มรรคาสู่สวรรค์ 166 บึงน้ำยี่สิบสามปี (1)

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 166 บึงน้ำยี่สิบสามปี (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่ว​สือซุ่ย​จำเขา​ได้​ รู้สึก​ตกใจ​เป็นอย่างมาก​ จึงเกิด​ความรู้สึก​ยินดี​อย่าง​จริงใจ​ขึ้น​มาทันที​ เขา​ตะโกน​ว่า​ “คารวะ​ไต้​ซือ​ ไม่สิ ท่าน​ผู้อาวุโส​!”

ตอนนั้น​เขา​มายัง​วัด​กั่วเฉิง​เพื่อ​เรียนรู้​ธรรมะ​ แต่​เขา​ไม่เข้าใจ​ความหมาย​ที่​แท้จริง​ของ​สิ่งที่อยู่​ใน​คัมภีร์​เลย​ จนกระทั่ง​ได้​รับคำ​ชี้แนะ​จาก​อิน​ซาน​ เขา​ถึงได้​เข้าใจ​คัมภีร์​นั้น​และ​สะกด​ปราณ​ก่อกำเนิด​ที่​ขัดแย้ง​กัน​ภายใน​ร่างกาย​เอาไว้​ได้​ หลัง​อธิบาย​คัมภีร์​เสร็จ​ อิน​ซาน​ก็​หาย​ไป​จาก​ชีวิต​เขา​ ทำให้​เขา​รู้สึก​คิดถึง​เป็นอย่างมาก​ วันนี้​จู่ๆ ได้มา​เจอกัน​อีกครั้ง​ เขา​ย่อม​ต้อง​รู้สึก​ตื่นเต้น​เป็นอย่างมาก​

เขา​คิด​ว่า​อิน​ซาน​จะต้อง​เป็น​สมณะสูงศักดิ์​ของวัด​กั่วเฉิง​อย่าง​แน่นอน​ จึงตะโกน​ว่า​ไต้​ซือ​ออก​ไป​ทันที​ แต่​เมื่อ​ฉุกคิด​ว่า​ใน​เมื่อ​อีก​ฝ่าย​ต้องการ​ดื่ม​สุรา​ เช่นนั้น​ตัวเอง​อาจจะ​คิดผิด​ก็​เป็นได้​ อีก​ฝ่าย​อาจจะ​เป็นยอด​คน​ที่​คุณชาย​เชิญมา ดังนั้น​เขา​จึงรีบ​เปลี่ยน​คำ​ขาน​เรียก​เป็น​ผู้อาวุโส​

อิน​ซาน​ยิ้ม​เล็กน้อย​เพื่อ​บอก​เขา​ว่า​ไม่ต้อง​มาก​พิธี​ จากนั้น​นั่งลง​ข้าง​โต๊ะ​ มองดู​กับข้าว​ที่อยู่​วาง​อยู่​เต็มโต๊ะ​ พบ​ว่า​ฝีมือ​ของ​จิ้งจอก​น้อย​ตัว​นั้น​พัฒนา​ขึ้น​กว่า​ใน​อดีต​ จึงพยักหน้า​อย่าง​พึงพอใจ​แล้ว​กล่าวว่า​ “กับข้าว​นี้​กิน​กับ​สุรา​ได้​”

ในเวลานี้​เสี่ยว​เห​อย​ก​กับข้าว​ชามหนึ่ง​เดิน​เข้ามา​ เมื่อ​เห็น​อิน​ซาน​ก็​รู้สึก​ประหลาดใจ​อย่าง​มาก​เช่นเดียวกัน​

เพียงแต่​นาง​ไม่เหมือนกับ​หลิ่ว​สือซุ่ย​ ความยินดี​ของ​นาง​ค่อนข้าง​เบาบาง​ แต่​ความระแวง​ค่อนข้าง​มาก นาง​ไม่อยาก​ให้​วัน​เวลา​อัน​สงบสุข​ภายใน​สวนผัก​ต้อง​เกิด​การเปลี่ยนแปลง​

อิน​ซาน​มองดู​ชามที่อยู่​ใน​มือ​ของ​นาง​ พบ​ว่า​นั่น​คือ​ผัก​รวม​ดอง​ สีของ​ผักกาด​หอม​ต้น​และ​หัวไชเท้า​แดง​ผสมผสาน​จน​ดู​สวยงาม​ กลิ่น​เปรี้ยว​จางๆ โชย​ออกมา​ จึงยิ่ง​รู้สึก​พอใจ​ กล่าวว่า​ “ดื่ม​สุรา​แล้ว​กินข้าว​สัก​ชามก็ได้​นะ​”

เสี่ยว​เห​อ​ยิ้ม​เล็กน้อย​พลาง​คารวะ​ เอา​ผัก​ดอง​วาง​บน​โต๊ะ​ จากนั้น​เข้าไป​ใน​ครัว​หยิบ​ชามกับ​ตะเกียบ​มาชุด​หนึ่ง​ ตัก​ข้าว​จน​เต็ม​ชาม

อิน​ซาน​ยก​สุรา​ขึ้น​มาจิบ​ไป​คำ​หนึ่ง​ พบ​ว่า​เป็น​สุรา​ธรรมดา​ รสชาติ​ค่อนข้าง​จาง แต่​ก็​มิได้​สนใจ​อะไร​ ก่อน​จะยกขึ้น​มาดื่ม​ไป​จน​หมด​ชาม

หลิ่ว​สือซุ่ย​รี​บริน​สุรา​ให้​เขา​จน​เต็ม​

อิน​ซาน​เอง​ก็​มิได้​กิน​กับข้าว​ หาก​แต่​ยก​สุรา​ขึ้น​มาซด​จน​หมด​ชาม ที่​น่าสนใจ​ก็​คือ​นี่​เป็น​วิธีการ​ดื่ม​ที่​ดู​องอาจ​ผ่าเผย​อย่าง​มาก​ แต่​พอ​เขา​ดื่ม​ไป​แล้ว​มัน​กลับ​ดู​เป็นธรรมชาติ​

ความวุ่นวาย​ที่​เกิดขึ้น​ใน​คุก​สะกด​มาร​เมื่อ​หลาย​ปีก่อน​ จักรพรรดิ​แห่ง​หมิง​สังหาร​ชางหลง​และ​ตาย​ไป​ ใน​คืน​นั้น​เขา​เป่าขลุ่ย​ออกมา​เพลง​หนึ่ง​พร้อมทั้ง​ดื่ม​สุรา​ วันนี้​เขา​เอง​ก็​เป่าขลุ่ย​ออกมา​เพลง​หนึ่ง​ แล้วก็​รู้สึก​อยาก​ดื่ม​สุรา​เป็นพิเศษ​

หลัง​ดื่ม​สุรา​ไป​สอง​ชาม เขา​ถึงจะหยิบ​ตะเกียบ​ขึ้น​มาคีบ​อาหาร​ที่​ตนเอง​ชื่นชอบ​มาครึ่ง​ชาม จากนั้น​ค่อยๆ​ กิน​ สักพัก​ก็​จะคีบ​หัวไชเท้า​แดง​ขึ้น​มาล้างปาก​

“ฉาน​จึเขียน​จน​หมาย​ให้​เจ้าไป​เรือน​อี้​เหมา​มิใช่หรือ​? เหตุใด​ถึงไม่ไป​?” จู่ๆ อิน​ซาน​ก็​มอง​หลิ่ว​สือซุ่ย​พลาง​กล่าวถาม​

หลิ่ว​สือซุ่ย​ยิ่ง​มั่นใจ​ว่า​อีก​ฝ่าย​คือ​สมณะสูงศักดิ์​ของวัด​กั่วเฉิง​หรือไม่​ก็​สหาย​ของ​คุณชาย​ จึงยิ้ม​ตอบกลับ​ไป​อย่าง​รู้สึก​ผิด​ แต่กลับ​ไม่กล่าว​กระไร​

ตอน​ที่อยู่​ใน​เขา​อวิ๋นเมิ่ง​ จิ๋งจิ่ว​เคย​ถามคำถาม​เขา​แบบ​เดียวกัน​ ตอนนั้น​เขา​ไม่ได้​พูด​อะไร​ ตอนนี้​ยิ่ง​ไม่มีทาง​พูด​แน่นอน​

อิน​ซาน​ยิ้ม​เล็กน้อย​ ก่อน​จะเปลี่ยน​ประเด็น​ถามว่า​ “แสวง​มรรคา​ครั้งนี้​ เข้าใจ​อะไร​บ้าง​?”

หลิ่ว​สือซุ่ย​คิดถึง​ตอนที่​ตนเอง​ไป​เป็น​องครักษ์​และ​บำเพ็ญ​เพียร​อยู่​ใน​โลก​นั้น​ พบ​ว่า​ช่างเรียบง่าย​น่าเบื่อ​ มิได้​รู้แจ้ง​อะไร​เพิ่มเติม​ จึงกล่าว​อย่าง​รู้สึก​ผิด​ว่า​ “ไม่มี”

อิน​ซาน​ถามว่า​ “แล้ว​จิ๋งจิ่ว​ล่ะ​?”

หลิ่ว​สือซุ่ย​ไม่แม้กระทั่ง​หยุด​คิด​ ตอบกลับ​ไป​ว่า​ “คุณชาย​ก็​มิได้​ต่าง​อะไร​จาก​ตอน​ที่อยู่​ด้านนอก​ ยังคง​เป็น​แบบ​นั้น​”

อิน​ซาน​นิ่งเงียบ​ไป​ครู่​ ก่อน​กล่าวว่า​ “แบบ​นั้น​ก็ดี​”

……

……

ณ ลาน​หิน​แห่ง​หนึ่ง​บน​เขา​อวิ๋นเมิ่ง​ ต้น​ไม้ใบ​ฤดูใบไม้ผลิ​คล้าย​ฝาครอบ​สีเหลือง​ ใบไม้​สีเหลือง​ปลิว​ตก​ลงมา​ตาม​ลม​

ถงเหยียน​ยืน​อยู่​ใต้​ต้นไม้​ มองดู​ทิวทัศน์​ด้านนอก​หน้าผา​ที่​ดู​คล้าย​ดินแดน​แห่ง​ความฝัน​ ไม่รู้​ว่า​กำลัง​คิด​อะไร​อยู่​

ใน​มือ​เขา​ถือ​เหยือก​สุรา​ใบ​เล็ก​และ​สวยงาม​ใบ​หนึ่ง​ ทุกครั้งที่​มีใบไม้​ร่วง​ลงมา​ เขา​จะยก​เหยือก​สุรา​ขึ้น​มาจิบ​คำ​หนึ่ง​

ผู้​บำเพ็ญพรต​ดื่ม​สุรา​มิได้​ต่าง​อะไร​กับ​คนธรรมดา​เวลา​ดื่ม​สุรา​นัก​ ต่าง​ก็​ต้อง​มีกับแกล้ม​ที่​ดี​

เห​อ​จาน​ได้​เขียน​วิธี​ย่าง​ปลา​เอาไว้​ให้​เขา​ก่อนที่จะ​ไป​เมือง​ไป๋​เฉิง เขา​ลอง​ย่าง​ปลา​ตาม​วิธี​ที่ว่า​ไป​ร้อย​กว่า​ตัว​ แต่กลับ​พบ​ว่า​ไม่สามารถ​ย่าง​เอา​รสชาติ​นั้น​ออกมา​ได้​ จึงได้​แต่​ต้อง​ล้มเลิก​ความพยายาม​ไป​

ในเวลานี้​สิ่งที่​เขา​ใช้มาเป็น​กับแกล้ม​มิใช่ใบไม้​สีเหลือง​ที่​ปลิว​ตก​ลงมา​ตาม​ลม​ หาก​แต่​เป็น​เม็ด​หมากล้อม​ที่​กำ​อยู่​ใน​มือ​

ตัว​หมาก​เสียดสี​และ​ขยับ​ไปมา​อยู่​ใน​ฝ่ามือ​ เกิด​เสียงดัง​ชัดเจน​แต่​แผ่วเบา​ขึ้น​มา ค่อย​ข้าง​ไพเราะ​ สำหรับ​เขา​แล้ว​ นี่​มิได้​ต่าง​อะไร​กับ​อาหาร​เลิศ​รส​เลย​

นับวัน​เขา​จะยิ่ง​เล่น​หมากล้อม​น้อยลง​ทุกวัน​ เพราะ​รู้สึก​เบื่อหน่าย​

บน​โลก​นี้​ไม่มีใคร​เอาชนะ​เขา​ได้​ แต่​ไม่ว่า​เขา​จะทำ​อย่างไร​ก็​ไม่สามารถ​เอาชนะ​จิ๋งจิ่ว​ได้​ ไม่ว่า​จะเป็น​โลก​นี้​หรือว่า​ใน​ดินแดน​แห่ง​ความฝัน​ของ​คันฉ่อง​ฟ้ากระจ่าง​

คิดไม่ถึง​ว่า​วิธี​เล่น​หมากล้อม​ของ​จิ๋งจิ่ว​ยังคง​น่าเบื่อ​เพียงนั้น​….

น่าเบื่อ​ถึงได้คิด​อยาก​ดื่ม​สุรา​ เช่นนั้น​ก็​ย่อม​ไม่ใช้ปราณ​ก่อกำเนิด​มาสลาย​ฤทธิ์​สุรา​ ตอนที่​ใบ​ไม้ใบ​ที่​เจ็บ​สิบ​ร่วงหล่น​ลงมา​ ในที่สุด​เขา​ก็​รู้สึก​ได้​ถึงความเมามาย​แล้ว​

ความรู้สึก​ลอย​ล่อง​เช่นนี้​ช่างไม่เลว​เลย​จริงๆ​

ถงเหยียน​คิดในใจ​ เพื่อ​จะบรรลุ​กลายเป็น​เซียน​แล้ว​ เหตุใด​ถึงต้อง​บำเพ็ญ​เพียร​อย่าง​ลำบากลำบน​ด้วย​ คนธรรมดา​ใช้สุรา​เพียง​ไม่กี่​เหยือก​ก็​สามารถ​ทำได้​แล้ว​

เพื่อ​ธรรม​วิถี​ที่​เลือนลาง​และ​หา​ได้​ยาก​ ทุ่มเท​ขนาด​นี้​มัน​คุ้มค่า​จริงๆ​ อย่างนั้น​หรือ​?

เขา​ยก​เหยือก​สุรา​ขึ้น​มา เหยียบ​รั้ว​แล้ว​ทะยาน​ออก​ไป​ หลัง​บิน​ผ่าน​เมฆหมอก​อยู่​ครู่ใหญ่​ เขา​ก็​มาถึงหุบเขา​ที่​เงียบสงบ​และ​ห่างไกล​แห่ง​หนึ่ง​

ที่นี่​คือ​ชายขอบ​ของ​เขา​อวิ๋นเมิ่ง​ แล้วก็​อยู่​ใกล้​ข่าย​พลัง​ปิดกั้น​ แทบจะ​ไม่มีศิษย์​ของ​สำนัก​จงโจว​มาที่นี่​

อาจจะ​ด้วย​เหตุผล​นี้​ ลั่ว​ไหว​หนาน​ถึงได้​แอบ​มาสร้าง​ถ้ำลับ​ของ​ตัวเอง​เอาไว้​ที่นี่​

ถงเหยียนยก​เหยือก​สุรา​ขึ้น​มา สลาย​ข่าย​พลัง​ปิดกั้น​ทั้ง​สามชั้น​ของ​ถ้ำออก​ เดิน​เข้าไป​ด้านใน​ แถบ​แสงที่​ทำ​มาจาก​หิน​ผลึก​สว่าง​ขึ้น​มาเมื่อ​สัมผัส​เข้ากับ​สายลม​ ส่องสว่าง​ภายใน​ถ้ำที่​ประดับ​แตก​แต่ง​อย่าง​เรียบง่าย​และ​สะอาดสะอ้าน​

หลัง​ลั่ว​ไหว​นาน​ตาย​ไป​ ถ้ำลับ​แห่ง​นี้​ก็​ตก​อยู่​ใน​มือ​ของ​เขา​ นักพรต​ถาน​และ​นักพรต​ไป๋​น่าจะ​รู้​ว่า​เขา​แอบ​ทำ​อะไร​ แต่​ก็​มิได้​ว่า​อะไร​ เช่นนั้น​พวกเขา​ก็​ย่อม​ไม่สนใจ​ถ้ำเล็ก​ๆ แห่ง​นี้​

ถงเหยียน​เดิน​มาถึงหน้า​โต๊ะ​หิน​ นิ่งเงียบ​ไป​ครู่​

ที่นี่​เคย​มีขวด​สีเขียว​ใบ​เล็ก​ใบ​หนึ่ง​วาง​อยู่​ นั่น​เป็น​ทาง​หนี​สุดท้าย​ที่​ลั่ว​ไหว​หนาน​เตรียม​เอาไว้​ให้​จิต​ทารก​ แต่​เขา​กลับ​ต้อง​มาตาย​ที่นี่​จริงๆ​

ถงเหยียน​เท​สุรา​ที่อยู่​ใน​เหยือก​ลง​ไป​บน​พื้น​เล็กน้อย​ จากนั้น​นั่งลง​แล้ว​ค่อยๆ​ ดื่ม​สุรา​

เวลา​ค่อยๆ​ ผ่าน​ไป​ ความเมามาย​ค่อยๆ​ เพิ่มขึ้น​ เขา​เท้าแขน​ไป​บน​โต๊ะ​หิน​ ในขณะที่​สะลึมสะลือ​คล้าย​จะหลับ​ลง​ไป​ จู่ๆ พลัน​ได้ยิน​เสียง​เสียง​หนึ่ง​

เสียง​เสียง​นั้น​อ่อนแรง​เป็นอย่างมาก​ คล้าย​เปลว​เทียน​ที่อยู่​ท่ามกลาง​ลมพายุ​อัน​รุนแรง​ คล้าย​ว่า​พร้อม​จะดับ​ลง​ทุกเมื่อ​

ถงเหยียน​เงยหน้า​ขึ้น​มาทันที​ ดวงตา​ใสกระจ่าง​ มิได้​มีความเมามาย​หลง​เหลืออยู่​อีก​

ที่นี่​เงียบสงัด​และ​ห่างไกล​ผู้คน​ อยู่​ใกล้​กับ​ข่าย​พลัง​อวิ๋นเมิ่ง​ อีก​ทั้ง​ภายใน​ถ้ำยังมี​ข่าย​พลัง​ปิดกั้น​ตัดขาด​ภายใน​ถ้ำกับ​โลก​ภายนอก​เอาไว้​ เหตุใด​ถึงยังมี​เสียง​อยู่​อีก​?

เสียง​นั้น​อยู่​ใกล้​เป็นอย่างมาก​ คล้าย​กับ​ว่า​ดัง​ขึ้น​ใน​ใจของ​เขา​

หรือว่า​จะเป็น​ฝีมือ​ของ​พวก​พรรค​มาร​?

ถงเหยียน​คิด​ด้วย​สีหน้า​เรียบ​เฉย​ ต่อให้​เป็น​เทพธิดา​แห่ง​นิกาย​เสวี่ยห​มัว​ใน​อดีต​ก็​ไม่มีความสามารถ​ถึงขนาด​นี้​ พระสนม​หู​ที่อยู่​ใน​วัง​เอง​ก็​ทำ​ไม่ได้​

เขา​เชื่อ​ว่า​นี่​มิใช่การ​คิด​ไป​เอง​ ตัวเอง​ก็​มิได้​ดื่ม​เยอะ​ ดังนั้น​จึงโคจร​ปราณ​ก่อกำเนิด​เข้าไป​ใน​หู​แล้ว​ตั้งใจฟัง​

ไม่รู้​ว่า​ผ่าน​ไป​นาน​เท่าไร​ ติ่ง​หู​เขา​สั่น​ขึ้น​มาเล็กน้อย​ ในที่สุด​เขา​ก็​ได้ยิน​เสียง​นั้น​อีกครั้ง​

เสียง​นั้น​ฟังดู​อ่อนแรง​จริงๆ​ อีก​ทั้ง​ยัง​สั่นเครือ​เล็กน้อย​ด้วย​ คล้าย​หนาวเหน็บ​เป็นอย่างมาก​ ยิ่งไปกว่านั้น​…เขา​เหมือน​จะเคย​ได้ยิน​ที่ไหน​มาก่อน​

เขา​ฟังอย่าง​เงียบๆ​ ฟังอยู่​เป็นเวลา​นาน​ ในที่สุด​ก็​ได้ยิน​แล้ว​ว่า​เสียง​นั้น​พูดว่า​อะไร​

“หนุ่มน้อย​….”

“หนุ่มน้อย​…ช่วย​ข้า​ด้วย​….”

“หนุ่มน้อย​ที่​เล่น​หมา​กล้อ​ม….นี่​ข้า​เอง​….”

ถงเหยียน​เลิกคิ้ว​ เลิก​จน​สูงขึ้น​เป็นพิเศษ​ คล้าย​กำลัง​ชี้ตั้งอยู่​ไร​อย่างนั้น​

เขา​ฟังออก​ว่า​นี่​เป็น​เสียง​ของ​ใคร​

ดวงจิต​คันฉ่อง​ฟ้ากระจ่าง​

สาวน้อย​ที่​ชื่อ​ชิงเอ๋อร์​ผู้​นั้น​

ตอนที่​เขา​เป็น​เด็ก​ สาวน้อย​ผู้​นั้น​เคย​มาเล่น​กับ​เขา​ จนกระทั่ง​เมื่อ​หลาย​วันก่อน​ได้มา​พบกัน​อีกครั้ง​ใน​หอ​ภายใน​หุบเขา​หุย​อิน​

หลัง​งาน​ชุมนุม​แสวง​มรรคา​จบ​ลง​ เขา​ก็​ขออนุญาต​อาจารย์​ว่า​อยาก​จะเข้าไป​ใน​หุบเขา​หุย​อิน​เพื่อ​พบ​นาง​ แต่​อาจารย์​ไม่อนุญาต​….

ใช่สิ คันฉ่อง​ฟ้ากระจ่าง​อยู่​ที่​หุบเขา​หุย​อิน​ เหตุใด​เสียง​ของ​นาง​ถึงดัง​ขึ้น​ใน​ใจได้​นะ​?

หรือว่า​ตัวเอง​จะดื่ม​มาก​ไป​จริงๆ​ เพราะ​ความพ่ายแพ้​ที่​วิถี​หมากล้อม​ได้รับ​และ​ชะตากรรม​ที่​ลั่ว​ไหว​หนาน​ต้อง​พบ​เจอ​ เลย​ทำให้เกิด​ความคิด​ชั่วร้าย​ขึ้น​ใน​ใจหรือ​?

ใบหน้า​ของ​ถงเหยียน​พลัน​ขาวซีด​ มิใช่เป็น​เพราะ​ดื่ม​มาก​ไป​ มิใช่เป็น​เพราะ​หวาดกลัว​ปีศาจ​ภายในใจ​ หาก​แต่​เป็น​เพราะ​เขา​ได้ยิน​เสียงร้อง​คร่ำครวญ​ของ​ชิงเอ๋อร์​จริงๆ​ อีกครั้ง​

เขา​เข้าใจ​เรื่องราว​บางอย่าง​

เสียง​นั้น​มิได้​มาจาก​ใน​ใจ หาก​แต่​มาจาก​ซอก​หิน​แห่ง​หนึ่ง​ภายใน​ถ้ำ

ไม่มีใคร​รู้​ว่า​ภายใน​ถ้ำลับ​ของ​ลั่ว​ไหว​หนาน​แห่ง​นี้​มีทางลับ​เส้น​หนึ่ง​ที่​สามารถ​ตรง​ไป​ยัง​เส้น​ปราณ​แผ่นดิน​ที่อยู่​ใน​ส่วนลึก​ของ​ข่าย​พลัง​อวิ๋นเมิ่ง​ได้​

ซอก​หิน​นั้น​ก็​คือ​ปาก​ทางเข้า​ทางลับ​นั้น​

เหตุใด​เสียง​ที่​อ่อนแรง​เสียง​นั้น​ถึงดัง​ออก​มาจาก​ใน​นั้น​ได้​?

หรือว่า​คันฉ่อง​ฟ้ากระจ่าง​จะถูก​ฝังอยู่​ใน​ส่วนลึก​ของ​เส้น​ปราณ​แผ่นดิน​?

…………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด