บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 436 บุปผาสันติมนุษย์อสูร
บทที่ 436 บุปผาสันติมนุษย์อสูร
ใช่
หญิงชุดคลุมดำที่ปรากฏตัวตอนนี้ก็คือหญิงมังกรเอ๋าปิง
เป็นธิดาสวรรค์เมื่อหมื่นปีก่อน นางย่อมมีศักยภาพน่ากลัวถึงที่สุด
แม้จะฟื้นฟูมาส่วนหนึ่งก็ยังฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะ แข็งแกร่งที่สุดแล้ว!
การคงอยู่ของนาง แม้แต่สือเทียนจื่อยังไม่กล้าดูถูก
ตอนนี้เอ๋าปิงเอ่ยเสียงเฉยชา “เจ้าลิงน้อยฉีจ้านนั่นไปอยู่ที่ใดแล้ว”
เป้าหมายของเอ๋าปิงชัดเจนมาก คือจะให้ฉีจ้านรู้ว่าใครเป็นพี่หญิงใหญ่ในสำนักอสูร!
ดังนั้นนางถึงปรากฏตัวมาสร้างความหวาดหวั่นกับโอรสสวรรค์สำนักมนุษย์ แสดงฐานะและอำนาจของตนเอง!
ฉีหั่วมองร่างเย็นชาสูงส่งนั้นของเอ๋าปิง แววตาเต็มไปด้วยความยำเกรง
เห็นได้ชัดว่าเอ๋าปิงเคยแสดงศักยภาพในสำนักอสูรมาแล้ว ทำให้โอรสสวรรค์สำนักอสูรยอมศิโรราบ!
ใบหน้าที่เดิมทีอวดดีของฉีหั่วพลันเผยรอยยิ้มประจบ “พี่หญิงใหญ่ พี่ใหญ่ข้าต้องถูกพวกมันจับไว้แน่ สำนักอสูรเราต้องสามัคคีกัน ให้พวกมันปล่อยเขาออกมา!”
ตอนนี้สำนักมนุษย์มีเพียงศิษย์อาวุโสอยู่ส่วนน้อย
ฉีหั่วคิดว่าส่วนใหญ่ต้องกำลังช่วยกันวางค่ายกลปิดล้อมฉีจ้านแน่นอน!
เอ๋าปิงมองสือเทียนจื่อเชิงเย้าหยอก “เจ้าเด็กน้อย เจ้าลูกลิงนี่พูดความจริงหรือไม่”
เส้นสีดำบนหน้าสือเทียนจื่อเข้มกว่าเดิม เขาทำเสียงขึ้นจมูกทีหนึ่ง “ด้วยศักยภาพของเจ้าลิงกังฉีจ้านนั่น ไฉนจะต้องร่วมมือกันด้วย ข้าใช้มือเดียวก็กำราบมันได้!”
ก่อนหน้านี้ที่สือเทียนจื่อไม่ได้ออกมือ ไม่ใช่เพราะกลัวฉีจ้าน เขามีใจไร้พ่าย นอกจากเสิ่นเทียนที่ทำให้เขาหวาดกลัวแล้ว คนอื่นไม่คู่ควร!
แน่นอน ตอนนี้มีเอ๋าปิงเพิ่มมาอีกหนึ่ง!
เอ๋าปิงแผ่อำนาจอริยะแข็งแกร่งออกมารอบตัว ทำให้สือเทียนจื่อกดดันอย่างหนัก
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น สือเทียนจื่อก็ยังมีจิตต่อสู้คึกคัก ดวงตาเร่าร้อน กระหายในการต่อสู้
เอ๋าปิงสัมผัสได้ถึงจิตต่อสู้ของสือเทียนจื่อจึงพูดยิ้มเยาะ “เจ้าเด็กน้อย ดูท่าเจ้าคงโอหังน่าดู!”
เอ๋าปิงเป็นธิดาสวรรค์ที่สุดแห่งยุคเมื่อหมื่นปีก่อน ไม่ว่าพลังบำเพ็ญหรือฐานะล้วนอยู่ระดับเดียวกับคนใหญ่คนโตในเผ่าอสูร
แม้แต่ราชามังกรดำรุ่นปัจจุบันพบนางยังต้องเรียกท่านป้าด้วยความเคารพ
เผ่ามนุษย์น้อยที่เพิ่งผงาดขึ้นคนหนึ่ง ย่อมไม่อยู่ในสายตา
“พวกเจ้าไม่ถอยไป เช่นนั้นก็สู้!”
สือเทียนจื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขากอดความหยิ่งทระนงไว้ ไม่เกรงกลัวผู้ใด
ต่อให้เป็นเอ๋าปิง ก็ให้เขาถอยไปไม่ได้!
…..
ทว่าตอนนี้เองมีหลายร่างเงากำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
นั่นคือศิษย์อาวุโสสำนักมนุษย์ พวกเขาพากันเดินทางมา ล้วนมีศักยภาพแข็งแกร่ง
โอรสสวรรค์ศิษย์อาวุโสทยอยกันปรากฏตัวหลังสือเทียนจื่อ จ้องโอรสสวรรค์สำนักอสูรด้วยแววตาจริงจัง
นี่คือศึกที่พัวพันไปถึงศักดิ์ศรีของสำนักมนุษย์ ไม่มีใครถอยได้
ทางด้านโอรสสวรรค์สำนักอสูรก็พากันเคลื่อนไหวเช่นกัน มาปรากฏข้างหลังเอ๋าปิงอย่างไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย
มีพี่หญิงใหญ่อยู่ ต่อให้เผชิญหน้ากับสือเทียนจื่อก็ไม่ต้องกลัว!
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมา กลิ่นอายพลังน่ากลัวเหมือนคลื่นใหญ่จู่โจม หมุนม้วนสวรรค์เก้าชั้น ทำให้ท้องนภาเปลี่ยนสี
สถานการณ์ตึงเครียดมาก สองสำนักพร้อมจะก่อมหาสงครามกันได้ทุกเมื่อ!
แม้แต่ปรมาจารย์สองสำนักยังจริงจังขึ้น เตรียมรับมือกับเรื่องเหนือความคาดหมายที่จะอาจจะเกิดขึ้น
……
ตอนนี้เอง มิติบิดเบี้ยวขึ้นมา
แสงสว่างจ้าแสบตาดึงดูดความสนใจของทุกคน จากนั้นมีสองร่างเงาเดินออกมาจากมิติช้าๆ
หนึ่งในนั้นสวมเกราะนักรบทองคำ ร่างใหญ่โต พลังมหาศาลอย่างยิ่ง
อีกคนสวมชุดผ้าแพรมังกรขาว เอกลักษณ์เหนือธรรมดา ใบหน้าหล่อเหลาที่สุดเหมือนเซียนมาเยือน
เมื่อสองร่างนี้ปรากฏก็ทำให้โอรสสวรรค์ทุกคนอึ้งค้างอยู่กับที่
โดยเฉพาะเมื่อเห็นบุรุษชุดผ้าแพรมังกรขาวนั้น คนและอสูรมากมายต่างร้องอุทาน จิตใจสั่นสะท้าน
ส่วนปีศาจน้อยของสำนักอสูรยังมีแววตาหลงใหล เหมือนว่าแม้แต่จิตวิญญาณยังถูกเกี่ยวไป!
“เป็นบุรุษรูปงามมาก!”
“เจ้าเด็กนี่ควรอยู่บนฟ้า จะได้เห็นในโลกมนุษย์ได้อย่างไร”
“อู้ว~ หนุ่มน้อย ข้าอยากกินเขาไปในคำเดียวเลยจริงๆ ไม่ไหวเลย”
“คำเดียวจะพออะไร บุรุษรูปงามเช่นนี้ อมไว้ในปากยังกลัวละลาย”
เวลานี้ อสูรหญิงจากสำนักอสูรพวกนี้ต่างซุบซิบพูดคุยกัน!
อืม มีแต่อสูรที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างพวกจิ้งจอกและงูทั้งนั้น
ถึงอย่างไรอสูรที่ได้มาตรฐานใครเขาอมคนกัน
……
สองร่างเงาที่พลันปรากฏขึ้นก็คือเสิ่นเทียนกับฉีจ้าน
หลังผ่านศึกกระแสมิติปั่นป่วน ฉีจ้านก็ถูกเสิ่นเทียนสยบลงอย่างอยู่หมัด
ฉีจ้านคิดในใจ ‘ท่านจักรพรรดิบอกข้ามีสวรรค์เป็นอาจารย์ มีสวรรค์เป็นสหาย ปะทะสวรรค์บรรลุมรรค!’
ปะทะสวรรค์เป็นไปไม่ได้ ชาตินี้ก็เป็นไปไม่ได้!
ยั่วยุเจ้านี่มีแต่ถูกทุบตี!
แต่ข้าก็มีสวรรค์เป็นอาจารย์ มีสวรรค์เป็นสหายได้!
จากนี้ไป เสิ่นเทียนคือพี่ใหญ่ของข้า!
แบบนี้ก็จะบรรลุมรรคได้เช่นกัน!
ข้านี่ฉลาดจริงๆ!
ฉีจ้านยึดความคิดนี้ยอมรับเสิ่นเทียนเป็นพี่ใหญ่อย่างแน่วแน่ ก่อนจบการต่อสู้กับเสิ่นเทียน แต่ตอนที่พวกเขาออกมาและเห็นสถานการณ์ข้างนอกแล้วก็ถึงกับผงะไป
เสิ่นเทียนเกาศีรษะด้วยความมึนงง
อะไรกัน
ข้าเพิ่งไปได้ครู่เดียว เหตุใดถึงมีคนมารวมกันมากขนาดนี้ จะจัดงานเลี้ยงกันรึ
ฉีจ้านก็เช่นกัน
แต่เมื่อเขาเห็นฉีหั่วก็เข้าใจขึ้นมา
หน้าลิงฉีจ้านเป็นสีดำ เกาหูเกาแก้มพูดพึมพำ “เรียกอสูรมาเยอะขนาดนี้มาทำอะไรกัน ไม่กระมัง! ไม่กระมัง! คงไม่คิดว่าข้าจะถูกทุบตีจริงๆ หรอกนะ!”
…..
แค่กๆ ก็ได้
แม้ข้าจะถูกทุบตีจริงๆ แต่ก็รับเป็นพี่ใหญ่ อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุน!
ฉีหั่วเห็นฉีจ้านปรากฏตัวก็ตาเป็นประกาย
“พี่ใหญ่ข้าออกมาแล้ว จะต้องให้พวกมนุษย์ได้เห็นดีแน่!”
มีฉีจ้านกับเอ๋าปิงอยู่ ก็จะกำราบโอรสสวรรค์สำนักมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย
ฉีหั่วถลึงตามองหวังเสินซวีโหดๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะควงหมัดลิง เหมือนกำลังบอกว่าเจ้าตายแน่
ทว่าช่วงที่สถานการณ์เหมือนจะเลวร้ายลงไปอีกขั้นนั้น พลันเกิดเสียงฮือฮาดังมาจากกลุ่มอสูร
“รอเดี๋ยว ทุกคนหยุดมือ!”
“อย่าสู้ หยุดมือก่อน!”
“คนของเราเอง ทุกคนเป็นพวกเดียวกัน!”
คนที่พูดคือโอรสสวรรค์สำนักอสูรใหม่เช่นเอ๋าอู เฟิ่งอู่และข่งเมิ่ง
และยังมีโอรสสวรรค์รุ่นก่อนเช่นคุนหมิงและคุนอวี้ ต่างก็ออกมาห้ามปรามอสูรตนอื่นที่กำลังจะบุก
โดยเฉพาะองค์รัชทายาทมังกรเอ๋าอู เขาวิ่งออกมา โบกสองแขนพลางตะโกนอย่างสนิทสนม “พี่เสิ่นเทียน! พี่เสิ่นเทียนข้าเอง! ท่านจำข้าได้หรือไม่”
“เฮ้ ข้าเอ๋าอูเอง!”
“…”
พอเห็นเอ๋าอูที่ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งแล้ว ฉีเซ่าเสวียนก็มีเส้นเลือดเขียวปูดขึ้นมาบนหน้าผาก
เจ้าเด็กนี่ เป็นสหายลงนามสัญญาของใครกันแน่
เมื่อครู่ข้าก็อยู่ด้วย แต่เจ้าเด็กนี่ไม่พูดไม่จาก็สู้ทันที ลงมือไม่เห็นใจเลยสักนิด!
ตอนนี้เสิ่นเทียนออกมา เจ้าไม่สู้แล้วรึ
ฉีเซ่าเสวียนสูดลมหายใจเย็นๆ หลายเฮือกใหญ่ พยายามให้ตนใจเย็นลง!
ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกเหมือนปอดจะระเบิด!
โอรสสวรรค์คนอื่นพากันออกมาทักทายเสิ่นเทียน
เอ๋าปิงก็ไม่สนใจสือเทียนจื่ออีก หันหน้ามาจ้องเสิ่นเทียนทันที
ใบหน้าเฉยชามีความน่าเกรงขามของราชินีอย่างชัดเจน
สือเทียนจื่องุนงง
อะไรกัน พอเสิ่นเทียนออกมาก็เมินข้าเลยรึ
แม้ศักยภาพเขาจะแกร่งกว่าข้าเล็กน้อย หน้าตาหล่อเหลากว่าข้านิดๆ แต่ดีเลวอย่างไรข้าก็เป็นโอรสสวรรค์ที่แกร่งที่สุดของราชวงศ์เซียนต้าฮวง เป็นผู้สูงส่งสูงสุดหนุ่ม!
พวกเจ้าเมินข้าเช่นนี้ ดีจริงๆ หรือ
คิดว่าข้าไม่มีศักดิ์ศรีรึ!
ความรู้สึกด้านลบในใจสือเทียนจื่อ+999999
……..
เมื่อเห็นใบหน้าคุ้นตาของทุกคน เสิ่นเทียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
นี่คือพี่น้องกุยช่ายของเขา ไม่นึกเลยว่าจะได้พบกันที่นี่!
สวนกุยช่ายของข้า เติบโตกันขึ้นอีกแล้ว!
จากนั้นเสิ่นเทียนก็สบตากับเอ๋าปิงก่อนจะอึ้งไปเล็กน้อย
พี่หญิงใหญ่คนนี้มาได้อย่างไรกัน
เอ๋าปิงเอ่ยด้วยเสียงเฉยชา “เจ้าเด็กนี่ก่อเรื่องเก่งจริงๆ”
ตั้งแต่กลับไปปิดด่านบำเพ็ญเกาะมังกรดำครั้งก่อน เสิ่นเทียนก็เริ่มออกเดินทาง ไปฝึกฝนทุกที่ จนกระทั่งเอ๋าปิงจบการปิดด่านบำเพ็ญก็ไม่เจอเสิ่นเทียนแล้ว
พอเอ๋าปิงได้ยินว่าเสิ่นเทียนเข้าสำนักศึกษาหลวงจี้เซี่ย นางถึงได้ตามมา
ทันใดนั้น เอ๋าปิงมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “เหตุใดในตัวเจ้าถึงมีกลิ่นอายของนางหงส์เหม็นโฉ่นั่น”
เสิ่นเทียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะส่งกระแสจิตไปหา “พี่สาวปิง ที่นี่คนเยอะปากมาก กลับไปเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดนะ”
“หึ หากเจ้าไม่อธิบายให้ชัดเจน เจ้าตายแน่!”
เอ๋าปิงเอามือกอดอก มีสีหน้าเย็นชาและสูงส่งมาก
นางไม่ถูกกับราชินีหงส์อมตะอยู่แล้ว จู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่าในตัวเสิ่นเทียนมีกลิ่นอายของราชินีหงส์อมตะ จะไปยอมทนได้อย่างไรล่ะ
เสิ่นเทียนโล่งอก แอบตกใจว่ายายคนนี้จมูกไวจริงๆ
ไม่นึกเลยว่าผ่านไปนานขนาดนั้นแล้วยังได้กลิ่นอีก!
ดูท่าคงเป็นเพราะสายเลือดเทพหงส์ในกาย
เฮ้อ นั่นทำให้ปวดเอวไปครึ่งเดือนเลย!
……
ตอนนี้เอง หลังเห็นโอรสสวรรค์สองสำนักมนุษย์กับอสูรหยุดกันแล้ว ฉีหั่วก็เกาศีรษะด้วยความงุนงง ก่อนถามด้วยความสงสัย “พี่ใหญ่ พวกเราจะสู้ต่อหรือไม่”
เกิดอะไรขึ้น!
ข้ากำลังสู้อย่างเร่าร้อน ตื่นเต้นยิ่ง
ปรากฏว่าพอพี่ใหญ่กับเจ้าเด็กนั่นออกมา เหตุใดถึงหยุดมือล่ะ
ไม่สบายตัวเลยจริงๆ!
หลังได้ยินคำพูดของฉีหั่ว ฉีจ้านก็ไม่รู้เพลิงโทสะพุ่งมาจากที่ใด จึงเขกกะโหลกไปทีหนึ่ง!
“สู้อะไร นี่พี่ใหญ่ข้า และเป็นพี่ใหญ่ของพี่ใหญ่เจ้า เจ้าคิดจะลงมือรึ”
ฉีหั่วกุมศีรษะพลางพูดอย่างคับอกคับใจ “พี่หญิงใหญ่ พี่ใหญ่รังแกข้า!”
เอ๋าปิงพลิกมือมาเขกศีรษะอีกที “เจ้าเด็กนี่เป็นนักรบพันธสัญญาของข้า เจ้าจะทุบตีเขารึ”
นักรบมังกรหรือ
เจ้านี่คือบุรุษที่ขี่หญิงมังกรฉุนเฉียวอย่างพี่หญิงใหญ่ได้รึ
ฉีหั่วกุมซาลาเปาโตสองลูกบนศีรษะ อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา!
ใครล่วงเกินใครกันแน่นะ!
เหตุใดคนที่เจ็บต้องเป็นข้าตลอดเลย
…..
ผู้แข็งแกร่งสุดยอดของสองฝ่ายรู้จักกัน ทุกคนรู้ว่าการวิวาทครั้งนี้ต้องยุติลงแล้ว
แต่พอได้ยินเอ๋าปิงบอกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เป็นนักรบมังกรพันธสัญญาของนาง โอรสสวรรค์สำนักอสูรทั้งหมดต่างแปลกใจกันขึ้นมา
เหล่าอสูรเคยได้ประจักษ์ความแกร่งของเอ๋าปิงมาแล้ว
เมื่อหลายวันก่อน นางทุบตีอสูรในสำนักอสูรไปจำนวนมาก สร้างอำนาจน่าเกรงขามขึ้น!
เผ่าอสูรมากมายยำเกรงนางอย่างยิ่ง
แต่พวกเขาไม่นึกเลยว่าการคงอยู่ที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะไปลงนามสัญญากับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
หรือในนี้จะมีความลับอะไรบางอย่าง
…..
จากนั้นก็มีอีกเรื่องดึงดูดความสนใจของทุกคน
เหล่าโอรสสวรรค์กลอกตา “เมื่อครู่ฉีจ้านออกไปสู้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เช่นนั้นสุดท้ายแล้วใครแพ้ใครชนะกัน”
มีคนอดใจถามขึ้นมามิได้ ทำให้ฉีจ้านมีสีหน้าเก้อเขิน
เขาจะบอกว่าตนเข้าไปแล้วถูกเสิ่นเทียนรัวทุบค้อนใส่ไม่ได้กระมัง!
ชั่วขณะที่ฉีจ้านกำลังว้าวุ่นใจนั้น เสิ่นเทียนกลับกู้หน้าให้เขาด้วยรอยยิ้ม
“แซ่เสิ่นกับสหายฉีมีกำลังรบสูสีกัน ยากจะตัดสินแพ้ชนะได้ ถือว่าเสมอแล้วกัน! สายเลือดวานรอริยะสัประยุทธ์ของสหายฉีสมกับเป็นคุณสมบัติกายสุดยอด แข็งแกร่งจริงๆ มีกำลังรบเป็นหนึ่ง”
หลังได้ฟังคำพูดเสิ่นเทียน ฉีจ้านก็ดีใจขึ้นมา รีบพยักหน้า “ใช่ๆ! ข้ากับพี่ใหญ่สูสีกัน สามสิบหกค้อนสวรรค์ร้างของเขาก็โหดมาก”
ทุกคนทำหน้ามึนงง ภายในใจเต็มไปด้วยความตกใจระคนสงสัย
เจ้าลิงกังนี่ เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อครู่ยังโอหังอวดดีเก่งกาจอยู่เลยไม่ใช่รึ เหตุใดประมือกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้วถึงเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ใหญ่
ฉีหั่วเกาศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ “พี่ใหญ่ สายเลือดพวกเรา ท่านเป็นพี่ใหญ่ไม่ใช่รึ เหตุใดถึงมีพี่ใหญ่เพิ่มมาอีกคนล่ะ เหตุใดท่าต้องเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ด้วย พวกมนุษย์มีสิทธิ์อะไรมาเป็นพี่ใหญ่ของท่าน”
ตึง!
เกิดเสียงดังกังวาน
มีซาลาเปาใหญ่ปูดขึ้นมาบนศีรษะอีกครั้ง
ฉีหั่วน้ำตาคลอ กุมศีรษะนั่งยองลง สงสัยในชีวิตลิง!
นี่ข้าพูดอะไรผิดไปอีกแล้ว
ฉีจ้านปัดมือก่อนแอบด่าในใจ
เหตุใดในเผ่าถึงมีคนโง่เช่นนี้ได้
ถามอยู่นั่น!
คิดว่าหน้าข้าไม่มียางอายหรือ
เดี๋ยวกลับไปจะทุบตีสั่งสองเจ้าลิงกังนี่สักยก!
คำพูดของฉีหั่วเตือนทุกคน ทุกคนจึงมองมาด้วยแววตาสงสัย
ฉีจ้านกับเสิ่นเทียนมองหน้ากัน ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาตกลงกันยังไม่ได้คิดถึงขนาดนี้
ฉีจ้านเกาศีรษะ คิดหาเหตุผลอย่างยากลำบาก พูดติดๆ ขัดๆ “เพราะว่า…เพราะว่าพี่ใหญ่หล่อเหลา มีคุณสมบัติให้แซ่ฉีเคารพ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ฉีจ้านก็มั่นใจขึ้นมาแล้ว
คิดว่าเหตุผลนี้ไม่มีช่องโหว่ใด ทำให้คนเชื่อได้แน่นอน!
เขาพึมพำเสียงเบา “แม้พี่ใหญ่จะไม่กำยำเท่าข้า แต่อย่างน้อยก็ยังดูดีกว่าพวกมนุษย์หน้าตาอัปลักษณ์พวกนั้น! ในเผ่ามีน้องสาวหลายคน ยังชมว่าข้าหน้าตาหล่อเหลา เป็นราชาวานรรูปงามในเผ่า! พี่ใหญ่มีหน้าตาไม่ด้อยไปกว่าข้า ก็ต้องเป็นราชามนุษย์รูปงามในเผ่ามนุษย์แน่นอน”
เหล่าโอรสสวรรค์พูดไม่ออก
คนมากมายมุมปากกระตุก เหนื่อยใจจนกรอบนอกนุ่มใน
เจ้าคู่ควรรึ
ลิงเช่นนี้เรียกว่ารูปงามได้หรือ
ขอถามหน่อย เจ้าใกล้เคียงกับคำว่ารูปงามหรือ
ผีเท่านั้นที่รู้ว่ามุมมองด้านความงดงามของลิงบิดเบี้ยวเพียงใด!
แต่พอนึกดูดีๆ คำพูดของฉีจ้านก็พอจะทำให้คนเชื่อได้
ถึงอย่างไรบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็มีใบหน้าหล่อเหลาที่สุดแห่งยุค ทำให้คนยอมสยบได้จริงๆ
ไม่เช่นนั้นหญิงมังกรเอ๋าปิงนั่นจะให้เสิ่นเทียนลงนามเป็นนักรบมังกรได้อย่างไร!
เพราะถ้าเป็นตนเอง คงไม่มีอสูรใดยอมให้คนอัปลักษณ์มาขี่แน่
อย่างน้อย อสูรหญิงพวกนั้นก็รู้สึกเหมือนกัน!
กระทั่งพวกนางยังอยากจะลงนามสัญญากับเสิ่นเทียนด้วยซ้ำ!
ใบหน้านี้ รักเลยๆ!
……
มีโอรสสวรรค์ไม่น้อยเชื่อคำพูดของฉีจ้าน
กระทั่งมีคนพูดงึมงำ “ดูท่าแล้ว ฉีจ้านคงอยากให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์นักรบวานรกระมัง!”
เสิ่นเทียนเงียบ
ฉีจ้าน “#%¥$”
ลิงบางตัวโกรธจนหน้าแดงเหมือนก้น
เจ้าคนที่พูดนั่น ออกมา!
ข้ารับรองว่าจะไม่ตีเจ้าให้ตาย!
แต่หากได้ลงนามสัญญากับพี่ใหญ่ ก็เหมือนจะไม่เลวเหมือนกัน!
อืม เดี๋ยวต้องถามพี่ใหญ่ดูว่ายินดีเป็นนักรบวานรหรือไม่!
และต้องไปถามผู้อาวุโสดูด้วย!
ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจน!
……
เหล่าโอรสสวรรค์ตั้งสติกลับมาได้ก็ตกใจกับความแกร่งของเสิ่นเทียน
ต้องรู้ว่าฉีจ้านมีชื่อเสียงเลื่องลือจี้เซี่ยมานาน เป็นตัวแบกของสำนักอสูร!
แม้ว่าเอ๋าปิงเข้ามาจะทำให้ตำแหน่งตัวแบกอาจจะไปอยู่ในมือคนอื่น!
แต่เขาก็เป็นการคงอยู่น่าสะพรึงที่ฉีกอริยะแท้ห้าด่านเคราะห์ได้ คนปกติไม่อาจเทียบได้เลย!
ไม่อยากเชื่อว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะสูสีกับฉีจ้าน ดูท่าแล้วคงมีศักยภาพแข็งแกร่งจริงๆ
แต่นี่ก็หมายความว่าสือเทียนจื่อก็สู้สองคนไม่ได้ด้วย เพราะบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เป็นอันดับหนึ่งสำนักมนุษย์ มีศักยภาพสูสีกับฉีจ้านในอันดับหนึ่งสำนักอสูร!
แต่สือเทียนจื่อบอกว่าตนสู้เสิ่นเทียนไม่ได้!
นั่นหมายความว่ากำลังรบของฉีจ้านแกร่งกว่าสือเทียนจื่อไม่ใช่หรือ
เมื่อคิดได้ดังนั้น โอรสสวรรค์สำนักอสูรที่ถูกสือเทียนจื่อกำราบพวกนั้นก็พากันโล่งอก
เวลานี้มีอสูรไม่น้อยซุบซิบกัน
“บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สูสีกับศิษย์พี่ฉี แต่สือเทียนจื่อยอมรับเองว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์”
“หืม เหมือนเจออะไรบางอย่างนะ!”
“แข็งแกร่งกว่านี้แล้วอย่างไร ก็ยังเทียบกับอันดับหนึ่งสำนักอสูรข้าไม่ได้”
“ข้าเหมือนจะจำได้ว่าเทียนจื่อบางคนโอ้อวดไว้ก่อนหน้านี้ บอกว่าแค่มือเดียวก็จัดการอันดับหนึ่งสำนักอสูรได้ไม่ใช่รึ”
“ฮ่าๆๆๆ สือเทียนจื่อที่มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งในห้าดินแดนก็ได้แค่นี้!”
……
สือเทียนจื่อหน้าดำเป็นเถ้าถ่าน พลังในกายไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับภูเขาไฟจะระเบิด
หากไม่ใช่เพราะกลัวเอ๋าปิง เขาคงพุ่งเข้าไปตบปากเจ้าพวกนี้แล้ว!
เขาเป็นโอรสสวรรค์ที่แกร่งที่สุดในราชวงศ์เซียนต้าฮวง เคยโดนดูถูกเช่นนี้หรือ
ตอนนี้เอง เสิ่นเทียนเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม
เขาพูดอธิบาย “ความจริงกำลังรบของสหายเทียนจื่อก็สูสีกับแซ่เสิ่นเช่นกัน เพียงแต่ว่าเขาถ่อมตัว เลยบอกว่าศักยภาพเทียบแซ่เสิ่นไม่ได้”
เสิ่นเทียนยึดหลักความคิดปกป้องกุยช่ายบ้านตน จึงไม่อยากให้สือเทียนจื่อโดนหัวเราะเยาะ
พอได้ฟังคำอธิบายของเสิ่นเทียน ใบหน้าเย็นชาของสือเทียนจื่อก็ซับซ้อนขึ้น
เขาแบะปาก พูดพึมพำ “อย่าคิดว่าพูดให้ข้าแล้วข้าจะซึ้งใจนะ สักวัน ข้าจะตามเจ้าให้ทัน”
เหล่าโอรสสวรรค์ใคร่ครวญ คิดว่ามีเหตุผลมาก
ถึงอย่างไรสือเทียนจื่อก็ไม่ใช่คนธรรมดา แม้แต่จักรพรรดิฮวงสือยังให้ความสำคัญกับพรสวรรค์เขา มีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุด!
บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สูสีกับเขาก็สมเหตุผลมาก
แต่คนที่ใกล้ชิดกับสือเทียนจื่อกลับแบะปาก
อะไรกัน เจ้าบอกว่าสือเทียนจื่อถ่อมตัวรึ
แบบนี้ก็ได้รึ
คนดื้อรั้นอวดดีเช่นนี้จะถ่อมตัวได้หรือ
ดีที่ไม่มีใครโง่เอ่ยความคิดนี้ออกมา
ไม่เช่นนั้นสือเทียนจื่อได้บ้าคลั่งแน่!
…..
เรื่องราวมาถึงตอนนี้ การต่อสู้ของสำนักมนุษย์และสำนักอสูรใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
ถึงอย่างไรผู้แข็งแกร่งสุดยอดของสองฝ่ายก็ไม่สู้กันแล้ว พวกเขาสู้ต่อไปไม่มีความหมายอะไรเลย
แต่ไม่ได้หมายความว่าสองสำนักจะปรองดองกัน
ความขัดแย้งของสองสำนักฝังรากลึกมานาน สองฝ่ายต่างดูถูกกัน จะไปแก้ปัญหาง่ายๆ ได้อย่างไร
ดังนั้นจึงยังมีศิษย์อาวุโสมากมายไม่พอใจอยู่ข้างใน กำลังโวยวายกันเสียงดัง!
ตอนนี้เอง เสิ่นเทียนพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายทุกท่านเงียบหน่อย เข้าสำนักศึกษาหลวงจี้เซี่ยแล้วก็เป็นพี่น้องกัน เป็นมนุษย์เป็นอสูรความจริงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันมากจริงๆ มนุษย์เกิดจากมารดามนุษย์ อสูรเกิดจากมารดาอสูร สู้กันเป็นอะไรขึ้นมา ไม่ว่ามารดาใครก็ต้องปวดใจ สู้ทุกคนมานั่งดื่มชากัน สนทนาชีวิต สร้างมิตรภาพกันไม่ดีกว่ารึ”
เสิ่นเทียนมองโอรสสวรรค์รอบกาย โดยรวมจะมีแต่ผู้มีมหาดวงชะตาวงรัศมีสีทอง
มองไปแวบเดียวมีแต่แสงสีทองวูบวาบ
ทำให้เขาตื่นเต้นมาก!
…..
ถึงอย่างไรคนที่เข้าสำนักศึกษาหลวงจี้เซี่ยได้ มีใครไม่ใช่สุดยอดโอรสสวรรค์บ้าง
ดวงชะตาย่อมไม่หนีไปที่ใด!
ยุงเล็กกว่านี้ก็ยังเป็นเนื้อ
มิหนำซ้ำเจ้าพวกนี้ยังไม่ใช่ยุง แต่เป็นนกพิราบขาวอ้วนท้วม!
เห็นผู้มีมหาดวงชะตามากขนาดนี้ จะไปยอมให้พวกเขาหนีไปได้อย่างไร
เสิ่นเทียนย่อมเลือกใช้วิธีหว่านแหรวบมาให้หมด!
ศิษย์อาวุโสสำนักอสูรทำหน้าเหยียดหยาม พากันโยวาย “ข้าจะไปรวมกลุ่มกับมนุษย์ได้อย่างไร”
“ดื่มชาไม่มีทางแน่ ชาตินี้ก็ไม่มีทาง!”
“ยังสู้กันไม่หนำใจเลย จะมาดื่มชาบ้าอะไร!”
เผ่าอสูรกับเผ่ามนุษย์เผ่าพันธุ์ต่างกัน นิสัยย่อมต่างกัน
แม้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะออกปากก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแนวความคิดพวกเขาได้
อีกทั้งพอเห็นศิษย์อาวุโสสำนักอสูรพวกนี้โวยวาย ศิษย์อาวุโสสำนักมนุษย์ก็ไม่ยอมจะสวนกลับ
“ให้เกียรติพวกเจ้าแล้วยังไม่รับไว้อีก!”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ให้เกียรติพวกเจ้า ถึงได้เชิญพวกเจ้าดื่มชา!”
“หากเป็นข้า คงเชิญพวกเจ้ากินตูด จะมาดื่มชาอะไร”
……
เวลานี้สถานการณ์วุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
ศิษย์อาวุโสสองฝั่งเริ่มปะทะคารมกันอีกครั้ง เพียงแต่ไม่กล้าลงมืออีก
กลางอากาศ ผู้อาวุโสซูกับผู้อาวุโสจินมุมปากกระตุก
พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าการประชันกันครั้งนี้จะคลี่คลายลงเพราะเสิ่นเทียนปรากฏตัว
ผู้อาวุโสจินถอนหายใจ “เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าจะทำให้โอรสสวรรค์สองสำนักหยุดมือพร้อมกันได้!”
ในการประชันกันของสองสำนักเมื่อก่อน หากไม่มีปรมาจารย์สอดมือ ปกติจะสู้กันต่อไปเรื่อยๆ
จากนั้นผู้อาวุโสจินแบะปาก “เจ้าเด็กนี่ออกมาไม่ดูเวลาจริงๆ สำนักอสูรเราจะชนะอยู่แล้วเชียว”
ผู้อาวุโสจินดูไม่พอใจเลย
หากเสิ่นเทียนไม่โผล่มา เอ๋าปิงกับสือเทียนจื่ออาจจะสู้กันแล้ว
ด้วยกำลังรบของเอ๋าปิง การกำราบสือเทียนจื่อไม่ใช่เรื่องยากเลย
แบบนั้น เขาก็จะได้สุราวิญญาณอริยะนั้นมาจากผู้อาวุโสซูแล้ว
ผู้อาวุโสซูส่ายหน้า “ผู้อาวุโสจิน เจ้าคิดว่าสำนักอสูรเจ้าจะชนะรึ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าฉีจ้านจะสู้เจ้าหนูเสิ่นเทียนได้”
เสิ่นเทียนกับฉีจ้านบอกกับทุกคนว่าสูสีกัน
แต่ในสายตาตาแก่อย่างพวกเขา มองออกนานแล้วว่าใครแกร่งกว่ากัน
“อีกอย่าง บรรพบุรุษท่านนั้นไม่ลงมือกับเจ้าหนูนี่ด้วย!”
เสิ่นเทียนเป็นนักรบมังกรพันธสัญญาของหญิงมังกรเอ๋าปิง เรื่องนี้แม้แต่พวกเขายังไม่รู้!
ได้แต่ยอกว่าวงสังคมของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เกินไปจริงๆ
เจ้าหนูนี่คือบุปผาสันติชัดๆ!
เหมือนกับกินมนุษย์กับอสูรได้หมดเลย!
…..
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสซูกับผู้อาวุโสจินก็ย่นจมูกขึ้นเล็กน้อย
พวกเขาได้ยินหอมสดชื่นเข้มข้นยิ่ง
กลิ่นหอมนี้มหัศจรรย์ กระทั่งอบอวลไปในห้วงอากาศที่พวกเขาอยู่!
“อะไรกัน เหตุใดถึงหอมเช่นนี้”
ผู้อาวุโสจินสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง เปล่งแสงทั้งตัวเหมือนจะผลัดเปลี่ยน
“กลิ่นหอมนี่ เข้มข้นบริสุทธิ์ยิ่งกว่าสุราวิญญาณอริยะอีก!”
ผู้อาวุโสซูทำหน้าเคลิบเคลิ้ม เหมือนมอมเมาอยู่ในกลิ่นหอมเข้มข้นถอนตัวไม่ขึ้น
แต่เมื่อพวกเขามองไปก็เห็นเสิ่นเทียนควักอ่างใหญ่ออกมา กำลังจุดไฟต้มชา
เดิมทีสองผู้อาวุโสไม่สนใจ แอบตกใจว่าเจ้าหนูนี่ยังว่างมาต้มชาอีก
แต่ไม่นานพวกเขาก็พบว่ากลิ่นหอมนี่โชยมาจากทางเสิ่นเทียน
ดังนั้นกลิ่นหอมนี่ น่าจะเป็นกลิ่นหอมชากระมัง
…….
จิ๊ๆ
ชาอะไรหอมขนาดนี้กัน
สองผู้อาวุโสทำหน้าแปลกใจ มองไปในอ่างนั้น
ทันใดนั้นคนกับลิงก็แทบจะสงสัยในชีวิต!
ใช่แล้ว นี่มันชาตระหนักรู้!
เจ้าเด็กนี่!
ไม่อยากเชื่อว่าจะใช้อ่างมาต้มชาตระหนักรู้
………………….
Comments