื่อยืดอุ้งเท้าของมันแล้วชี้ไปข้างหน้า พลางสลับกลับมามองนางอย่างกระตือรือร้น

“เจ้าอยากให้พวกข้าไปที่ลำธารหรือ?”

ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างลังเล

ถวนจื่อพยักหน้าอย่างลนลาน

จากนั้นฉู่หลิวเยว่จึงหันไปมองลำธารดังกล่าว

มันเป็นลำธารที่แคบมาก และฉู่หลิวเยว่สามารถก้าวข้ามมันได้ ด้วยการก้าวกระโดดเพียงครั้งเดียว

ดูเหมือนว่าสายน้ำเหล่านี้จะไหลออกมาจากส่วนลึกของป่า และไหลไปทางทิศเดียวกัน

ฉู่หลิวเยว่มองตามกระแสน้ำ พลันหรี่ตา

แหล่งที่มาของธารน้ำสายนี้ น่าจะเป็น…

กรร!

เสียงคำรามอันน่าตกใจดังขึ้นอีกครั้ง!

มันดังกระแทกหูเต็มๆ!

ซึ่งเมื่อเทียบกับเสียงคำรามสองสามครั้งก่อนหน้านี้ คราวนี้มันดังกังวานชัดเจนกว่ามาก

พูดอีกอย่างก็คือ…พวกเขาเข้าใกล้สัตว์อสูรระดับเก้าที่กำลังทะลวงขั้นพลังปราณแล้ว!

และเสียงนี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่มั่นใจว่า ธารน้ำสายนี้ไหลมาจากทิศทางที่มีสัตว์อสูรสถิตอยู่อย่างแน่นอน!

แม้แต่สีสันในลำธารก็เกี่ยวข้องกับสัตว์อสูรตัวนั้นด้วย!

ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้า

เชียงหว่านโจวและเหล่าพวกพ้องจึงเดินตามนางไปเงียบๆ

และกลายเป็นว่าฉู่หลิวเยว่ได้กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มโดยไม่รู้ตัว

ราวกับว่าขอแค่มีนางอยู่ พวกเขาย่อมขจัดได้ทุกปัญหา

บนโลกใบนี้มักจะมีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ที่สามารถกลายเป็นคนที่เจิดจรัสและสำคัญที่สุดได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม

และฉู่หลิวเยว่ก็คือคนคนนั้น

แม้ว่าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายก็ตาม แต่พวกเขาก็ยินยอมพร้อมใจตามนางไป

กลุ่มคนเดินเลียบไปตามลำธาร และค่อยๆ เดินหายเข้าไปในส่วนลึกของผืนป่า

ทว่ายิ่งเดินเข้าไปมากเท่าไหร่ กระแสน้ำก็ยิ่งไหลแรงมากขึ้นเท่านั้น และแสงสีสันสดใสภายในก็เข้มข้นขึ้นด้วย

สีของลำธารเปลี่ยนไปทีละน้อย

ฉู่หลิวเยว่ย้ำเท้าต่อไป พลางจ้องมองธารน้ำแล้วคิดในใจว่า

พลังที่แฝงอยู่ในลำธารนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นทำให้นางอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เหนือลำธารนี้มากขึ้น

แต่ตลอดทางที่เดินมานั้นช่างเงียบสงัด

หากตั้งใจฟังให้ดี ก็จะได้ยินเพียงเสียงกรอบแกรบของฝีเท้ามนุษย์อย่างพวกเขา ที่กำลังเดินผ่านป่า เสียงใบไม้ พัดปลิว และเสียงน้ำไหลเท่านั้น

นอกนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใด

“ไหนว่ารองแม่ทัพมู่บอกว่ามีสัตว์อสูรระดับสูงอาศัยอยู่ที่นี่มากมาย? ไฉนเดินมาตั้งนานแล้ว พวกเรากลับยังไม่เห็นเลยสักตัว?”

ความกลัวในใจของเย่หรานหร่านค่อยๆ หายไป และกลายเป็นความสงสัยที่เข้ามาแทนที่

“อย่าว่าแต่พวกระดับสูงเลย แค่ระดับลูกกระจ๊อก ข้ายังไม่เห็นแม้แต่เงา”

ความจริงแล้วฉู่หลิวเยว่เองก็รู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน

สมัยก่อนตอนที่นางเข้ามาในป่าหมอกมายา มีสัตว์อสูรนานาชนิดอาศัยอยู่อย่างล้นหลาม

แม้ในตอนกลางคืนที่อายพิศม์แผ่กระจายไปทั่ว ก็ยังได้ยินเสียงกรอบแกรบของพวกมันดังอยู่เป็นระลอก

ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณการมีตัวตนของพวกสัตว์อสูร

ทว่าปัจจุบัน ผืนป่าแห่งนี้กลับเงียบผิดปกติมาก

และถึงจะเป็นเพราะการทะลวงพลังปราณของสัตว์อสูรระดับเก้าจริงๆ แต่มันก็ควรจะส่งผลให้สัตว์อสูรที่เหลือหนีหายเงียบไปทุกตัวเช่นนี้

ถ้าพูดตรงๆ เลยก็คือ ความเงียบนั้นเท่ากับ…ความตาย

ที่แห่งนี้แทบจะไม่มีลมปราณของสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่แล้ว

…เว้นเสียแต่ลำธารสายนั้น

แต่ในลำธารนั้นไม่มีอย่างอื่นปะปนอยู่ นอกเสียจากสีรุ้งที่เข้มข้นกว่าเดิม

“บางทีเดินไปเรื่อยๆ ก็อาจจะเจอสักตัว”

ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับ

เมื่อสัตว์อสูรระดับสูงทำการทะลวงพลังปราณ พวกมันจะสร้างอาณาเขตบีบบังคับ ที่ทำให้สัตว์อสูรระดับล่างที่อยู่ภายใต้รัศมีของลมปราณกดดันนั่น รู้สึกถึงภัยคุกคามร้ายแรง จนจำต้องล่าถอย

ทว่ายามที่สัตว์อสูรระดับเก้ากลายสภาพเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้น จะมีลมปราณที่ต่างกัน

แม้ว่าการบีบบังคับจะน่าสะพรึงกลัว แต่ลมปราณของอสูรศักดิ์สิทธิ์เลือดบริสุทธิ์นั้น มีแรงดึงดูดโดยธรรมชาติต่อสัตว์อสูรตัวอื่น

ซึ่งวิถีเกี่ยวกับลำดับชั้นที่ฝังรากลึกอยู่ในกระดูกนั้น ทำให้พวกมันต่างเคารพและความชื่นชมอสูรศักดิ์สิทธิ์

และสิ่งนี้ก็ผลักดันให้พวกมันอดทนต่อการบีบบังคับที่น่าอัศจรรย์นั่น แล้วหันไปเคารพบูชาอสูรศักดิ์สิทธิ์ด้วย

สัตว์อสูรระดับเก้าสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่เช่นนี้ เมื่อพูดตามหลักเหตุผลแล้ว น่าจะมีสัตว์อสูรจำนวนมากไปที่นั่น

เย่หรานหร่านพยักหน้าอย่างแข็งขัน

หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศโดยรอบ ดูเหมือนจะหนาแน่นและหนักขึ้นมาก

ทุกย่างก้าวที่ก้าวไปข้างหน้า ล้วนใช้พลังงานมากกว่าเดิม

ราวกับมีภูเขาขนาดยักษ์ทับพวกเข้าไว้จนแทบหายใจไม่ออก

ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย

สิ่งนี้เป็นผลมาจากการทะลวงขั้นพลังปราณของสัตว์อสูรระดับเก้าแน่ๆ!

และหลังจากเดินอย่างยากลำบากอยู่พักหนึ่ง แผ่นหลังของฉู่หลิวเยว่ก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

นางสูดหายใจเข้าลึกๆ และในที่สุดก็หยุดฝีเท้าลง

“พวกเราพักกันก่อนดีกว่า”

เมื่อมู่หงอวี่และเย่หรานหร่านได้จุดพักที่ต้องการ ก็ต่างพากันนั่งพักอย่างรวดเร็ว

ฉู่หลิวเยว่เองก็ทรุดตัวลงนั่งไขว่ห้างอยู่ข้างกัน

ส่วนเชียงหว่านโจวนั้นยืนตัวตรงอยู่ข้างนางเงียบๆ

ฉู่หลิวเยว่กวักมือเรียกเขา

“เสี่ยวโจว เจ้าเองก็มานั่งพักเสีย”

จากมุมนี้ นางสามารถมองเห็นริมฝีปากซีดเซียวของเขาได้อย่างดี

แสดงให้เห็นว่าการวิ่งตามครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลย

แต่เชียงหว่านโจวกลับปฏิเสธเสียงเรียบ

“ข้าขอยืนดีกว่า”

หากเผชิญกับสถานการณ์อันตราย ท่ายืนจะสะดวกในการรับมือมากกว่าท่านั่ง

และนั่นคือสิ่งที่เขาทำสมัยที่เคยติดตามคนคนนั้น

ฉู่หลิวเยว่อยากจะขำเสียให้ได้

นางรู้ดีว่าเชียงหว่านโจวกำลังคิดอันใดอยู่

“อย่ากังวลนักเลย เสี่ยวโจว เพราะที่นี่น่าจะเป็นอาณาเขตของสัตว์อสูรระดับเก้าตัวนั้นแล้ว นอกจากตัวมันเอง หากมีใครบุกเข้ามาที่นี่ ก็จะมีสภาพเหนื่อยล้าไม่ต่างไปจากพวกเรา มันจึงถือว่าปลอดภัยในระดับหนึ่ง และเจ้าก็ควรจะพักเสียบ้าง”

แต่เชียงหว่านโจวยังคงดื้อรั้น

เขาส่ายหัวพร้อมเม้มริมฝีปากบางแน่น หน้าผากเนียนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ที่ไหลย้อยลงมาตามใบหน้าขาวเนียนเสมือนหยกแกะสลักที่แสนประณีต หยาดน้ำเย็นๆ เหล่านั้นไหลลงตามลำคอ และในที่สุดก็จมหายเข้าไปในชุดผ้ากระสอบสีเทา

เห็นได้ชัดว่าเขาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก

ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ย

“เสี่ยวโจว ความจริงตารางงานหนึ่งเดือนนั้นสิ้นสุดแล้ว และเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ติดตามของข้าอีกต่อไป ฉะนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้อีกแล้ว”

ทว่าเชียงหว่านโจวกลับตัวสั่นเทา และมองนางด้วยแววตาตื่นตระหนก

“เจ้าไม่ต้องการข้าแล้วหรือ?”

ฉู่หลิวเยว่ชะงัก

พะ พูดเรื่องอันใดของเขากัน?

“ไม่ใช่ อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าแค่คิดว่าสัญญาระหว่างเราสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องคิดว่าตัวเองอยู่ในฐานะผู้ติดตามของข้าแล้ว อันที่จริง ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้าแล้วมิใช่หรือ?”

พอพูดจบหลิวเยว่ก็ยกยิ้มมุมปากเบาๆ พร้อมดวงตาดูสดใสเปล่งประกายขึ้นมา

เชียงหว่านโจวถอนหายใจ

“ไม่เอา”

แต่หลังจากตอบไปเช่นนั้น เขาก็กลัวฉู่หลิวเยว่เข้าใจผิด พลันเอ่ยต่อว่า

“ข้าว่าเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

เขาเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้และไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ

เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังคงดื้อรั้น ฉู่หลิวเยว่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะเกลี้ยกล่อมเขา แล้วเลือกที่จะยอมแพ้

เจ้าเด็กนี่ยังชอบทำตัวแปลกๆ ไม่เปลี่ยนเลย…

อีกอย่าง การได้รุ่นน้องอย่างเขาเป็นผู้ติดตาม ก็ฟังดูไม่เลวเท่าไหร่

ฉู่หลิวเยว่ขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าทันใดนั้น ก็มีเสียงหวีดแหลมเสียดแก้วหูดังขึ้น!

พร้อมกับลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามาปะทะลำคอของนาง!

หัวใจดวงน้อยเต้นถี่รัว!

อันตราย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด