โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 108

Now you are reading โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 Chapter 108 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Translator : Muntra  / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.108 – เสี่ยวไป๋ลงมือ

 

“นี่ … ” หลิวเซินซานตกใจจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นถึงความแข็งแกร่งของฉินเฟิง

 

ก่อนหน้านี้ในโถงอาหาร เพราะการยั่วยุของใครบางคน ฉินเฟิงเลยเผยถึงความแข็งแกร่งของผู้ใช้วรุยทธโบราณในเลเวล F ออกมา แต่ตอนนี้หลิวเซินซานทราบแล้วว่าเรื่องทั้งหมดเขาได้ยินมาผิด!

 

ฉินเฟิงเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ต่างหาก!

 

อย่างไรก็ตาม ดูจากสีของอบิลิตี้ที่ปลดปล่อยออกมาแล้ว หลิวเซินซานก็บังเกิดความรู้สึกสับสนเล็กน้อย —มันเป็นสีดำไปได้อย่างไร?

 

ยังไงก็ตาม เนื่องจากฉินเฟิงปลดปล่อยเพลิงโลกันต์ตามมาอีกระลอก หลิวเซินซานเลยพาลคิดไปว่า พลังก่อนหน้านี้คงจะเป็นการโจมตีที่เกิดจากการกลายพันธ์ของรูนไฟ เลยละความสงสัย เลิกคิดอะไรมากเกี่ยวกับมัน

 

เขาเร่งเดินเข้าไป และเริ่มเปิดใช้งานระบบทำความเย็น เมื่อน้ำเย็นไหลลงมา อุณหภูมิก็ลดหลั่นลง จากนั้นภายในก็เผยให้เห็นถึงวัตถุดิบที่หลอมคืนเสร็จสิ้นแล้ว

 

“น้องชายฉิน นี่คือทั้งหมดที่หลอมได้” หลิวเซินซานส่งมอบสินค้าให้ฉินเฟิง ในเวลานี้ มันถูกย่อยจนแบ่งออกเป็นแหล่งพลังงานสามประเภท ทั้งหมดก่อตัวเป็นบล็อก หนึ่งในนั้นมีขนาดเท่ากับอิฐสามก้อน และยังมีน้ำหนักกว่าร้อยจิน!

 

“นี่เป็นของชั้นดี! มันคือทรัพยากรแร่ธาตุจากอีกโลกหนึ่งที่ถูกเรียกกันว่าศิลาลึกลับ มันหนักมาก แต่ก็มีความแข็งที่สูงมากเช่นกัน -หากใช้ทำเป็นโล่ก็จะมีพลังป้องกันที่ทรงพลัง แต่มันจะดีกว่าถ้าใช้เป็นอาวุธ เพราะมันจะทนทานยากต่อการถูกทำลาย!”

 

ฉินเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย

 

นี่มันเป็นของดีอย่างที่ว่าจริงๆ

 

“ลุงหลิว ผมโอนเงินให้ลุงแล้วนะ แต่ถ้าผมจะขอให้ลุงอัพเกรดอุปกรณ์รูนตอนนี้เลย ลุงจะใช้เวลาประมาณเท่าไหรหรือครับ?” ฉินเฟิงถาม

 

“ตอนนี้?” หลิวเซินซานไม่คิดว่าฉินเฟิงยังต้องการให้เขาอัพเกรดอุปกรณ์อีก เดิมที ที่ตนมา เพราะคำใบ้เรื่อง ‘ช่วงชิงอาณาเขต’ ต่างหาก ไม่ใช่ว่านี่คือโอกาสที่สมควรจะหนีหรอกหรือ?

 

ฉินเฟิงพยักหน้า “ลุงหลิว ร้านของลุงตั้งอยู่ใจกลางเมือง ตอนนี้พวกแมลงกำลังอาละวาด หรือพูดอีกอย่างก็คือลุงอยู่กลางวงล้อม ฉะนั้น ถ้าตัดสินใจหนีออกไปทันทีตอนนี้ แม้จะมีโอกาสรอด แต่มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าจะตายมากกว่า!”

 

หลิวเซินซานเห็นได้ชัดว่าเริ่มลังเล

 

ฉินเฟิงกล่าวไม่ผิด เพราะช่วงแรกที่พวกแมลงออกจากรอยแยกมิติ มันจะทำการออกล่าตามสัญชาตญาณ สภาพบนท้องถนนเลยเละเทะอย่างที่ปรากฏในปัจจุบัน บางทีเขาอาจจะหนีพวกแมลงธรรมดาๆได้ แต่หากบังเอิญไปเจอตัวระดับราชันย์เข้าก็เป็นอันจบ

 

เรื่องแบบนี้ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีช่องว่างให้หลบหนีอยู่ ตัวอย่างเช่น ยอมเสี่ยงย่องไปตามอาณาเขตของแมลงที่ทรงพลัง เพราะแมลงที่อ่อนแอจะไม่กล้าก้าวเข้ามาในอาณาเขตของแมลงที่แข็งแกร่ง โอกาสเกิดเสียงดังจึงน้อยกว่า หรือไม่ก็ใช้ประโยชน์จากสัญชาตญาณของพวกแมลง อาศัยช่องว่างในจังหวะที่พวกมันกำลังแย่งชิงอาณาเขตกัน หลบหนีไปตามเส้นแบ่งเขตที่ไม่มีฝ่ายใดรุกล้ำ ความปลอดภัยก็จะสูงกว่า

 

ที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นความรู้จากในตำราหนังสือ

 

แต่วิธีที่ว่า คงมีไม่กี่คนหรอกมั้งที่สามารถทำได้

 

ฉินเฟิงเอ่ยปาก “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เมืองหานล่มสลายแล้ว รอยแยกมิติก็ยังเปิดขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่า หากรอคอยการช่วยเหลืออยู่ที่นี่ ไหนจะคนอีกกว่า 20 ชีวิตในห้องใต้ดินที่ยังซ่อนตัวอยู่ ดังนั้น ควรใช้โรงแรมเป็นสถานที่หลบภัย จะได้มีพื้นที่ให้ทุกคนสะดวกสบายมากขึ้น แต่อาวุธของผมในตอนนี้มันไม่คมพอ ที่จะล้างบางพวกแมลงหรือใช้ปกป้องโรงแรมจากศัตรู และไหนๆก็ได้แก่นพลังงานของสัตว์ร้ายเกราะคริสตัลมาแล้ว ผมเลยคิดว่าอัพเกรดมันซะที่นี่ ตอนนี้เลยจะดีกว่า!”

 

แต่เหตุผลสำคัญที่สุดที่ฉินเฟิงตัดสินใจตั้งรกรากอยู่ที่นี่ก็คือ เพราะเขาตระหนักดีว่า ด้วยทัศนคติพิสดารของหลิวซู เธอย่อมไม่ยินยอมพาแค่ตัวเองกับครอบครัวหนีไปด้วยอย่างแน่นอน แต่คงหอบเอา ‘ภาระ’ อีกกว่า 20 ชีวิตติดตัวไปด้วย

 

ในกรณีนี้ ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง?

 

และในสถานการณ์คับขัน ก็มักจะมีหลายสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น อย่างเช่นสหายร่วมทางที่ติดตามและเชื่อฟังกันมาเป็นอย่างดีในช่วงแรก ( ณ ที่นี้หมายถึงพวกภาระ) พอถึงเวลาจริงๆ อาจจะผลักดันเราเข้าสู่ความตายก็เป็นได้

 

และฉินเฟิงไม่ต้องการให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับลุงหลิว เขาจะไม่ยอมให้ลุงหลิวได้รับบาดเจ็บ!

 

ทางฝั่งหลิวเซินซานเอง เห็นได้ชัดว่าถูกชักจูงโดยคำพูดของฉินเฟิง

 

“เธอพูดถูกนะ ฉันเห็นด้วย มันใช้เวลาไม่นานหรอกในการหลอมอาวุธ ซัก3-5ชั่วโมงก็พอแล้ว”

 

ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ หลิวเซินซานตระหนักดีว่าฉินเฟิงนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เขาน่าจะแกร่งกว่าหลิวซูซะด้วยซ้ำ ดังนั้นการมีฉินเฟิงคอยคุ้มกันภัย ย่อมดีกว่าไม่มีอะไรเลย

 

อีกอย่าง หลิวเซินซานยังกลัวว่าฉินเฟิงจะหนีไป แล้วทิ้งครอบครัวเขาไว้เพียงลำพัง!

 

ฉินเฟิงพยักหน้าพึงพอใจ และกล่าว “แต่ผมยังมีวัตถุดิบบางอย่างที่อยากจะใช้ในการอัพเกรด ลุงรอก่อนนะ ผมจะขอให้แฟนเอามันมาให้”

 

ฉินเฟิงเปิดอุปกรณ์สื่อสาร และขอให้ไป๋หลีนำของบางอย่างมา ซึ่งเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากหอกของราชันย์อัศวิน

 

ไป๋หลีเมื่อได้รับสายสนทนาของฉินเฟิง เธอก็เดินออกจากห้องใต้ดินทันที

 

แม้เธอไม่ทราบเส้นทางแบบเฉพาะเจาะจง แต่ก็ยังสามารถรับรู้ถึงสถานที่อยู่ของฉินเฟิงได้ ดังนั้นเธอจึงหาสถานที่เหมาะๆในลานจอดรถใต้ดิน ก่อนจะใช้พลังมิติเทเลพอร์ตขึ้นบนข้างบน

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง กลุ่มผู้ใช้พลังที่กำลังถูกไล่ล่าโดยฝูงแมลงก็พากันถอยหนีเข้ามาในโรงแรมพอดี

 

“มารดามันเถอะ ไอ้พวกแมลงสารเลว!”

 

“ไอ้ลูกสำส่อนตัวไหนกันที่มันเป็นคนทำลายอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติ!”

 

“เวลานี้ พูดเรื่องนั้นไปมันจะได้ประโยชน์อะไร?”

 

“เออ! ไม่พูดก็ไม่พูด แต่ตอนนี้ข้างนอกมันโกลาหลเกินไป ปล่อยให้พวกแมลงกินคนให้เต็มที่ก่อน และพอพวกมันอิ่มแล้ว ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยออกไปกัน! ระหว่างนี้ก็ปกป้องทางเข้าโรงแรมให้ดี!”

 

“มัวชักช้าอะไรอยู่? รีบๆหาอะไรมาขวางประตู กับปิดกั้นหน้าต่างทั้งหมดที่นี่ซะ!”

 

พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ใช้พลังเลเวล F เลยครอบครองประสบการณ์เอาชีวิตรอดมากมาย ทั้งหมดจึงสามารถค้นหาสถานที่หลบภัยอันเหมาะสมอย่างโรงแรม และหาวิธีปกป้องมันได้อย่างรวดเร็ว

 

ระหว่างที่พวกเขากำลังวุ่น ไป๋หลีที่กำลังฮัมเพลงด้วยความสุขก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน

 

เป็นธรรมดาที่ไป๋หลีจะไม่สนใจพวกเขา แต่ในหมู่คนเหล่านั้น มีบางคนเกิดความสนใจต่อไป๋หลี

 

คนที่ว่าไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณที่เพิ่งถูกฉินเฟิงเฉาะฟันออกเมื่อวันก่อน

 

หลังจากที่เขาเห็นไป๋หลี ดวงตาก็หรี่แคบลงทันที

 

“แหม แหม นี่มันเด็กของไอ้หนุ่มนั่นไม่ใช่หรอ?” ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้า ขวางทางไป๋หลี

 

ไป๋หลีขมวดคิ้ว เกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า สาวน้อย ตอนนี้แฟนเธอคงจะกลายเป็นอาหารแมลงข้างนอกไปแล้ว ดังนั้นเธอหันมาติดตามฉันดีกว่า ฉันจะปกป้องเธอเอง แต่ถ้าปฏิเสธล่ะก็ …. ฉันจะโยนเธอออกไปให้เป็นอาหารพวกแมลงซะ!”

 

ไป๋หลีมองตาอีกฝ่าย ใบหน้าที่กำลังเผยรอยยิ้มเยาะของฉินเฟิงวาบผ่านเข้ามาในหัวเธอ

 

“ที่รักของฉันอยู่ในสวนหลังบ้าน ทำไมถึงพูดว่าเขาถูกแมลงกินไปแล้ว ไร้สาระ!”

 

ชายคนนั้นตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าฉินเฟิงจะยังไม่ตาย

 

อย่างไรก็ตาม ท่าทีที่แสดงออกมาของไป๋หลีก็ทำให้ผู้ใช้วรยุทธโบราณรู้สึกเดือดดาล “ในเมื่อมันอยู่ในสวนหลังบ้าน ก็คงไม่มีทางรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในตอนนี้! มาเถอะสาวน้อย ฉันจะเล่นกับเธอเอง ก่อนตาย บิดาขอใช้ชีวิตให้คุ้มค่าหน่อยเถอะ!”

 

ระหว่างกล่าววาจาหยาบโลน ชายคนนั้นก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป พยายามปิดปากไป๋หลี ในสมองกำลังจินตนาการถึงท่าทีกรีดร้องอ้อนวอนของอีกฝ่าย

 

ไป๋หลีก้าวถอยหลังและขมวดคิ้ว “ที่รักของฉันยังไม่เคยทำร้ายฉันเลย! แล้วแกเป็นใครถึงกล้าทำแบบนี้!”

 

“ฮ่าฮ่า ก็ถ้าในเมื่อมันยังไม่เคยทำ งั้นฉันนี่แหละจะทำให้เธอเอง!”

 

ดวงตาของไป๋หลีสว่างวาบขึ้นทันใด รอยยิ้มจิ้งจอกทรงเสน่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเธอ “แกเป็นคนเลือกเองนะ!”

 

สิ้นเสียง ไป๋หลีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แขนเรียวเล็กยกขึ้น และตบฉาดดด! เข้าเต็มกระพุ้งแก้มของชายที่คิดล่วงเกินเธอ

 

หากกล่าวว่าในตอนที่ฉินเฟิงเคยต่อยเขา ช่วงเวลานั้นฉินเฟิงยั้งมือ ทว่าเวลานี้ไป๋หลีไม่ได้ยั้งมือแต่อย่างใด

 

ฝ่ามือนี้ตบเข้าใส่อีกฝ่ายโดยตรง ไม่เพียงเท่านั้น แต่หน้าต่างที่เพิ่งปิดกั้น พลันพังทลายลงทันที ผู้ใช้วรยุทธโบราณปลิวตกไปด้านนอกของโรงแรม แมลงหลายสิบตัวที่เดินเตร่อยู่บริเวณภายนอกโถมเข้ากรุ้มรุมเขาทันที และเริ่มกัดแทะอย่างบ้าคลั่ง

 

ไป๋หลีเผยรอยยิ้มจางๆ

 

“จะโยนฉันออกไปเป็นอาหารแมลง? กล้าเอาความคิดแบบนั้นมาจากที่ไหนกัน!”

 

ว่าจบ ไป๋หลีก็เริ่มก้าวต่อ เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงรองเท้าส้นสูงสะท้อนไปตามทางเดิน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด