ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 434 งานชุมนุมวรรณกรรม (1)

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 434 งานชุมนุมวรรณกรรม (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 434 งานชุมนุมวรรณกรรม (1)

งานชุมนุมวรรณกรรมจัดขึ้นที่ริมทะเลสาบลู่ในเขตพระราชฐาน มีการปลูกศาลาพักร้อนอย่างง่ายที่ริมทะเลสาบ ซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรองรับผู้คนได้หลายร้อยคน

ดวงอาทิตย์ช่วงปลายฤดูร้อนยังคงร้อนแรง แต่ริมทะเลสาบกลับอากาศเย็นสบาย

เดิมทีราชวิทยาลัยหลวงเป็นผู้จัดงานชุมนุมวรรณกรรม และผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ก็คือบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวง

แต่เมื่อมีเผยหม่านซีโหลวผสมปนเปเข้ามา และสร้างกระแสเสียงใหญ่โตเช่นนี้ บุคคลที่เข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมก็แตกต่างออกไปทันที บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงยังคงสามารถเข้าร่วมได้ แต่เป็นเพียงรอบนอก ไม่สามารถเข้าไปในศาลาพักร้อน

งานชุมนุมวรรณกรรมจะจัดขึ้นตอนบ่าย เพราะเช่นนี้ ขุนนางทุกคนในราชสำนักจึงสามารถใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเพื่อพักผ่อน ก่อนที่จะเข้าร่วมงานที่ยิ่งใหญ่

เข้าใกล้เวลาบ่าย เหล่าบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงที่สวมชุดและมงกุฎนักปราชญ์ก็ถูกทหารรักษาพระองค์ที่สวมเกราะและอาวุธครบมือกีดกันอยู่บริเวณรอบๆ

“นี่คืองานชุมนุมวรรณกรรมที่ราชวิทยาลัยหลวงของพวกเราจัดขึ้น เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้พวกเราเข้าไป?”

“บทบาทระหว่างเจ้าบ้านและแขกจะสลับกันได้อย่างไร”

“ไม่เพียงแต่มีทหารรักษาวังควบคุมพื้นที่ แม้แต่โหรของสำนักโหราจารย์ก็มาด้วย ทั้งหมดก็เพื่อเตรียมตัวป้องกันไม่ให้ผู้มีเจตนาไม่ดีเข้ามาในงานชุมนุมวรรณกรรม หรือว่า…หรือว่าฝ่าบาทก็จะเสด็จเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมด้วยรึ?”

ขณะที่พูด รถม้าคนหนึ่งก็แล่นเข้ามา และหยุดลงที่สนามด้านนอกทะเลสาบลู่ คนที่ลงมาจากรถม้าคือผู้มีอำนาจและผู้บัญชาการทหารจำนวนหนึ่ง

เดิมทีพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานชุมนุมวรรณกรรม ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘ให้คำแนะนำตำราพิชัยสงคราม’ ต่างหาก

ไม่ใช่เพียงแต่พวกเขา ยังมีผู้หญิงในตระกูลและลูกหลานของพวกเขาอีกด้วย

“รีบดูเถิด ขุนนางชั้นสูงมาแล้ว เจ้ากรมหกชั้นศาล รองเจ้ากรม ปราชญ์มหาสำนักแห่งราชวัง…”

“ข้าคาดเดามาก่อนแล้วว่าจะมีคนใหญ่คนโตมา แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเยอะเช่นนี้ งานชุมนุมวรรณกรรม ทำไมเป็นเช่นนี้ไปล่ะ”

“เพื่อนรัก เจ้าไม่เข้าใจ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเป็นงานชุมนุมวรรณกรรม แต่เบื้องหลังของงานชุมนุมวรรณกรรม ว่ากันถึงแก่นแท้แล้วก็คือเรื่องการเจรจาต่อรอง ไม่มีเรื่องเล็กน้อยระหว่างสองประเทศ บรรดาขุนนางชั้นสูงมาเพื่อสร้างแรงกดดัน”

“ก็แค่คนป่าเถื่อน กล้ามาเจรจาถึงเมืองหลวง ช่างไม่รู้ความลึกของฟ้าดินเสียจริง ประเดี๋ยวมาดูกันว่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นจะสั่งสอนเขาอย่างไร”

หลังจากผู้บัญชาการทหาร คือขุนนางในราชสำนักระดับสามขึ้นไป อย่างเช่น เจ้ากรมอาญา เจ้ากรมทหาร และบรรดาปราชญ์มหาสำนักของพระราชวัง

ในหมู่ขุนนางบางส่วนก็พาผู้หญิงในตระกูลมาด้วย อย่างเช่น หวางซือมู่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง นางสวมชุดกระโปรงสตรีสีชมพูอ่อน แต่งหน้าอย่างประณีตและงดงามอย่างยิ่ง

“บุคคลสำคัญในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็มาด้วย น่าสนใจ บรรดาปัญญาชนกลุ่มนี้คือผู้มากความรู้ที่ไม่มีใครเทียบได้ ภายหลังพวกเขาจะจู่โจมกลุ่มของเผยหม่านซีโหลวอย่างแน่นอน…”

ดวงตาของบัณฑิตราชวิทยาลัยหลวงเปล่งประกายขึ้นมา

กลุ่มขุนนางหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวเข้ามาในสถานที่ด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง

สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน คือสถานที่ที่รวบรวมบัณฑิตหัวกะทิ ถึงแม้บุคคลสำคัญกลุ่มนี้จะไม่มีอำนาจอยู่ในมือ อายุก็ยังน้อย แต่พวกเขาคือหนึ่งในกลุ่มที่มีความรู้มากที่สุดของต้าฟ่ง

พวกเขาอยู่ในวัยหนุ่มที่มีระดับความจำ การรับรู้ และสติสัมปชัญญะสูงที่สุดในช่วงของชีวิต

มีพวกเขาเข้าร่วมงาน ความมั่นใจของบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

หลังจากบรรดาผู้สูงศักดิ์ของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินนั่งลงประจำที่นั่ง ก็สนทนากันเสียงเบา

“ข้าอ่านสารานุกรมเป่ยไจแล้ว นับว่ายังพอมีระดับอยู่บ้าง แต่ทว่า กลับมีเนื้อหาทั่วไปและไม่ละเอียด”

“สำหรับข้า ช่างไม่ละเอียดเอาเสียเลย แต่สำหรับบัณฑิตทุกคนใต้หล้า มันกลับลึกซึ้งมาก”

“บุคคลนี้เก่งจริงๆ หากเป็นสาขาเฉพาะด้าน ข้าก็ยังพอเอาชนะเขาได้ แต่พูดถึงความรู้ทั้งหมดที่ได้เรียนรู้มา ข้าสู้ไม่ได้จริงๆ”

“ใช่แล้ว หากพูดถึงตำราพิชัยสงคราม ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินของพวกเรา ไม่มีใครเหนือกว่าฉือจิ้วแล้วกระมัง”

ทันใดนั้น สายตากลุ่มหนึ่งก็จ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่งดงามราวกับภาพวาด

สวี่ซินเหนียนนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่สหายร่วมสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน บรรดาผู้เรืองอำนาจและขุนนางที่อยู่ไม่ไกลก็ได้ยินชื่อเสียงของเขา

นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว วิชาเอกของข้าคือตำราพิชัยสงคราม…ขณะที่เขากำลังจะพยักหน้า ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังออกมาจากกลุ่มผู้เรืองอำนาจ “คนที่เผยหม่านซีโหลวขอคำแนะนำคือปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่น อาจารย์คงไม่ด้อยไปกว่าบัณฑิตกระมัง”

สวี่ซินเหนียนรู้สึกโกรธเคืองเล็กน้อย จึงกล่าวเสียงดังว่า “นักปราชญ์กล่าวว่า การเรียนไม่เกี่ยวกับอายุ ผู้บรรลุเข้าใจก็เป็นอาจารย์ได้ ใครบอกว่าบัณฑิตไม่มีทางรู้ดีไปกว่าอาจารย์แน่นอน?”

ผู้เรืองอำนาจและผู้บัญชาการทหารต่างหัวเราะดังลั่น เมื่อรู้ว่าเขาคือญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน มีบางคนหัวเราะตามอำเภอใจและใบหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

สวี่ซินเหนียนคนนี้ก็ยังพอมีความรู้ แต่นอกจากใช้ปากด่าคนแล้ว ด้านอื่นๆ ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็ไม่นับว่าโดดเด่นอะไร

จู่ๆ เขาก็พูดว่าบัณฑิตสามารถเอาชนะอาจารย์ได้ ช่างน่าขันจริงๆ

เอ๋? ด่าคน?

บรรดาผู้เรืองอำนาจและผู้บัญชาการทหารที่ตอบโต้เมื่อสักครู่ ต่างก็หยุดหัวเราะอย่างทันทีทันใด

สวี่ซินเหนียนจิบชาหนึ่งอึก ก่อนจะลุกขึ้นอย่างสำรวม

สวี่ชีอันที่สวมชุดเกราะอ่อนและเหน็บดาบไว้ที่เอว ตามรถม้าของฮว๋ายชิ่งและหลินอันมายังสถานที่นี้ รถม้าหรูค่อยๆ จอดลงที่ข้างถนน ฮว๋ายชิ่งและยายตัวร้ายที่สวมชุดกงจวงแบบเรียบง่ายและชุดกระโปรงยาวสีแดงเพลิงลงมาจากรถม้าพร้อมๆ กัน

หลังจากนั้น พวกนางก็ทยอยยกมือขึ้นมาบังแสงแดดอันร้อนแรง หลังจากนั้นขันทีก็ถือเศวตฉัตรไปบังแดดให้องค์หญิงทั้งสองท่านอย่างรวดเร็ว

ยายตัวร้ายหันกลับมา พลางกวาดสายตามองฝูงชนครั้งหนึ่ง นัยน์ตาดอกท้อใสแป๋วมีความสับสนเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าสุนัขรับใช้เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นใครไปแล้ว

‘อำพรางตัวดีมากทีเดียว…’ ยายตัวร้ายรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะนางมักจะเห็นคำอธิบายอย่างเช่น ‘คนที่ชอบกันก็จะมีใจตรงกัน’ ในหนังสือบทละครพื้นเมือง

ทันทีที่องค์หญิงทั้งสองเข้ามาในสถานที่ ก็เห็นสวี่ซินเหนียนยืนแสดงความเห็นด้วยความกระตือรือร้นอยู่ข้างโต๊ะ ปากก็ด่าทอผู้เรืองอำนาจด้วยความโกรธ

บรรดาผู้เรืองอำนาจและผู้บัญชาการทหารโกรธจัด พูดกันทีละประโยคสองประโยครุมด่าสวี่ซินเหนียน ผู้ชายคนนั้นก็เหลือเกิน เขายังคงยืนหยัดอย่างกล้าหาญและยกประโยคอันเฉียบขาดขึ้นมาพูด

ผู้บัญชาการทหารจำนวนไม่น้อยเริ่มพับแขนเสื้อขึ้นแล้ว

ขุนนางผู้สูงศักดิ์ดื่มชา พลางดูฉากการแสดงที่อยู่เบื้องหน้าอย่างสบายๆ

ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว และกล่าวตำหนิว่า “กำเริบเสิบสานนัก!”

รูปลักษณ์เมื่อนางโกรธยังเต็มไปด้วยความสง่างาม ฮว๋ายชิ่งพยายามระงับอารมณ์อย่างขีดสุด ไม่เพียงแต่สวี่ซินเหนียนที่หยุดด่า แม้กระทั่งบรรดาผู้บัญชาการทหารระดับสูงที่คำรามด้วยความโกรธก็ยังยุติการวิพากษ์วิจารณ์

บรรดาขุนนางชั้นสูงและผู้เรืองอำนาจทยอยลุกขึ้น และโค้งคำนับ “ถวายบังคมองค์หญิงทั้งสองพ่ะย่ะค่ะ”

ฮว๋ายชิ่งพ่นลมหายใจด้วยความเย็นชา ก่อนจะพายายตัวร้าย และทหารรักษาพระองค์สองคนเข้าไปประจำที่นั่ง

สวี่ซินเหนียนจิบชาเพื่อเพิ่มความชุ่มคอ จากนั้นก็มองไปทางหวางซือมู่ตรงที่นั่งด้านซ้ายบน ซึ่งนางก็บังเอิญมองมาที่เขาเช่นกัน

เมื่อวานนี้ หวางซือมู่ตั้งใจไปหาเขาเป็นพิเศษ โดยหวังว่าเขาจะแสดงความสามารถในงานชุมนุมวรรณกรรมได้ เพื่อสร้างชื่อเสียงที่ดีและเพิ่มความน่าเชื่อถือของเขา

คุณหนูใหญ่ตระกูลหวางไม่ได้คาดหวังว่าสวี่เอ้อร์หลางจะพลิกสถานการณ์ในงานชุมนุมวรรณกรรมจนทุกคนต้องทึ่ง

เพราะการปรากฏตัวของจางเซิ่น ท่านจางคืออาจารย์ของสวี่เอ้อร์หลาง มีเขาลงสนามก็เพียงพอแล้ว

สวี่เอ้อร์หลางยิ้มให้นาง ยิ้มบางๆ เช่นเดียวกับหลังจากได้ยินเมื่อวานนี้

เวลานี้เอง บัณฑิตที่อยู่รอบนอก เหล่าทหารรักษาวังก็กล่าวตะโกนแสดงความเคารพขึ้นมา “ถวายบังคมองค์รัชทายาท องค์ชายสาม องค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ…”

ทุกคนในศาลาพักร้อนหันไปมองด้านข้าง เห็นองค์รัชทายาทกำลังประคองชายชราผมขาวและถือไม้เท้าคนหนึ่ง เดินไปตามทางที่ถูกล้อมรอบด้วยทหารรักษาวังตรงมายังศาลาพักร้อน

“มหาราชครู?”

ฮว๋ายชิ่งโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ

และยายตัวร้ายก็ก้มศีรษะคำนับโดยจิตใต้สำนึก นางถูกชายชราท่านนี้ตีมือตั้งแต่ยังเยาว์

มหาราชครูไม่ได้มุ่งเป้าไปที่หลินอัน แต่คนที่มหาราชครูมุ่งเป้าคือเหล่าบัณฑิตห่วยๆ

องค์รัชทายาทประคองมหาราชครูเข้าไปในศาลาพักร้อน

บรรดาขุนนางชั้นสูงยืนขึ้นทีละคน ก่อนจะโค้งคำนับแสดงความเคารพ

ในด้านของความอาวุโส ขุนนางทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนเป็นศิษย์น้องของมหาราชครู

สวี่ซินเหนียนแสดงความเคารพตามสหายร่วมงาน พลางพิจารณาชายชราที่ถูกองค์รัชทายาทประคองไว้ ถึงแม้เขาจะมีผมสีขาว แต่กลับยังคงอุดมสมบูรณ์ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ

ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยเหี่ยวย่น ผิวหนังหย่อนยาน ดวงตาก็ขุ่นเล็กน้อย แต่ภาพลักษณ์ของชายชราท่านนี้กลับมีเอกลักษณ์อย่างมาก

เขาจำได้ว่าเจ้าสำนักจ้าวโส่วเคยบอกว่า มหาราชครูคือปัญญาชนเพียงคนเดียวที่ปลูกฝังจิตวิญญาณอันซื่อตรงจนถึงทุกวันนี้

สามมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์นี้ล้วนมียศระดับหนึ่ง แต่กลับไม่มีอำนาจที่แท้จริง เดิมทีมหาราชครูถูกคาดหวังว่าจะได้เป็นผู้ควบคุมคณะขุนนาง เพียงแต่ตอนนั้นจักรพรรดิบำเพ็ญธรรม ไม่ดูแลจัดการการเมืองและกิจการของราชสำนัก มหาราชครูจึงหยิบไม้เรียวตีจักรพรรดิ เขาจึงถูกปิดกั้นหน้าที่การงาน หลังจากนั้น เขาก็ไม่มีวาสนาในความเจริญก้าวหน้าทางตำแหน่งราชการอีก และตั้งใจศึกษาหาวิชาความรู้อยู่ในวัง

‘คิดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งมหาราชครูก็ยังมา…’ สวี่ซินเหนียนกล่าวในใจ

มหาราชครูพ่นลมหายใจเย็น พลางกวาดสายตามองราชวิทยาลัยหลวง และกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าอยู่สันโดษมาหลายปี เพิ่งรู้ว่าราชวิทยาลัยหลวงแต่ละยุคยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ”

ใบหน้าและหูของบรรดาราชวิทยาลัยหลวงแดงก่ำ

ขุนนางชั้นสูงที่มาจากราชวิทยาลัยหลวงเช่นเดียวกันก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย

หน้าของราชสำนัก ก็คือหน้าของพวกเขา

ชายหนุ่มชาวอนารยชนคนหนึ่งส่องแสงโดดเด่นอยู่ในเมืองหลวง หากเป็นด้านศิลปะการต่อสู้ก็ไม่ใช่ประเด็นอะไร เดิมทีคนเผ่าอนารยชนคือนักรบที่หยาบคายและป่าเถื่อน แต่กลับมีชื่อเสียงเลื่องลือด้วยวิชาความรู้

ต้องรู้ว่า ความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์คือวัฒนธรรม คุณค่าอื่นใดหรือจะเทียบการศึกษาหาความรู้ด้วยการเรียนหนังสือได้

ลัทธิขงจื๊อเป็นระบบของเผ่ามนุษย์ในเมืองหลวง เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นความภาคภูมิใจของผู้คนนับไม่ถ้วน

เมื่อเห็นบรรยากาศค่อนข้างคุกรุ่น ฮว๋ายชิ่งก็ลุกขึ้นและผลักองค์รัชทายาทออกไปจากมหาราชครู นางประคองชายชราเข้าประจำที่นั่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “มหาราชครู เผยหม่านซีโหลวมีความสามารถอันน่าทึ่ง แค่โต้แย้งกันเกี่ยวกับสี่ตำราห้าคัมภีร์ ราชวิทยาลัยหลวงคงทำอะไรเขาไม่ได้กระมัง”

“คนที่มีความรู้กว้างขวางและเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้งนั้นหาได้ยาก แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป มีจางเซิ่นออกหน้า ข้าเดาว่าทุกอย่างมั่นใจได้” มหาราชครูตบหลังมือของฮว๋ายชิ่ง และยิ้มเล็กน้อย

“ถ้าพระองค์เป็นชาย คนเผ่าอนารยชนผู้นั้นคงไม่มีโอกาสโอ้อวดอำนาจในเมืองหลวงเป็นแน่”

ชายชรามาร่วมสนุกในครั้งนี้ก็เพราะไม่เชื่อในความชั่วร้าย ต้าฟ่งของข้ามีคนที่โดดเด่นและดาวรุ่งมากมาย จะไม่มีใครสามารถปราบคนเผ่าอนารยชนที่ศึกษาปราชญ์มาเพียงผิวเผินได้จริงๆ รึ?

เสียงหัวเราะผ่อนคลายเบาๆ ดังมาจากด้านนอกศาลาพักร้อน และกล่าวปฏิเสธว่า “นักปราชญ์กล่าวว่า การศึกษาไม่มีแบ่งชนชั้น จะสถานภาพสูงหรือต่ำก็ศึกษาได้ มหาราชครู คำก็พูดว่าคนอนารยชน สองคำก็พูดว่าคนอนารยชน ท่านได้รักษาคำสอนของนักปราชญ์ไว้ในใจหรือไม่?”

ที่ด้านนอกศาลาพักร้อน เผยหม่านซีโหลวที่มีผมสีขาวเต็มศีรษะ พร้อมกับหวงเซียนเอ๋อร์ผู้มีจริตอันงดงามของสตรี และชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตั้งแสนเย็นชา เดินเข้ามาในศาลาพักร้อนอย่างฮึกเหิม

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นเผ่าอื่น และเป็นแขก แต่กลับเดินด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับตนเองเป็นเจ้าของงานชุมนุมวรรณกรรมนี้

เขาไม่สนใจและไม่เคอะเขินบรรดาขุนนางชั้นสูง ผู้เรืองอำนาจและผู้บัญชาการทหารที่นั่งกันอยู่เต็มศาลาแม้แต่น้อย

บัณฑิตราชวิทยาลัยหลวง บุคคลสำคัญของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ขุนนางชั้นสูง ผู้เรืองอำนาจและผู้บัญชาการทหารที่อยู่ที่นั่น…จ้องมองเผยหม่านซีโหลวอย่างเงียบๆ เผ่าอนารยชนท่านนี้ที่มีความสามารถและความรู้อันน่าทึ่ง

ไม่มีใครตอบสนอง แต่กลับยืดหลังขึ้นอย่างเงียบๆ ด้วยท่าทีสงบราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวยง

“ข้าน้อยกลุ่มผมขาว บุตรชายคนโตแห่งเผยหม่าน เผยหม่านซีโหลว คำนับผู้ทรงเกียรติทุกท่าน!”

เผยหม่านซีโหลวใช้ความรู้ของตัวเองสร้างภาพลักษณ์ของปัญญาชนที่น่าทึ่งท่านหนึ่ง เขาได้บรรลุเป้าหมายของเขาแล้ว

งานชุมนุมวรรณกรรมคราวนี้ เขาตั้งใจที่จะผลักดันชื่อเสียงของเขาให้กลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปูทางสำหรับการเจรจาครั้งต่อไป

จวนสกุลสวี่

ฉู่หยวนเจิ่นนั่งถือแก้วสุราอยู่ที่โต๊ะหินในลานบ้าน โดยมีลี่น่า หลี่เมี่ยวเจิน และสวี่หลิงอินนั่งอยู่ข้างๆ เขา

“ทำไมเขาถึงเข้าไปในเขตพระราชฐานได้? เขาไปทำอะไร? ไม่กลัวจักรพรรดิหยวนจิ่งจับตัดหัวรึ?” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยความฉุนเฉียว

เขาจ้องงานชุมนุมวรรณกรรมตาเป็นมัน ในฐานะนักดาบที่มาจากปัญญาชน และยังเคยได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบจอหงวน งานชุมนุมวรรณกรรมที่มีการต่อสู้อย่างดุเดือดเช่นนี้ ย่อมล่อลวงความรู้สึกของฉู่หยวนเจิ่นได้เป็นอย่างดี

แต่เขาไม่สามารถเข้าไปในเขตพระราชฐานได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปรากฏตัวในงานชุมนุมวรรณกรรมต่อหน้าทุกคน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสวี่ชีอันคนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยเขาตั้งแต่แรก ก็คงไม่เกิดเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้

เป็นเพราะมาหาเขาและดื่มเหล้า พลางบ่นเล็กน้อย

คิดไม่ถึงว่าผู้ริเริ่มกลับกลายเป็นเขาเสียเอง

จิตใจของฉู่หยวนเจิ่นทั้งเปรี้ยวทั้งขมราวกับมะนาว

“ข้าก็อยากไป”

สวี่หลิงอินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

“งานชุมนุมวรรณกรรม เป็นงานที่กลุ่มปัญญาชนเอาแต่พูดคุยเรื่องน่าเบื่อ เจ้าไม่อยากไปหรอก สถานที่เช่นนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับอาจารย์และศิษย์อย่างพวกเรา สู้อยู่บ้านกินขนม ดื่มเหล้าข้าวเหนียวหวานๆ ดีกว่า”

ลี่น่าถือโอกาสอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ นางรู้ใจตนเองมาก และหวังว่าลูกศิษย์ก็จะค่อยๆ รู้ใจตนเองขึ้นมา

“ท่านอาจารย์ งานชุมนุมวรรณกรรมมีของอร่อยมากมาย คราวที่แล้วนักบวชทะเลาะกับหม้อต้ม ข้าเดินตามลุงคนหนึ่งไป ได้กินของอร่อยมากมายเลย”

สวี่หลิงอินใช้ไพ่ไม้ตายใบสุดท้าย

“โอ้ จริงด้วย ทำไมข้าคิดไม่ถึงนะ งานชุมนุมวรรณกรรมมีอาหารและเครื่องดื่มรสเลิศมากมาย” ดวงตาของลี่น่าเป็นประกาย

ช่างปลิ้นปล้อนนัก…

ฉู่หยวนเจิ่นลูบศีรษะสวี่หลิงอิน และคิดว่าสาวน้อยโง่คนนี้ช่างน่ารักนัก หลังจากนั้นก็นึกถึงกวดวิชาฝันร้ายที่สำนักอวิ๋นลู่วันนั้น

เขาชักมือกลับอย่างเงียบๆ

หลี่เมี่ยวเจินกล่าวว่า “ระยะนี้คนเผ่าอนารยชนนั่นหยิ่งยโสมาก ข้าเห็นแล้วขัดหูขัดตา อดคิดจะแทงเขาไม่ได้จริงๆ”

เห็นใครแล้วไม่สบายก็เอาแต่ละแทง เจ้าเป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์จริงๆ รึ…ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกว่าหลี่เมี่ยวเจินคือผู้ที่มีจุดบกพร่องมากที่สุดในพรรคฟ้าดิน

หมายเลขหนึ่งไม่ระบุตัวตน หมายเลขสามคือสุภาพชนผู้ซื่อตรงสวี่ฉือจิ้ว หมายเลขหกคือเหิงหย่วนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น หมายเลขห้าคือลี่น่า ที่ถึงแม้จะไม่ฉลาด ชอบกิน แต่ก็ไม่มีข้อบกพร่องที่ทำให้คนอยาก ‘โพล่งความในใจออกมา’

หมายเลขเจ็ดและหมายเลขแปด ‘หายตัวไป’ หลายปีแล้ว

หมายเลขเก้านักบวชเต๋าจินเหลียน ผู้มีจิตใจอ่อนโยน และเป็นผู้อาวุโสที่คนให้ความเคารพนับถือ เขาบำเพ็ญบุญกุศล ควรค่าแก่การได้รับการยกย่อง และก็ไม่มีนิสัยที่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร

มีเพียงหลี่เหมี่ยวเจินเท่านั้น ที่ทำให้ผู้อื่นหมดหนทางมากที่สุด นางคือเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ ด้วยนิสัยเดิมที่เงียบขรึมและสงบเยือกเย็น เป็นผลให้นางลงเขามาฝึกฝนเป็นเวลาสองปี และกลายเป็นผู้มีจิตใจเพื่อสาธารณชนอย่างแท้จริง เป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินที่กำจัดความชั่วร้าย

“ปัญญาชนของราชวิทยาลัยหลวงสุดจะทนเช่นนี้ ยังต้องอาศัยปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่มาจัดการเขา” หลี่เมี่ยวเจินกล่าว

ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “จางเซิ่น ผู้เขียนหนังสือกลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการได้งดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ มีเขาออกหน้า งั้นคนเผ่าอนารยชนก็คงหยิ่งยโสได้ไม่นาน อย่างไรก็ตาม บุคคลนี้สามารถเขียนสารานุกรมเป่ยไจได้ ซึ่งมันเพียงพอที่จะก่อตั้งนิกายที่น่านับถือ และกลายสำนักปรัชญาของขงจื๊อที่มีชื่อเสียงรุ่นหนึ่ง”

หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว นางฟังออกว่าฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้มองจางเซิ่นในแง่ดี จึงกล่าวว่า “คนเผ่าอนารยชนรุนแรงขนาดนั้นเลยรึ?”

ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้า

“หากเปรียบเทียบด้านบทกวี สวี่หนิงเยี่ยนก็น่าจะเก่งกว่ากระมัง” หลี่เมี่ยวเจินถามอย่างระมัดระวัง

ฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะเยาะ

หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วกล่าวว่า “ยังเป็นรองอยู่อีกรึ?”

ฉู่หยวนเจิ่นส่ายศีรษะ “ไม่ พรสวรรค์ด้านกวีของสวี่หนิงเยี่ยนนั้นหาได้ยาก แต่งานชุมนุมวรรณกรรมไม่ใช่งานแข่งขันกวีนิพนธ์ หรือพูดอีกอย่างว่า สวี่หนิงเยี่ยนไม่สามารถควบคุมอะไรได้”

ในตลาด

แม้ว่าประชาชนทั่วไปจะไม่สามารถเข้าไปในเขตพระราชฐานได้ แต่พวกเขาก็มีการสนทนาเกี่ยวกับงานชุมนุมวรรณกรรมกันยกใหญ่ และตั้งหน้าตั้งตารอดูผลลัพธ์

แม้แต่พ่อค้าเร่ที่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ในขณะที่กำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านแผงลอย ก็ยังได้ยินโต๊ะถัดไปพูดคุยเกี่ยวกับงานชุมนุมวรรณกรรมอย่างเร่าร้อน

“นี่ทำให้ข้านึกถึงพิธีต้าวฮวดเมื่อปีที่แล้ว เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและเป็นที่ฮือฮามาก ในที่สุด ฆ้องเงินสวี่ของพวกเราก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ เพื่อพลิกสถานการณ์ที่ปั่นป่วน” พ่อค้าหาบเร่ที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งกล่าวเสียงดัง พลางคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวกินไปด้วย

“งานชุมนุมวรรณกรรมไม่ใช่พิธีต้าวฮวด น่าเสียดายที่ฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่ปัญญาชน เขาคงช่วยไม่ได้” สหายของเขาตอบกลับด้วยความเสียดาย

เจ้าของแผงขายก๋วยเตี๋ยวเปิดฝาหม้อและเทเส้นลงไป พลางตอบกลับด้วยความขุ่นเคืองใจ “ปัญญาชนของราชวิทยาลัยหลวงใช้ไม่ได้จริงๆ พ่ายแพ้ให้กับพวกป่าเถื่อนตามคาด ข้าล่ะอายแทนพวกเขา”

แขกโต๊ะอื่นอดที่จะพูดไม่ได้ “ถ้าฆ้องเงินสวี่เป็นปัญญาชนก็คงจะดี”

ในสายตาของคนทั่วไป ฆ้องเงินสวี่คือวีรบุรุษที่ทำทุกอย่างให้เป็นไปได้ คือบุคคลในตำนานของต้าฟ่ง คือใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ที่มีมโนธรรมอย่างแท้จริง

ดังนั้น คนที่ศรัทธาเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตาจึงคิดว่าไม่มีอะไรที่ฆ้องเงินสวี่ทำไม่ได้ แต่สติสัมปชัญญะก็บอกพวกเขาว่า ฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่ปัญญาชน วิชาความรู้ย่อมเทียบพวกคนเผ่าอนารยชนไม่ได้แน่นอน

ด้วยเหตุนี้ จึงทำได้เพียงทอดถอนใจด้วยความเศร้า ถ้าฆ้องเงินสวี่เป็นปัญญาชนก็คงจะดีไม่น้อย

เจ้าของแผงขายก๋วยเตี๋ยวยกชามก๋วยเตี๋ยวไปให้แขก พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แต่คนเผ่าอนารยชนนั่น จู่ๆ ก็กล้าท้าทายปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่ ช่างไม่รู้ความลึกของฟ้าดินเสียจริง”

แขกทุกคนต่างพากันหัวเราะขึ้นมา

พระราชวัง ในห้องบรรทม

จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าอยู่บนตั่งด้วยท่าทีเกียจคร้าน เสียงฝีเท้าดังแว่วเข้ามา ขันทีชราเดินกลับมา พลางกล่าวเสียงเบาว่า

“มีข่าวจากทางด้านงานชุมนุมวรรณกรรมพ่ะย่ะค่ะ เผยหม่านซีโหลวและบรรดาใต้เท้าของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินพูดคุยกันเรื่องความหมายของพระคัมภีร์ เสนอแนะนโยบายแก้ไขปัญหา ความเป็นอยู่ของประชาชน การทำเกษตรกรรม และประวัติศาสตร์…อย่างไม่ยอมให้ใครดีเด่นไปกว่าใครพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ยอมให้ใครดีเด่นไปกว่าใคร ก็คือการไม่ไว้หน้าต้าฟ่งของข้า” จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ

เมื่อขันทีชราเห็นการแสดงออกเช่นนี้ของจักรพรรดิ ก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังไม่พอใจอย่างแน่นอน

ว่ากันจนถึงแก่นแท้แล้ว เผยหม่านซีโหลวแสดงบารมีของตนเองเช่นนี้ คนที่เสียหน้ามากที่สุดคือราชาของประเทศ

“มีการพูดถึงบทกวีหรือไม่?” จู่ๆ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ขันทีชราส่ายศีรษะ

“เขากลับประเมินตนเองได้ถูกต้อง” จักรพรรดิหยวนจิ่งหัวเราะเย้ยหยัน ในขณะที่เสียงหัวเราะเพิ่งดังขึ้น จู่ๆ สีหน้าของเขาก็กลับมาเคร่งขรึม และพ่นลมหายใจด้วยความเยือกเย็น

หลังจากนั้นชั่วครู่ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็กล่าวว่า “จางเซิ่นยังไม่มารึ?”

ขันทีชราก้มศีรษะลง “ท่านจางยังไม่มาพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าช้าๆ “ข้าไม่รีบร้อน การชุมนุมวรรณกรรมยังไม่เข้าประเด็นหลัก แม้ว่าปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่จะน่ารังเกียจ แต่ทางด้านวิชาการก็ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังมาตั้งแต่ไหนแต่ไร”

ท่าทางของเขาค่อนข้างผ่อนคลาย

ประเด็นหลักของงานชุมนุมวรรณกรรมคืออะไร?

คือสงคราม สงครามที่เกิดขึ้นที่แดนเหนือ

บัณฑิตคนหนึ่งในบรรดาตัวแทนของราชวิทยาลัยหลวงยืนขึ้น ก่อนจะแสดงความคิดเห็นด้วยความแค้นเคือง

“เผ่าอนารยชนก่อกวนชายแดนมาโดยตลอด ฆ่าฟันประชาชนต้าฟ่งของข้า ทำให้เกิดภัยพิบัติเป็นวงกว้าง แต่ตอนนี้ถูกจิ้งกั๋วทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือย่ำยี จึงมาขอความช่วยเหลือจากต้าฟ่งอย่างไร้ยางอาย”

“เผ่าอนารยชนก็คือเผ่าอนารยชน ไร้ยางอาย”

บัณฑิตราชวิทยาลัยหลวงที่อยู่รอบนอกทยอยตอบสนองด้วยการดุด่าคนเผ่าอนารยชนว่า “ไร้ยางอาย”

หวงเซียนเอ๋อร์ยิ้มหวาน พลางยกมือขึ้นไปบิดจอนผม

ชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาในแนวตั้งโกรธจัด พลางกวาดสายตามองบัณฑิตคนนั้น และพยายามระงับความกระหายเลือดที่โหดเหี้ยมตามธรรมชาติของงูไว้อย่างที่สุด

สีหน้าของเผยหม่านซีโหลวไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “สำนักพ่อมดวางตัวเป็นใหญ่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจิ่วโจว ถัดจากต้าฟ่งมีเพียงดินแดนสามรัฐ ด้วยจำนวนประชากรและกองกำลังทหารของต้าฟ่ง ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรและกำลังคนจำนวนมาก ถึงจะสามารถปิดกั้นพวกเขาอยู่ที่ด้านนอกทั้งสามรัฐได้”

เขาหยุดชะงักเล็กน้อย เห็นบรรดาขุนนางชั้นสูงและผู้บัญชาการทหารแสดงท่าทียอมรับ จึงกล่าวต่อไปว่า “แต่หากอาณาเขตทางเหนือถูกสำนักพ่อมดครอบครอง ทหารม้าทางใต้ของจิ้งกั๋วก็สามารถวิ่งเข้าไปเสริมกำลังในเมืองหลวงได้ คังกั๋วและเหยียนกั๋วจะโจมตีจากทางตะวันออกอีกครั้ง และร่วมมือกันจากระยะไกล ต้าฟ่งไม่ตกอยู่ในอันตรายรึ อย่างที่ทุกคนทราบกันดี แดนเหนือมีทุ่งหญ้าทอดตัวยาวเหยียดไม่สิ้นสุด หากจิ้งกั๋วได้อาณาเขตทางเหนือ ก็จะสามารถเลี้ยงทหารม้าได้มากขึ้น พอถึงเวลานั้น แม้ว่าต้าฟ่งจะมีปืนใหญ่หน้าไม้ ก็ไม่สามารถหยุดกลุ่มนักสู้ ‘ไร้เทียมทาน’ บนบกเหล่านี้ได้ ดังนั้น ต้าฟ่งส่งกองกำลังออกไป ไม่ใช่เพื่อช่วยเผ่าเทพของข้า แต่กำลังช่วยตนเอง เผ่าเทพของข้าขยายตัวยาก ประชากรก็มีจำนวนน้อย ถึงแม้จะรบกวนชายแดนบ้างเป็นบางครั้ง แต่กลับไม่มีกองกำลังทหารทางใต้ จึงมีข้อจำกัดในการคุกคามต้าฟ่ง แต่สำนักพ่อมดนั้นไม่เหมือนกัน”

ไม่มีใครคัดค้าน

บัณฑิตหัวกะทิของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวง แม้แต่ขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก ทั้งหมดล้วนยอมรับข้อสังเกตของเขา

ตะวันออกเฉียงเหนือที่ควบคุมโดยสำนักพ่อมด มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งสามารถล่าสัตว์และทำการเกษตรได้ ทางด้านอารยธรรมการเกษตร ประชากรยังเจริญรุ่งเรืองที่สุดอีกด้วย

เมื่อเทียบกับต้าฟ่ง จำนวนประชากรของสำนักพ่อมดยังห่างไกลมาก นั่นก็เพราะพื้นที่ของพวกเขามีจำกัด

หากอาณาเขตแดนเหนือตกไปอยู่ในมือของสำนักพ่อมด และย้ายถิ่นฐานคนบางส่วนไปแดนเหนือ ไม่เกินยี่สิบปี คนของสำนักพ่อมดจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า

เผยหม่านซีโหลวกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ถึงเวลานั้น เผ่าเทพของข้าในตอนนี้ จะเป็นอนาคตของต้าฟ่ง”

สวี่ซินเหนียนยืนดูอย่างเงียบๆ

พวกโง่กลุ่มนี้ถูกอีกฝ่ายเริ่มควบคุมโดยไม่รู้ตัว เรื่องที่พวกเจ้าต้องหารือ ควรเป็นเรื่องขอเบี้ยพนันไม่ใช่รึ จะหารือถึงความจำเป็นในการเคลื่อนกำลังพลทำไมกัน ยังไงก็ต้องเคลื่อนกองกำลังอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว…

เฮ้อ หารือเรื่องเบี้ยพนันเป็นเหมือนเรื่องที่ต้องทำบนโต๊ะเจรจา เป็นเรื่องของขุนนางชั้นสูง ไม่เหมาะสมที่จะพูดในเวลานี้จริงๆ

………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด