the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ 277 ฉันไม่มีทางเลือก
ยามพละกำลังดั่งเช่นแมกมาในปล่องภูเขาไฟ สิ่งมีชีวิตใดตกไปย่อมถูกเพลิงชาดหลอมละลาย
มนุษย์มิเคยหยุดโหยหาพลังอำนาจ ไม่อย่างนั้นสมาคมตระกูลหลี่คงไม่สร้างของอย่างนาโนแมชชีนเพื่อใช้ในการทหารหรอก
เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ถึงเพลิงลุกโชนในร่าง เขายกดาบขึ้นก้าวออกไป ทหารนาโนแมชชีนทำได้เพียงมองเขาผ่านวูบไปด้วยใบหน้าตื่นตะลึง ใจก็อยากยกดาบนาโนในมือตวัดฟันใส่เริ่นเสี่ยวซู่ ทว่าความเร็วที่เหนือกว่าทำให้พวกเขาราวกับเคลื่อนไหวเป็นภาพช้าๆ
ดาบทมิฬผ่าอกของทหารนาโนแมชชีนนายหนึ่ง มันก็ตัดราบเรียบผ่านดาบนาโนที่กันอยู่ตรงหน้าเขาไป กายาแยกเป็นสองส่วนอย่างหมดจด
ทหารนาโนแมชชีนนายหนึ่งหลบไม่ทันก็โดนเริ่นเสี่ยวซู่ในชุดเกราะกระแทกใส่ เขาสัมผัสได้ถึงหน้าอกที่ยุบลง เลือกคั่งอยู่ภายในไร้ทางออก สุดท้ายเส้นเลือดในร่างก็แตกออก
ทหารนาโนแมชชีนนับสิบรอบเริ่นเสี่ยวซู่วาดดาบนาโนตวัดฟันใส่เริ่นเสี่ยวซู่ ทว่าสร้างได้เพียงรอยขีดข่วนบนเกราะ ไม่อาจสร้างบาดแผลลึกถึงผิวกาย
รอยบั่นไหลม้วนออกจากเกราะดูชั่วร้ายน่าหวาดกลัว
ชั่วพริบตานั้นทหารนาโนแมชชีนก็บรรลุว่านี่แหละคือวิธีใช้นาโนแมชชีน!
ร่างกายอันแข็งแกร่งของเริ่นเสี่ยวซู่เข้าคู่กับเกราะนี้ ทำให้เขาไม่ต่างจากรถศึกที่ทะยานไปทั่วสนามรบอย่างไร้ความยำเกรง
ทหารนาโนแมชชีนนายหนึ่งเริ่มเกิดความหวาดกลัว เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถทำลาย ‘เครื่องจักร’ อันแข็งแกร่งทรงพลังตรงหน้าได้ไหม ในใจมีแต่ความรู้สึกไร้พลัง!
เขาหยิบปืนที่ทิ้งไว้กับพื้นขึ้นมาและยิงมั่วซั่วไปในเต็นท์ราวกับทำเช่นนี้จะคลายความหวาดกลัวไปด้วย
แต่พริบตาให้หลังเสียงคำรามของเขาก็ชะงักไป ดาบทมิฬของเริ่นเสี่ยวซู่กระซวกใส่อกเขา ในปอดเกิดฟองเลือดอยู่ภายในอย่างรวดเร็ว
เริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ ดึงดาบออก “อู๋ตี๋ ถึงไหนแล้ว”
เฉินอู๋ตี๋ยกกระบองทองสารพัดนึกพาดบ่า “เรียบร้อย!”
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ถึงเก็บเกราะและเอาดาบทมิฬเก็บเข้าพระราชวัง เขามองดูความเละเทะที่ตัวเองเป็นคนสร้างรอบกาย แม้เต็นท์ยังตั้งอยู่ดีก็เถอะ
แต่ว่าสถานการณ์ดูไม่สู้ดี เริ่นเสี่ยวซู่มอง ‘เพื่อนทหาร’ ที่นอนอยู่กับพื้น บ้างก็ถูกยิงเข้าศีรษะตอนที่ทหารนาโนแมชชีนยิงอย่างบ้างคลั่ง บ้างก็กำลังกุมหัวกรีดร้อง
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สนใจพวกเขา เขาหันไปมองหลี่ชิงเจิ้ง หวังอวี่ฉือ และคนอื่นๆ “มีใครบาดเจ็บไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าบนขาของหวังอวี่ฉือมีรอยเลือดก็ขมวดคิ้วมุ่น นักเรียนหลายคนก็บาดเจ็บ แต่หลี่ชิงเจิ้งไม่เป็นไร
หวังอวี่ฉือเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้า “กระสุนโดนขา น่าจะหัก หัวหน้าห้องไปดูคนอื่นก่อนเถอะ คนอื่นก็น่าจะบาดเจ็บเหมือนกัน”
เริ่นเสี่ยวซู่ลองนับ มีนักเรียนห้าคนบาดเจ็บ ทั้งยังบาดเจ็บไม่เบาเลยด้วย ต้องถอนกระสุนออกจากร่างพวกเขาก่อน
“อยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “หารถบรรทุกขึ้นหนีไปจากที่นี่กันเถอะ ใช้โอกาสที่พวกเขากำลังวุ่นกับการสู้รบนี้กลับไปป้อมปราการ 108 กัน”
วิกฤตในครั้งนี้ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าต้องมีคนสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้วแน่ ถ้ายังอยู่เขตสมาคาตระกูลหลี่ต่อ มีแต่จะอันตรายยิ่งขึ้น
เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับเฉินอู๋ตี๋ “พยุงคนเจ็บออกไปรอฉันก่อน”
หลี่ชิงเจิ้งก็ช่วยพยุงคนเจ็บออกไปข้างนอกโดยอัตโนมัติด้วยเช่นกัน หลังจากออกไปกันหมดแล้ว เขาก็จัดการหักคอ ‘เพื่อนทหาร’ ทีละคน เขาไม่อาจปล่อยให้คนพวกนี้มีชีวิตรอดไปได้ พวกเขารู้ความลับของเขาเยอะเกินไป
เขาหยิบพวกหม้อ กระทะ พลั่ว ค้อน และของอื่นๆ ยกเว้นทองคำและอาหารออกจากช่องเก็บของ จากนั้นก็เอานาโนแมชชีนที่เก็บมาจากทหารนาโนแมชชีนเข้าไปในช่องเก็บของ
เสร็จแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็เดินออกจากเต็นท์และไปช่วยคนอื่นๆ พยุงคนเจ็บ
ตอนนี้ที่มั่น 313 ตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน ปืนใหญ่ของสมาคมตระกูลชิ่งยิงมาดุเดือดอย่างเหนือจินตนาการ คงไม่มีใครทันสังเกตพวกเขา แม้จะมีกองกำลังผ่านมา ก็คงคิดว่าเป็นทหารบาดเจ็บที่ถอยมาจากแนวหน้า
“ข้างหน้ามีรถ!” เริ่นเสี่ยวซู่กระซิบ “ยังมีพลขับนั่งอยู่ ต้องชิงรถมา!”
ตอนนี้พวกเขาอยู่ใกล้ปากทางเข้าค่ายของที่มั่น 313 ตราบใดที่หารถได้ ก็จะสามารถออกไปได้ คงไม่มีใครพบร่องรอยพวกเขาในความวุ่นวายนี้
แต่ตอนนั้นเอง ก็มีทหารแบกหน้าวิ่งมาจากนอกค่าย เริ่นเสี่ยวซู่เกิดลางสังกรณ์ไม่ดี ทหารพวกนี้เคลื่อนไหวเป็นระเบียบเกินไป ทั้งสายตายังไร้อารมรณ์
เป็นกองพันเต็มกำลังที่มีทหารห้าร้อยนาย!
เริ่นเสี่ยวซู่ก้มหัวลงต่ำ พยายามพาเฉินอู๋ตี๋และคนอื่นๆ ผ่านกองพันนี้ไปอย่างเงียบๆ แต่นายทหารนำหน้าสุดกลับเรียกพวกเขา “มาจากทำเนียบกำลังรบไหนกัน”
เสียงเขาดูเรียบนิ่งราวเครื่องจักร หลี่จิงเจิ้งรุดหน้าขึ้นไปกล่าว “พวกเรามาจากกรมทหารราบที่เจ็ด เพิ่งกลับมาจากแนวหน้าหลังได้รับบาดเจ็บ กำลังมุ่งไปยังศูนย์รักษาพยาบาลครับ”
นายทหารมองพวกเริ่นเสี่ยวซู่ ก่อนจะว่า “พาฉันไปยังจุดที่กองพันวีรบุรุษเฝ้าอยู่”
เริ่นเสี่ยวซู่กำหมัดแน่น คนพวกนี้กำลังเล็งเป้ามาที่เขา?
แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะ ถ้ามันมีทหารนาโนแมชชีนห้าร้อยนายอย่างที่เริ่นเสี่ยวซู่คิดจริงๆ ต่อให้เขาและเฉินอู๋ตี๋เป็นเทพเซียนก็ไม่อาจชนะพวกเขาได้หรอก
อีกทั้งสู้ในพื้นที่เปิดแบบนี้มันสะดุดตามากด้วย!
ขณะที่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังรีบร้อนว่าจะสร้างเรื่องอะไรดีอยู่นั้น ก็ได้ยินหลี่ชิงเจิ้งหัวเราะ “ได้ครับ เดี๋ยวพาไปให้”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็มองหลี่ชิงเจิ้งที่หันมายิ้มอย่างกระอักกระอ่วนให้ตน “รีบไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ศูนย์รักษาพยาบาลเถอะ หลังพานายทหารไปยังกองพันวีรบุรุษเสร็จแล้วจะไปหาพวกนายเอง”
เริ่นเสี่ยวซู่ที่กำลังนิ่งอึ้ง “นาย…”
“ไม่ต้องห่วงฉัน” หลี่ชิงเจิ้งยิ้มพูด “ฉันยินดีจะทำแบบนี้ เลิกพูด ไปเถอะ”
จากนั้นหลี่ชิงเจิ้งก็เดินนำอย่างเด็ดเดี่ยวไปยังพื้นที่สูงที่กองพันวีรบุรุษอยู่ ไม่หันกลับมามองหลังอีก
ชีวิตในสงครามก็เช่นนี้ เพราะเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา จึงไม่มีเวลากล่าวคำพูดแสนกล้าหาญหรือคำกล่าวลาแสนซาบซึ้ง คนคุ้นเคยและรอยยิ้มที่คุ้นตามักถูกพรากไป
เริ่นเสี่ยวซู่ตัดสินใจหันกลับหลังอย่างเด็ดเดี่ยว “ห้ามใครหันกลับไปเด็ดขาด”
หวังอวี่ฉือพูดเสียงสั่น “หัวหน้าห้อง…”
เริ่นเสี่ยวซู่คำรามลอดไรฟัน “ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ใช่คนดี แสงสว่างในใจฉันแม่*ดับไปหมดแล้ว!”
หวังอวี่ฉือและคนอื่นๆ สะอึกเงียบไปพักหนึ่ง พวกเขาไม่รู้ว่าแสงสว่างที่เริ่นเสี่ยวซู่พูดนั้นหมายถึงอะไร
มีเพียงเฉินอู๋ตี๋ที่ทราบดี เขายังจำคำพูดที่อาจารย์กล่าวกับตนเมื่อตอนบ่ายได้ “ถ้ามีทางเลือก ฉันอยากเป็นคนที่มีแสงสว่างในหัวใจเหมือนกัน แต่ฉันไม่มีโอกาสนั้น”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเลือก แต่ชีวิตไม่เคยให้ทางเลือกกับเขามาก่อน เขาเห็นเพียงสองทาง ไม่อยู่ ก็ตาย
นี่แหละหนาแดนรกร้าง
Comments