นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 559 การข่มขู่ ท่านจะทำอะไรข้าได้

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 559 การข่มขู่ ท่านจะทำอะไรข้าได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 559 การข่มขู่ ท่านจะทำอะไรข้าได้
ชุยห้าวถิงเริ่มจะเห็นใจพี่สามของตัวเองแล้วสิ เขาไปทำร้ายเฟิ่งชิงเฉิน เห็นทีคงจะต้องซวยแน่ คนนอกมองคุณชายตระกูลชุยว่าสูงส่ง แต่ความจริงแล้ว มีเพียงคุณชายตระกูลชุยเท่านั้นที่รู้จักสภาพที่แท้จริงของตัวเอง

เป็นคุณชายตระกูลชุยไม่ง่ายเลย ความสูงส่ง นั่นคือสิ่งที่คนนอกมองมา หากคุณชายตระกูลชุยออกมาใช้ชีวิตข้างนอกแล้ว ตระกูลชุยก็จะไม่มาสนใจไยดี จะเป็นจะตายก็ต้องดูแลตัวเอง

หากมีชีวิตรอดต่อไปได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี คนผู้นี้จะได้รับการยอมรับจากตระกูล และได้รับทรัพย์สินเงินทองและความช่วยเหลือจากตระกูล

แต่ถ้าหากสิ้นชีพ นั่นหมายความว่าคนผู้นี้ไร้ความสามารถ ทางตระกูลจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย จะมีก็แต่ช่วยเขาล้างแค้นหลังจากที่เขาตายไปแล้ว เพื่อให้โลกรู้ว่าตระกูลชุยไม่ได้จะมาเหยียบย่ำได้ง่ายๆ และอำนาจตระกูลชุยก็มีมากกว่าที่ใครหลายคนคาดคิด

เด็กที่โตมาในตระกูลนี้ จะได้รับการศึกษาอบรมอย่างดีเยี่ยม คนเก่งๆมีจำนวนไม่น้อย ให้ขาดคนไปสัก 2-3 คนจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดังนั้นคุณชายสิบหกผู้นี้จะถูกครอบครัวทอดทิ้งเมื่อไรก็ย่อมได้……

ชุยห้าวถิงจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยแววตาชื่นชม เขานับถือความใจเด็ดของเฟิ่งชิงเฉินมาก น่าเสียดายที่หญิงแกร่งเช่นนี้มีเจ้าของแล้ว มิฉะนั้นเขาคงหาทางขอเฟิ่งชิงเฉินแต่งงาน ให้นางไปเป็นสะใภ้ตระกูลชุย

ผู้หญิงอย่างเฟิ่งชิงเฉินเหมาะที่จะใช้ชีวิตท่ามกลางกลอุบาย มีเพียงผู้หญิงเช่นนี้เท่านั้นที่จะสามารถเอาตัวรอดจากเล่ห์กลต่างๆได้ หรือไม่ก็ถึงขั้นสามารถแย่งชิงอำนาจได้……

เฟิ่งชิงเฉินกำมีดแน่นมาตลอด เจ้าเมืองเย่เฉิงร้อนใจยิ่งนัก เขาตั้งใจว่าจะเอ่ยปากให้คำมั่นกับเฟิ่งชิงเฉินว่า ขอเพียงเฟิ่งชิงเฉินวางมีด และรับปากที่จะช่วยรักษาเย่เย่ เจ้าเมืองเย่เฉิงก็พร้อมยอมทำทุกอย่างให้นางได้ แต่ซูหว่านก็ได้มาสะกิดแขนเสื้อเขา พร้อมกับกล่าวเตือนสติเบาๆว่า เสด็จอาเก้า!

เจ้าเมืองเย่เฉิงแววตาเป็นประกาย

จริงด้วย เขาลืมเสด็จอาเก้าไปได้อย่างไร เสด็จอาเก้ากังวลเรื่องความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉินยิ่งกว่าเขาเสียอีก เจ้าเมืองเย่เฉิงตั้งสติแล้วจึงกล่าวออกไปว่า “เสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินถือมีดไว้เช่นนั้นไม่ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ มันช่างเสี่ยงชีวิตเหลือเกิน เสด็จอาเก้าไม่ทรงห่วงนางหรือ?”

คิดแผนได้ไม่เลว แต่ก็น่าเสียดายที่เจ้าเมืองเย่เฉิงยังรู้จักเสด็จอาเก้าไม่ดีพอ เดิมทีเสด็จอาเก้าก็เป็นคนโหดเหี้ยม หากสามารถใช้บาดแผลของตัวเองไปแลกกับความตายของฝ่ายตรงข้ามได้ เขาก็พร้อมจะทำร้ายตัวเองในทันที

อีกอย่าง แม้เขาจะเป็นห่วงเฟิ่งชิงเฉิน แต่เขาเชื่อใจเฟิ่งชิงเฉิน และไม่มีทางไปพังแผนของนาง

“เจ้าเมืองเย่เฉิง ข้าเชื่อมั่นในตัวเฟิ่งชิงเฉิน นางรู้จักขอบเขตดี แล้วอีกอย่าง นางขัดพระราชบัญชาก็สมควรได้รับโทษอยู่แล้ว มีดเล่มนี้ก็ถือเสียว่าเป็นการสั่งสอนนางโทษฐานฝืนพระราชบัญชา หากชิงเฉินจะแทงก็แทงแรงๆไปเลยนะ” ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นห่วงนาง เสด็จอาเก้ายังตอกย้ำนางอีกด้วย

“ชิงเฉินเข้าใจแล้วเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินรับคำอย่างว่าง่าย

ตี๋ตงหมิงเบิกตาโพลง เขาจ้องมองเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินด้วยความสงสัย สองคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่นะ

เสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉินเป็นบ้ากันทั้งคู่ มิน่าล่ะถึงไปด้วยกันได้

เจ้าเมืองเย่เฉิงหัวฟัดหัวเหวี่ยงยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ยิ่งเขาหัวร้อนเท่าไร เฟิ่งชิงเฉินก็ยิ่งสะใจมากเท่านั้น

ในตอนนี้ ใครเอาจริงเอาจังคนนั้นเป็นฝ่ายแพ้ ยิ่งใส่ใจก็ยิ่งต้องชอกช้ำ

เจ้าเมืองเย่เฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อควบคุมการเต้นของหัวใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า “เสด็จอาเก้า กระหม่อมจำผิดเอง แม่นางเฟิ่งมิได้ขัดพระราชบัญชา กระหม่อมลืมบอกนางเรื่องพระราชบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

ณ จุดๆนี้เขาจำเป็นต้องถอยทัพ

“เจ้าเมืองเย่เฉิงพูดเช่นนี้ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง คุณชายสิบหก คุณชายหยุน พวกท่านได้ยินที่เจ้าเมืองเย่เฉิงพูดแล้วใช่หรือไม่ หากหลังจากนี้เจ้าเมืองเย่เฉิงพูดโยกโย้ ท่านทั้งสองจะต้องเป็นพยานให้ชิงเฉิน” หลังจากที่เสด็จอาเก้ามาถึง ชุยห้าวถิงและหยุนเซียวก็ไม่ค่อยมีบทบาท ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อบีบให้เจ้าเมืองเย่เฉิงจนมุม

ไม่ต้องมีบทบาทน่ะดีแล้ว เพราะเฟิ่งชิงเฉินร้ายกาจมาก

“พ่ะย่ะค่ะ” หยุนเซียวและชุยห้าวถิงรับคำ

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากช่วย แต่เป็นเพราะไม่มีช่องว่างให้พวกเขาเข้าไปช่วยต่างหาก

“ชิงเฉินขอขอบคุณคุณชายทั้งสองล่วงหน้าด้วย” เฟิ่งชิงเฉินเก็บมีดแล้วน้อมตัวลง

เอามีดมาจ่อตัวเองเล่นถือเป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดี หากเจ้าเมืองเย่เฉิงไม่บีบบังคับนาง นางก็คงไม่ใช้ไม้ตายที่สิ้นคิดเช่นนี้

เจ้าเมืองเย่เฉิงนั่งหน้าซีด

วันนี้เขาต้องเสียหน้าอย่างหนัก ผู้ที่มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าเมือง แต่กลับใช้วิธีที่สิ้นคิดมาข่มขู่หญิงสาว แถมยังทำไม่สำเร็จเสียด้วย เรื่องนี้รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น

“แม่นางเฟิ่ง รับสั่งจากฮ่องเต้ ตอนนี้เจ้าก็รับทราบแล้ว หากเจ้าไม่มีสิ่งใดติดขัด ก็เชิญไปที่สวนจิงชิว การช่วยคนก็เหมือนการดับเพลิง จะรีรอไม่ได้แล้ว” เจ้าเมืองเย่เฉิงกล่าวเสียงสั่นเครือ

วันนี้เขาทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ต้องทน

แม้จะไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ ไม่คิดว่าคุณชายสิบหกแห่งตระกูลชุยจะมาอยู่ที่นี่ และไม่คิดว่าเสด็จอาเก้าจะมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว หากไม่มีสองคนนี้มาขัดขวาง เขาคงเอาตัวเฟิ่งชิงเฉินไปได้ตั้งนานแล้ว

แต่ทว่า……สวรรค์คงจะโปรดปรานเฟิ่งชิงเฉินเป็นพิเศษ

“คุณหนูซูหว่านยอมคุกเข่าขอโทษชิงเฉินเมื่อไร ชิงเฉินก็จะไปสวนจิงชิวเมื่อนั้น” ดูหน้าเจ้าเมืองเย่เฉิงแล้ว หากจะให้เย่เย่มาคุกเข่าอีกคนคงจะยากเกินไป เอาทีละคนก็แล้วกัน

ก่อเรื่องไว้พร้อมกัน ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องชดใช้กรรมอยู่ดี เมื่อซูหว่านคุกเข่าแล้ว อีกไม่นานก็ต้องถึงคราวของเย่เย่

“แม่นางเฟิ่ง เจ้าอย่าข่มเหงคนอย่างเลือดเย็นเช่นนี้สิ การให้ซูหว่านคุกเข่ามันจะไม่มากเกินไปหรือ ตระกูลซูแห่งหนานหลิงก็เป็นตระกูลใหญ่ ตระกูลนี้มีทั้งฮองเฮา กุ้ยเฟย และฮูหยินของเจ้าเมืองเชียวนะ” เจ้าเมืองเย่เฉิงนึกไม่ถึงเลยว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินจะยังไม่ยอมผ่อนปรนแม้แต่น้อย

การให้ซูหว่านมาคุกเข่าต่อหน้าคนตระกูลชุยและตระกูลหยุน แล้วเมืองเย่เฉิงกับตระกูลซูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาไม่อาจยอมเสียหน้าได้

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้านะ การให้คุกเข่าขอโทษต่อหน้าคนมากมาย คำสั่งที่เลือดเย็นเช่นนี้เป็นความคิดของท่านเย่ ชิงเฉินก็แค่รับมือให้สอดคล้องเท่านั้นเอง แต่ถ้าหากเจ้าเมืองเย่เฉิงไม่ยินยอม ชิงเฉินก็ไม่ว่าอะไรค่ะ เสด็จอาเก้า ชิงเฉินรู้สึกไม่ค่อยสบายเลย ชิงเฉินทูลลาก่อนนะเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปโดยไม่รอให้เสด็จอาเก้าอนุญาต

“ซือสิง ช่วยข้าดูแลแขกด้วยล่ะ” เฟิ่งชิงเฉินไม่ลืมเรื่องมารยาท

“ขอรับ ท่านอาจารย์” ซุนซือสิงจากเดิมที่สีหน้าหมองมัว มาตอนนี้กลับยิ้มแก้มปริ

“บ้าบอชะมัด ดีนะที่ท่านพ่อยังไม่ได้ส่งคนมาสู่ขอ ผู้หญิงแบบนี้ขืนแต่งงานด้วย แตะต้องก็ไม่ได้ ดุด่าก็ไม่ได้ คงได้แต่มองนางเพียงอย่างเดียว” หยุนเซียวแอบบ่นอยู่ในใจ โดยหารู้ไม่ว่าคนตระกูลหยุนที่จะมาทาบทามเจ้าสาวได้ออกเดินทางมายังเมืองหลวงของตงหลิงแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินเดินออกไปแล้ว เสด็จอาเก้าก็ไม่กล่าวโทษนางที่ออกไปโดยไม่สนใจคนอื่นๆ คนอื่นๆก็ไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่านาง เจ้าเมืองเย่เฉิงคับแค้นใจจนอยากจะฆ่าคน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแววตาที่เย็นชาของเสด็จอาเก้า บวกกับคมดาบของเหล่าองครักษ์ เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย

เฟิ่งชิงเฉินเดินออกมาจนถึงประตูทรงโค้งแล้ว เมื่อเดินเลี้ยวด้านหน้าก็จะถึงลานกว้างกลางเรือน ในตอนนี้เอง ซูหว่านก็ลุกขึ้นแล้วร้องตะโกนไปทางเฟิ่งชิงเฉิน “เฟิ่งชิงเฉิน รอเดี๋ยว”

ซูหว่านมีท่าทางมุ่งมั่น ราวกับว่าเพิ่งตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

“คุณหนูซูหว่านมีธุระอะไรหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินหันหลังมาอย่างงามสง่า

ซูหว่านสูดหายใจเข้าปอด มือที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อกำลังกำหมัดแน่น “เฟิ่งชิงเฉิน ถ้าข้าคุกเข่าขอโทษเจ้าแล้ว ท่านพี่ของข้าก็จะไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

นางจำเป็นต้องคุกเข่า หากเย่เย่ต้องมาตายเพราะเรื่องนี้ นางเองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อให้เจ้าเมืองเย่เฉิงปล่อยนางไป แต่หลังจากนั้นก็คงไม่หยิบยื่นความช่วยเหลือใดๆให้นางอีก นางถูกตระกูลซูทอดทิ้งแล้ว จะให้สูญเสียแรงสนับสนุนจากเย่เย่อีกไม่ได้เด็ดขาด

ความอัปยศที่เฟิ่งชิงเฉินมอบให้นาง นางจะยอมรับมันเอง แล้วสักวันหนึ่ง นางจะเอาคืนอย่างสาสม

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ความคับแค้นใจของซูหว่าน เฟิ่งชิงเฉินมีหรือจะไม่รู้ ความรู้สึกนี้มันไม่ได้ต่างจากตอนที่นางคุกเข่าอ้อนวอนฮองเฮาเลย

เห็นๆอยู่ว่าคนตรงหน้ากำลังทำร้ายตนเอง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็จำยอมต้องคุกเข่าอ้อนวอนนาง ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำไปก็เพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตรอด

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องเห็นใจซูหว่าน ตอนนั้นนางถูกคนกลั่นแกล้ง แต่กรณีของซูหว่านคือก่อเรื่องขึ้นมาเอง มิหนำซ้ำจนถึงตอนนี้แล้ว ซูหว่านก็ยังจ้องหาโอกาสปองร้ายนางอยู่เช่นเคย

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร ให้ข้าคุกเข่าต่อหน้าเจ้ายังไม่พออีกหรือ? หรือว่าต้องให้ท่านพี่ของข้ามาคุกเข่าด้วยอีกคนล่ะ” ซูหว่านก็ยังเป็นซูหว่าน เมื่อต้องแบกรับกับความอัปยศ นางก็ยังอยากจะแผลงฤทธิ์ใส่เฟิ่งชิงเฉิน สร้างความบาดหมางกับเฟิ่งชิงเฉินต่อไป

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *