ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 249-2 ฉันฆ่าศัตรูแนวหน้ามานับไม่ถ้วน (2)
ตอนที่ 249 ฉันฆ่าศัตรูแนวหน้ามานับไม่ถ้วน (2)
“ตายไม่ได้หรอก!”
ฟางผิงไม่สนใจเขา เดินไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล เก็บดาบระดับ C และหอกยาวที่ทิ้งไว้ขึ้นมา แต่ตอนนี้อาวุธทั้งสองชิ้นต่างได้รับความเสียหาย
ฟางผิงมองไปข้างหน้าอีกครั้ง ลังเลเล็กน้อย “ผมยังมีอาวุธอีกหลายชิ้นที่ทำตกระหว่างทาง…”
ถังเฟิงแทบจะระเบิดโทสะออกมา “ไม่อยู่แล้ว ทำอาวุธตก อีกฝ่ายก็เก็บไปนานแล้ว กระทั่งคนยังหนีไปเลย!”
“ไม่ช้าก็เร็วต้องไปเอากลับมา!”
ฟางผิงถือดาบมือขวา อยากจะใช้มือซ้ายคว้าหอก ปรากฏว่าแขนซ้ายแทบไม่อาจขยับได้ ปวดจนฟางผิงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่
“คุณมาได้ยังไง?”
“บังเอิญผ่านมา”
“ผมเอาชนะข้ามขั้นได้ ชนะขั้นหก คุณเอาชนะขั้นเก้าได้หรือเปล่า?”
ถังเฟิงปิดปากเงียบ
“ผมฆ่าขั้นสี่ราวกับเชือดคอไก่ ขั้นห้าสูงสุดก็เคยฆ่าเหมือนกัน คุณบอกว่าผมไม่กล้าเสี่ยงชีวิต?”
ถังเฟิงขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงทุ้ม “เดินไหวหรือเปล่า? อยากให้ฉันช่วยก็พูดออกมา!”
“ไม่จำเป็น”
ฟางผิงแค่นเสียง ก่อนจะครุ่นคิดเล็กน้อย “แบกผมไปถึงหน้าประตูเมือง ห่างสักสองร้อยเมตรค่อยปล่อยลง”
ถังเฟิงไม่สนใจเช่นกัน แบกตัวเขาขึ้นมา มุ่งหน้าสู่เมืองความหวังที่อยู่ไม่ไกลทันที
“ปล่อยผมลง!”
รอจนใกล้ถึงประตูเมือง ฟางผิงก็รีบตะโกนออกมา
ถังเฟิงขมวดคิ้วอีกครั้ง ทำได้แค่ปล่อยเขาลงพื้น
ฟางผิงซวนเซเล็กน้อย จู่ๆ กลับเอ่ยเสียงดังว่า “ขั้นหกแล้วยังไง วันนี้ขั้นสามอย่างฉันกล้าต่อสู้กับนาย วันหน้าอยู่ขั้นสี่แล้วคงฆ่าได้เหมือนกัน!”
เสียงตะโกนเปี่ยมไปด้วยพลัง!
ทางประตูเมืองมีการเคลื่อนไหวทันที
ถังเฟิงขมวดคิ้วว่า “เธอทำอะไร?”
“คุณคิดว่าไงล่ะ?” ฟางผิงเอ่ยอย่างแหบแห้ง “ผมสู้กับขั้นหกจนบาดเจ็บหนัก คุณก็เห็นแล้ว คุณจะชดใช้ค่ารักษาให้ผม? ตอนนี้ผมตะโกนออกมาให้รู้ทั่วกันว่าผมต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก ทางการน่าจะชดใช้ให้ผมสินะ?”
“เธอ…”
ถังเฟิงแทบไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ฟางผิงกลับไม่สนใจเขาอีก เปิดกระเป๋าที่ไม่หล่นระหว่างออก เอาป้ายสถานะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขั้นห้าพวกนั้นออกมาติดที่บนกระเป๋าแล้วหมุนไว้ข้างหน้าแทน
ถังเฟิงม่านตาขดเกร็งเล็กน้อย เป็นป้ายสถานะขั้นห้าจริงๆ!
“เธอฆ่าขั้นห้าจริงๆ?”
“ของจริงอยู่แล้ว ฆ่าไปสองคน ดาบยาวเป็นของหนึ่งคนในนั้น อีกคนใช้สนับมือ น่าเสียดายที่ทำหาย ยังมีหินพลังงานอีกหลายก้อน หล่นหายไปหมดแล้ว ถ้าไม่เจอผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก ครั้งนี้ผมคงจะบุกฆ่าผ่านแนวป้องกันของพวกเขามาได้!”
ตอนนี้ฟางผิงเผยท่าทีองอาจ จัดเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยของตัวเอง ก่อนจะสาวเท้าไปทางประตูเมือง
—
หน้าประตูเมือง ตอนที่เห็นว่าฟางผิงมีรอยเลือดเต็มตัว ป้ายสถานะบนกระเป๋าที่แขวนหน้าอกส่องแสงสว่างวาบ พวกทหารที่อยู่บนและล่างประตูเมืองต่างเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา ทำความเคารพให้ทันที! ตอนนี้ที่ประตูเมืองมีคนทยอยวิ่งเข้ามาเช่นกัน
มีคนเห็นฟางผิงก็เอ่ยอย่างตกใจว่า “สหาย ข้างนอกถูกล้อมไว้หมดแล้ว นี่นาย…”
“ทะลวงแนวป้องกันของศัตรูกลับมาส่งข่าว!”
ฟางผิงพูดไปก็กระอักเลือดออกมา เผยรอยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แม้ว่าจะรบจนตัวตายก็ไม่อาจหันหลังกลับได้!”
“สุดยอด!”
ฟางผิงหัวเราะ สาวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าอยู่บ้าง มีคนที่เขากำลังรอคอยอยู่
ไม่นานฟางผิงก็ตาเป็นประกาย คนที่เขารอมาถึงแล้ว!
“เสวี่ยเหมย!”
“ฟางผิง?”
จ้าวเสวี่ยเหมยวิ่งเข้ามาอย่างร้อนใจ รอจนฟางผิงเอ่ยขึ้น เธอค่อยจะจำฟางผิงได้
ไม่รอให้เธอเอ่ยปาก ฟางผิงหัวเราะว่า “ภารกิจลุล่วงด้วยดี ฆ่าขั้นห้าสูงสุดหนึ่งคน ขั้นห้าตอนต้นหนึ่งคน ขั้นสี่อีกนับไม่ถ้วน ในที่สุดฉันก็มีหน้ากลับมาแล้ว!”
ผู้คนบนถนนบางคนถึงกับนิ่งไปด้วยความตกตะลึง
หลู่เฟิ่งโหรวที่เพิ่งตามเข้ามาชะงักไปเช่นกัน หันไปมองหวงจิ่งที่ตามมาด้วยแววตาอันตราย “พวกนายสั่งเขาทำภารกิจ?”
ไม่งั้นจะบอกว่าภารกิจลุล่วงด้วยดีได้ยังไง ไม่มีใครให้นายไปฆ่าขั้นห้าสักหน่อย
หวงจิ่งทำหน้าเหลอหลา ไม่มีเถอะ!
จะให้มอบภารกิจขั้นห้าให้ขั้นสามได้ยังไง!
ครู่ต่อมาฟางผิงก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรง
“ฟางผิง!”
ข้างหูนั้นมีเสียงตะโกนดังขึ้นระลอกใหญ่
—
“ฟางผิงจากเซี่ยงไฮ้อยู่ขั้นสามตอนปลายสังหารขั้นห้าสูงสุดได้!”
“ทะลวงแนวป้องกันอย่างแน่นหนาของศัตรู หนีรอดจากเงื้อมมือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก”
“เรื่องจริงหรือเปล่า?”
“จริงสิ ตอนนั้นเห็นกับตาเลย แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บหนักเหมือนกัน…”
“ขั้นสามฆ่าขั้นห้าสูงสุด นายไม่ได้ล้อกันเล่นหรอกนะ?”
“ไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ เขาเอาป้ายสถานะของศัตรูมาด้วย นายน่าจะรู้ดี ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำพกป้ายติดตัวเพื่อแสดงสถานะและเป็นเกียรติกับตัวเอง นอกจากตายแล้ว คงไม่อาจเอามาได้ พวกเราฆ่าอีกฝ่ายก็จะได้เป็นสินสงครามเหมือนกัน นายคิดว่าเขาจะเก็บได้หรือไง?”
“เป็นไปได้ไง ขั้นสามฆ่าขั้นสี่ฉันคงทำใจเชื่อได้ แต่ขั้นสามฆ่าขั้นห้า ทั้งยังเป็นขั้นห้าสูงสุด นี่…ไม่อยากจะเชื่อเลย!”
“ฉันคิดแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนที่เขากลับมา ได้รับบาดเจ็บหนักจริงๆ ได้ยินว่าถูกขั้นหกไล่ฆ่ามาตลอดทาง ทั้งยังวิ่งเกือบร้อยลี้กลับมาเมืองความหวัง”
วันนี้ชื่อเสียงของฟางผิงได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองความหวังเล็กๆ แห่งนี้แล้ว
ฟางผิงที่อยู่ขั้นสามตอนปลาย ฝีมือโดดเด่นยิ่งกว่าพวกเหยาเฉิงจวินในตอนแรกซะอีก
ขั้นสามฆ่าขั้นห้า ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ…แน่นอนว่าเคยมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามฆ่าขั้นห้าที่บาดเจ็บหนักได้เช่นกัน แต่ฟางผิงจะเจอขั้นห้าบาดเจ็บหนักถึงสองคนติดต่อกันเลยหรือไง?
—
ห้องพยาบาลของฐานทัพ
หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้วว่า “เธอฆ่าพวกนั้นจริงๆ?”
ฟางผิงเผยใบหน้าซีดเซียว แขนซ้ายถูกผ้าห้อยคล้องกับคอ เอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ไม่ใช่ผมแล้วจะใครอีก? แน่นอนว่าไม่ได้เผชิญหน้ากันตรงๆ ผมวางแผนจัดการพวกเขา แต่ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้ใช้เป็นแต่กำลังอยู่แล้ว ขั้นสามฆ่าขั้นห้าได้ ไม่ว่าจะฆ่าตรงๆ หรือไม่ ถือว่าฆ่าศัตรูได้อยู่ดี ผมคงพูดไม่ผิดสินะ?”
หลู่เฟิ่งโหรวพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “เธอโง่ไปแล้วหรือไง? ฉันบอกให้เธอระวังตัว อย่าถูกคนอื่นวางแผน ยังแยกตัวจากทีมไปคนเดียวอีก?”
ฟางผิงชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ “ผมทนไม่ได้ที่หัวสิงโตใส่ร้ายผม บอกว่าผมไม่กล้าเสี่ยงชีวิตฆ่าศัตรู ผมเลยแยกตัวจากทีมไปคนเดียว พิสูจน์ตัวเองว่าผมไม่ได้เป็นแบบนั้น เขากำลังใส่ร้ายผมอยู่!”
หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้ว “ยุง่ายขนาดนี้เลยหรือไง แค่นี้เธอก็ติดเบ็ดแล้ว?”
“อาจารย์ มาถึงขนาดนี้แล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชาย ผมรับไม่ได้จริงๆ…ผมไม่สนใจหรอก คุณล่ะ? คุณคิดยังไงถ้าลูกศิษย์ของตัวเองถูกคนว่าเป็นคนขี้ขลาดตาขาว?”
หลู่เฟิ่งโหรวแค่นเสียง “ฉันไม่สนใจ อีกอย่างพวกเขาบอกว่าเธอมีปัญหาเรื่องแยกแยะทิศทาง มันยังไงกัน?”
“ไม่มีอะไรครับ”
ฟางผิงส่ายหัว “แกล้งพวกเขาเล่นเฉยๆ ไม่งั้นผมจะวิ่งมาเกือบร้อยลี้ ฝ่าวงล้อมกลับมาได้ยังไง? อาจารย์ ครั้งนี้ผมฆ่ายอดฝีมือไปเยอะขนาดนี้ ทั้งยังกลับมาพร้อมข้อมูลที่สำคัญอีก เพราะเรื่องนี้เลยทำให้เสียหินพลังงานและอาวุธของระดับสูงไป…”
“ข้อมูลอะไร?”
ฟางผิงเอ่ยทันที “ใช่สิ อาจารย์ พวกเราอย่าคุยกันอีกเลย ผมเอาข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นความตายของมนุษยชาติกลับมาด้วย คุณรีบให้พวกเขาเข้ามาเร็ว!”
ครู่ต่อมา ไม่รอให้หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยปาก ข้างนอกก็มีคนเดินเข้ามาทันที อู๋ขุยซานเอ่ยว่า “ข้อมูลอะไร?”
“เมืองตงขุยเคลื่อนกำลังพล ยกทัพใหญ่มาประชิด กวาดล้างจากทางตะวันออกเข้ามายังเมืองความหวัง…ผมเดิมพันถึงเก้าชีวิต อ้อมมาจากป่าราชัน กลับไปกลับมาตรงนั้นถึงสองครั้งค่อยเอาข้อมูลนี้มาได้…”
เขารายงานไม่ทันจบ ครู่ต่อมา ทุกคนในห้องกลับหายตัวไปในเวลาชั่วพริบตา รวมถึงหลู่เฟิ่งโหรวด้วย พากันหายไปแทบไม่เห็นเงา
“พวกคุณควรจะให้…”
ฟางผิงพูดได้แค่ครึ่งเดียว แววตานั้นล่องลอยอยู่บ้าง มองห้องโล่งๆ ที่ไร้ผู้คน พึมพำว่า “ควรจะให้รางวัลผมสักหน่อย?”
“หนีไปแล้ว?”
“ผมยังพูดไม่จบเลย พวกเขาเคลื่อนไหวกันเมื่อวาน ตอนนี้น่าจะเข้ามาใกล้พวกเราเกือบสองร้อยลี้แล้วล่ะมั้ง?”
“นี่…คือการตอบแทนของวีรีบุรุษ?”
ฟางผิงจนใจ สามารถเข้าใจความรีบร้อนของพวกเขาได้เช่นกัน แต่คนเยอะขนาดนี้ ไม่คิดจะเหลือไว้สักคนเลยหรือไง?
————————-
Comments