เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชบทที่ 247 หากเสด็จพี่ไม่ขาย ให้ทุกท่านมาหาข้า

Now you are reading เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช Chapter บทที่ 247 หากเสด็จพี่ไม่ขาย ให้ทุกท่านมาหาข้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 247 หากเสด็จพี่ไม่ขาย ให้ทุกท่านมาหาข้า

บทที่ 247 หากเสด็จพี่ไม่ขาย ให้ทุกท่านมาหาข้า

ทันทีที่เสี่ยวเป่าถูกพี่ชายอุ้มออกมานอกกระโจม นางก็กวาดตามองทิวทัศน์สีขาวละลานตา

“งดงามมากเลยเพคะ”

แม้อากาศจะหนาว แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการชื่นชมทิวทัศน์หิมะในฤดูหนาวของนาง

“ท่านพี่รีบปล่อยเสี่ยวเป่าลงเร็วเข้า เสี่ยวเป่าอยากเหยียบหิมะ!”

ทันทีที่นางถูกปล่อยตัวลงพื้น รองเท้าสีขาวคู่เล็กก็เหยียบย่ำผืนหิมะ ทิ้งรอยเท้าไว้ดูต่างหน้า

เจ้าจิ้งจอกน้อยหงหงกระโดดลงมาเหยียบหิมะข้าง ๆ นาง ทิ้งรอยเท้าจิ๋วราวกับดอกเหมยไว้ ดูน่ารักไม่หยอก

ดูเหมือนเด็กน้อยทั้งสองจะกำลังแข่งขันกันทิ้งรอยเท้าไว้บนหิมะสีขาว เดินทิ้งรอยเท้าเคียงคู่กันไปเป็นแนวยาวไม่มีใครยอมใคร

คราแรกที่ออกจากกระโจมพลันรู้สึกหนาวอยู่ไม่น้อย ทว่าหลังจากวิ่งได้สักพัก นางเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว ใบหน้าขาวแดงระเรื่อ เริ่มมีเหงื่อบนจมูก

เสียงหัวเราะสดใสดังกังวานอยู่นาน

“ไปกันได้แล้ว”

เสียงเรียกจากหนานกงฉีโม่ เสี่ยวเป่ารีบอุ้มหงหงวิ่งกลับมาพร้อมเสียงหอบ

หนานกงฉีโม่อุ้มเด็กน้อยขึ้นมา “เล่นพอแล้วหรือ”

เสี่ยวเป่าส่ายหัว “ยังไม่พอ เสี่ยวเป่าอยากปั้นมนุษย์หิมะด้วย”

“ไม่ได้ เกิดมือถูกหิมะกัดขึ้นมาจะทำอย่างไร”

เสี่ยวเป่ากะพริบตา ๆ “เสี่ยวเป่าสวมถุงมืออยู่”

“กลับไปกินข้าวกันก่อน”

“เพคะ”

นางลูบท้องพลางพยักหน้า ถึงเวลาอาหารแล้ว นางเองก็หิวเช่นกัน

“ท่านพ่อ ๆ เสี่ยวเป่ากลับมาแล้ว”

เมื่อเห็นหนานกงสือเยวียนนั่งประจำที่โต๊ะอาหารในกระโจม เสี่ยวเป่ารีบโบกมือเล็ก ๆ ให้เขาอย่างร่าเริง

ในเวลานี้หนานกงสือเยวียนสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างบาง เสื้อคลุมก็ถูกถอดออกแล้ว เขานั่งตัวตรงบนเก้าอี้ โดยมีหนานกงจ้านนั่งหลังตรงอยู่ข้าง ๆ ขณะที่หนานกงหลีเอนกายพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย ๆ พยายามรวบชายแขนขึ้นลวก ๆ ส่วนพัดคู่ใจก็ห้อยอยู่ที่เอว ซ้ำยังปิดหาวอีกหนึ่งที

พอเห็นว่าเสี่ยวเป่ากลับมาแล้ว เขาจึงรีบนั่งตัวตรงและแอบสื่อสารบางอย่างทางสายตา หมายจะเรียกให้เสี่ยวเป่าวิ่งมาหาตน ทว่าจู่ ๆ ก็มีสายตาวาววับจากเสด็จพี่ส่งตรงมาทางเขา เขาจึงต้องยอมแพ้ไปในที่สุด

เสี่ยวเป่าวิ่งไปกอดท่านพ่อของตน “ท่านพ่อรีบส่วมเสื้อคลุมเร็วเพคะ อากาศหนาวมากเลยนะ”

คนก็ตัวเล็กนิดเดียว แต่รู้จักเอาใจใส่ท่านพ่อถึงเพียงนี้

หนานกงสือเยวียน “ไม่หนาว”

เสี่ยวเป่าลองสัมผัสมือเขาดู ปรากฏว่ามันอุ่น ไม่เย็นอย่างที่คิด

“กินข้าวกันเถิด”

“อืม”

เสี่ยวเป่ากระโดดลงจากตักท่านพ่อแล้วปีนขึ้นไปนั่งประจำที่ของตน พลางกวาดตามองอาหารอันโอชะบนโต๊ะตาเป็นมัน

เหล่าองค์ชายค่อย ๆ นั่งลงทีละคนสองคน ระหว่างมื้ออาหารนั้นเสียงเงียบลงเล็กน้อย ทุกคนรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารอย่างเคร่งครัด

ยกเว้นเสี่ยวเป่า

“จานนี้ของโปรดท่านพ่อ กินอันนี้ด้วยเพคะ”

“พี่ใหญ่ชอบกินปลา กินให้เยอะหน่อยนะเพคะ”

“พี่รอง พี่ห้า พี่แปด พวกท่านห้ามเลือกกิน กินผักด้วยเพคะ!”

พูดจบก็ใช้ตะเกียบคีบผักวางในชามพวกเขา “กินเยอะ ๆ สุขภาพแข็งแรง!”

สามคนนั้น “…”

พวกเขาไม่ชอบกินผักเป็นที่สุด

เสี่ยวเป่าเป็นเหมือนผึ้งที่ขยันขันแข็งคอยดูแลญาติพี่น้องทุกคน

เสี่ยวเป่าเดินวนรอบโต๊ะอาหาร ในที่สุดก็ถูกท่านพ่อจับที่หลังคอให้นั่งลง

“เจ้ากินของตัวเองไปเถิด พวกเขามีมือเหมือนกันหมด”

เสี่ยวเป่าผู้ชาญฉลาด “เสี่ยวเป่าเดินไปรอบ ๆ โต๊ะ จะได้กินอาหารได้มากขึ้น”

คนเยอะ โต๊ะจึงต้องใหญ่หน่อย นางแขนขาสั้น จึงเอื้อมไม่ถึงอาหารบางจาน พลันบังเกิดความคิดที่ชาญฉลาดนี้ขึ้น ด้วยการเดินรอบโต๊ะเพื่อคีบอาหารให้ท่านอาและพี่ชาย ในขณะเดียวกันนางก็กินไปไม่น้อยเลย

นางอดไม่ได้ที่จะยกย่องสมองน้อย ๆ ที่ชาญฉลาดของตนเอง

หนานกงสือเยวียน “…”

คนทั้งหลายที่กำลังสะเทือนใจ “…”

ที่แท้พวกเขาก็เข้าใจผิดคิดเข้าข้างตนเองว่านางห่วงใย!

อันที่จริงแล้ว ตลอดมื้ออาหารจะมีนางกำนัลและขันทีในวังคอยอำนวยความสะดวกให้อยู่แล้ว เพียงแต่เสี่ยวเป่าชอบกินด้วยตนเอง

หลังมื้อเช้าผ่านไป หนานกงสือเยวียนก็พาพวกเขาไปพบปะราชทูตจากต่างแดน

เรื่องที่ราชทูตจากหนานจ้าวหนีออกจากคุกเมื่อคืนนี้ มีบางคนรู้อยู่ก่อนแล้ว

แม้ยามนี้พวกเขาจะพำนักอยู่ที่เขาไป่สิง แต่ก็ไม่ลืมที่จะทิ้งสายลับมากมายไว้ที่เมืองหลวงของต้าเซี่ย

คราแรกที่พวกเขาได้พบกับฮ่องเต้ต้าเซี่ย เท่าที่พวกเขาสังเกตเห็นได้ก็คือคนผู้นี้มีสีหน้าแววตาเย็นชาไร้อารมณ์สิ้นดี

น่าเสียดายที่เขาควบคุมสีหน้าของตนได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ในเวลาอื่นเขาล้วนมีสีหน้าเย็นชา ไร้การแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดในจิตใจ ยกเว้นก็เพียงแต่ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงน้อย นอกนั้นพวกเขาล้วนไม่เคยมองออก!

สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถคาดเดาคนผู้นี้ได้จากทางสีหน้า!

ราชทูตผู้หนึ่งถึงกับอดพูดหยั่งเชิงไม่ได้ว่า “ได้ยินมาว่าเมื่อคืนนี้เมืองหลวงเกิดเรื่องขึ้น”

หนานกงหลีลืมตาแล้วหันมองไปทางต้นเสียง “ผู้ใดมาบอกเล่า ช่างส่งข่าวได้รวดเร็วทันใจเสียจริง”

น้ำเสียงประชดประชันทำให้ราชทูตผู้นั้นถึงกับสำลักน้ำลาย จะให้บอกได้อย่างไรว่าแอบส่งสายลับเข้าไปในเมืองหลวงของพวกท่าน

ถึงเรื่องนี้ทุกคนจะรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ผู้ใดจะโง่เขลาถึงขั้นป่าวประกาศสิ่งที่ตนทำต่อหน้าธารกํานัล

ด้วยหัวข้อสนทนานี้ถึงได้ถูกหนานกงหลีไล่ต้อนจนเกือบจนมุม ทุกคนหัวเราะเจื่อน ๆ เรื่องตลกก็คือ หากจะแข่งขันเรื่องฝีปากกับเซียวเหยาอ๋อง จากไม่ป่วยก็คงได้คับแค้นใจจนป่วยเข้าจริง ๆ

คนผู้หนึ่งจึงรีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่ไม่รู้ว่ามาลงที่เรื่องเหล้าได้อย่างไร คนที่เหลือถึงกับหูผึ่ง

ไม่มีวันที่พวกเขาจะลืมเหล้านี้ไปได้ ยิ่งในฤดูหนาวเช่นนี้ หากได้ร่ำสุรากับสหาย จิบชาในสวน เพลิดเพลินกับดอกเหมยและเล่นหมากล้อม คงเบิกบานสำราญใจเป็นอย่างยิ่ง

อีกทั้งหากสามารถนำเหล้าองุ่นและเหล้าลูกพลับกลับไปด้วย ถึงตอนนั้นก็นำออกมารินต่อหน้าสหายทั้งหลาย เหล้าที่มีสีสวยสดงดงาม กลิ่นหอมเย้ายวนชวนหลงใหลนี้ สหายทั้งหลายจะต้องเข้ามารายล้อมเขาเพื่อกล่าวคำชมเชยอย่างแน่นอน คงจะรู้สึกดีมากเลยทีเดียว!

ความจริงแล้วหาได้มีเพียงสตรีเท่านั้นที่ชอบโอ้อวด บุรุษก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน

น่าเสียดายที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยไม่มีวี่แววว่าจะใจอ่อน ยอมแบ่งขายให้พวกเขาอีกเหมือนเคย

จนกระทั่งหนานกงสือเยวียนจากไป เซียวเหยาอ๋องจึงได้ปล่อยข่าวที่พวกเขาทั้งหมดจะต้องประหลาดใจ

“หากเสด็จพี่ไม่ขาย ให้ทุกท่านมาหาข้า!”

หนานกงหลียกยิ้มมุมปากพลางโบกพัดเบา ๆ ในสภาพอากาศเช่นนี้ จุดประสงค์หลักของการถือพัดไว้ในมือก็คือการอวดบารมีเท่านั้น หากพัดจริง ๆ ละก็ คงได้หนาวตายแน่นอน

พอได้ยินคำพูดเขา ดวงตาของทุกคนพลันเปล่งประกายแห่งความหวังทันที คนทั้งหลายรีบเข้ามาห้อมล้อมหนานกงหลีราวกับแมวได้กลิ่นปลาย่าง

“เซียวเหยาอ๋อง ท่านมีหรือ”

“เซียวเหยาอ๋อง ท่านมีเหล้านี้จริง ๆ หรือ มีเท่าใดพวกเราชาวซยงหนูขอซื้อทั้งหมด!”

“หลีกไป! ชาวซยงหนูอย่างพวกเจ้าหยุดคิดจะฮุบไว้คนเดียวบ้างจะได้หรือไม่”

สมควรโดนตบจริง ๆ!

“แน่จริงก็มาสู้กันสักตั้ง เหล้าดีคู่ควรกับลูกผู้ชายตัวจริงเท่านั้น!”

หลายคนมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ในเวลาเช่นนี้ผู้ใดเขาจะใช้กำลังตัดสินกัน พวกซยงหนูตัวโตแต่ไร้สมอง สมกับเป็นคนป่าเถื่อน!

“เซียวเหยาอ๋อง ขอเพียงท่านยอมขายเหล้านี้ ราคาเท่าใดเราชาวเยว่หลีก็จะซื้อ!”

เซียวเหยาอ๋องถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย แต่ยังคงมีท่าทีใจเย็น “รีบร้อนไปไย หลานสาวตัวน้อยของข้าหมักเหล้านี้ไว้ตั้งสิบถัง ส่วนใหญ่อยู่ที่เสด็จพี่ แต่หลานสาวตัวน้อยเป็นเด็กกตัญญู จึงมอบเหล้าองุ่นและเหล้าลูกพลับให้ข้าอย่างละหนึ่งถัง”

ในงานเลี้ยงวันนั้น พวกเขาล้วนเห็นขนาดถังเหล้ากันถ้วนหน้าแล้ว

สำหรับคนหนึ่งคน เหล้าสองถังถือว่าเป็นปริมาณที่ไม่น้อย ดูจะมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ แต่สำหรับหลายคน… เท่านั้นย่อมไม่เพียงพอ!

“เซียวเหยาอ๋อง ข้าขอซื้อเหล้าหนึ่งถังของท่านในราคาหนึ่งร้อยตำลึงทอง!”

เมื่อหลายคนได้ยินเซียวเหยาอ๋องเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว ย่อมแสดงว่าเขาตั้งใจจะนำมันออกมาขาย จึงมีคนเริ่มเสนอราคาอย่างเปิดเผยทันที

“ข้าให้หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงทอง!”

ถึงขั้นเอ่ยขอซื้อด้วยตำลึงทองเชียวหรือ หนานกงหลีตาเป็นประกาย หากเสี่ยวเป่าคิดจะหารายได้จากการขายเหล้าดูท่าจะรุ่งไม่น้อย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด