การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวยบทที่ 249 มาถึงเมืองหลวง
บทที่ 249 มาถึงเมืองหลวง
บทที่ 249 มาถึงเมืองหลวง
หลังได้ยินคำพูดของจิงเจ้อหรงแล้ว เฮ่อหลานพลันตัวแข็งทื่อ แม้เธอจะรู้ว่าการไปเมืองหลวงคือไปพบพ่อและแม่ของจิงเจ้อหรง แต่เธอก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ เพราะเธอยังมีความกังวลอยู่ไม่น้อย
เฮ่อหลานและจิงเจ้าหรงมาจากสังคมที่แตกต่างกัน เธอจึงไม่รู้ว่าพ่อแม่ของจิงเจ้อหรงจะคิดอย่างไรกับตน
ซึ่งจิงเจ้อหรงสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเฮ่อหลาน เขาก้าวไปด้านหน้าแล้วกุมมือของเธอไว้ก่อนจะถามว่า “เป็นอะไรหรือครับ? คุณกังวลเรื่องครอบครัวของผมอยู่หรือ? ไม่ต้องห่วงนะ พ่อแม่ของผมรู้เรื่องของคุณหมดแล้ว พวกเขาไม่ได้ว่าอะไรด้วย ไม่ต้องกังวล อีกอย่างพวกเขาต้องการให้เราสองคนแต่งงานกันเร็ว ๆ ด้วยนะ”
“จริงหรือคะ?”
เฮ่อหลานไม่มั่นใจว่าพ่อแม่ของจิงเจ้อหรงไม่ได้คิดอะไรกับตนจริง ๆ หรือมันเป็นเพียงการปลอบโยนลูกชายของพวกเขากันแน่ แต่สุดท้ายเธอสัญญาแล้วว่าจะไปบ้านตระกูลจิง เพราะไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ “อาเจ้อ งั้นเราไปกันพรุ่งนี้เลยไหมคะ”
อย่างไรก็ตาม เธอจำเป็นต้องไปพบพ่อแม่ของเขาก่อนแล้วค่อยตัดสินว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับตน
เมื่อได้ยินอย่างนั้น จิงเจ้อหรงถามออกไปอย่างเป็นห่วง “อาหลาน ไปพรุ่งนี้เลยหรือครับ? อีกสักวันสองวันก็ได้ เราจะได้พักผ่อนกันด้วย”
เมื่อเห็นท่าทีที่เป็นกังวลของจิงเจ้อหรง เฮ่อหลานหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราจะไปกันพรุ่งนี้เลยหลังจากส่งเจ๋อหยวนแล้ว”
คราวแรกเธอค่อนข้างกังวล แต่เมื่อเห็นสายตาที่จิงเจ้อหรงมองมาอย่างเป็นห่วง เธอจึงเลิกกังวลทันที
เมื่อเห็นว่าเฮ่อหลานไม่กังวลแล้ว จิงเจ้อหรงพยักหน้า พลางพูดว่า “ครับ งั้นเราจะเดินทางพรุ่งนี้เลย”
เป็นเพราะการเดินทางที่กะทันหัน เฮ่อหลานและจิงเจ้อหรงจึงไปบอกกล่าวกับถังซวงและถังเซวี่ย “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปเมืองหลวงหลังจากส่งเจ๋อหยวนเสร็จแล้ว ตอนนี้เรามาช่วยกันเก็บของเถอะจ้ะ”
“แม่คะ พรุ่งนี้เราจะได้ไปเมืองหลวงกันหรือ?”
ถังเซวี่ยรู้สึกประหลาดใจ แม้รู้มาก่อนว่าแม่ของตนต้องไปบ้านตระกูลจิง แต่มันเร็วเกินไปเมื่อทั้งสองมาบอกกล่าวว่าจะเดินทางในวันพรุ่งนี้
“จ้ะ ยิ่งไปเร็วเท่าไร ทุกอย่างก็จะยิ่งจัดการได้เร็วเท่านั้น”
ทว่าถังซวงไม่คัดค้านอะไร
“เอาเถอะ เราต้องเก็บข้าวของกันตอนนี้เลย แต่ไม่ต้องนำอะไรติดตัวไปเยอะนะคะ ถ้ามีอะไรขาดเหลือ เราไปซื้อใหม่ที่นั่นก็ได้ แล้วหลังจากไปถึงเราจะพักที่บ้านของเราเอง แล้วค่อยไปเยี่ยมที่บ้านของลุงจิงทีหลัง”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เฮ่อหลานกับถังเซวี่ยก็นึกได้ว่าถังซวงมีบ้านอยู่ในเมืองหลวงด้วย พวกเธอเลยไม่จำเป็นต้องเช่าบ้านพัก
“ซวงเอ๋อร์ ถ้าลูกไม่พูดแม่คงลืมไปแล้วว่าลูกมีบ้านอยู่ที่นั่น ได้เลยจ้ะ เราจะไปพักที่บ้านของลูกกัน แล้วค่อยไปเยี่ยมบ้านอาจิง”
ถังเซวี่ยมีความสุขมาก
ทว่าถังซวงกล่าวขึ้นมาจากด้านข้าง “แม่คะ นั่นไม่ใช่บ้านของหนูค่ะ แต่เป็นบ้านของแม่และพวกเราต่างหาก”
“จ้ะ ๆ บ้านของพวกเรา”
เมื่อเห็นถังซวงยืนกรานอย่างนั้น เฮ่อหลานก็ตอบรับ แต่อย่างไรเธอก็ยังคิดว่ามันคือบ้านของถังซวงอยู่ดี เพราะนี่เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากการพยายามอย่างหนักของเธอ ไม่ว่าเธอจะพูดยังไงก็แล้วแต่ เฮ่อหลานกับเสี่ยวเซวี่ยก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความพยายามนี้เลย
หลังสามแม่ลูกพูดคุยกันเสร็จ พวกเธอก็แยกย้ายกลับห้องเพื่อเก็บเสื้อผ้า
วันรุ่งขึ้น หลี่จงอี้พาถังซวงและคนอื่น ๆ ออกไปส่งโม่เจ๋อหยวน
“เสี่ยวโม่ เดินทางปลอดภัยนะ และดูแลตัวเองด้วย”
โม่เจ๋อหยวนพยักหน้า ก่อนจะตอบกลับว่า “ครับคุณปู่หลี่ ผมจะดูแลตัวเองให้ดี”
จากนั้นถังซวงก้าวไปด้านหน้าก่อนจะมองโม่เจ๋อหยวนอย่างไม่ค่อยเต็มใจที่จะกล่าวลานัก
เมื่อโม่เจ๋อหยวนเห็นท่าทีของถังซวง เขาอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ นี่เป็นไปได้ไหมว่าซวงเอ๋อร์ไม่อยากที่จะแยกจากเขา? พอคิดได้แบบนั้น หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างอธิบายไม่ได้
โม่เจ๋อหยวนก้าวไปด้านหน้าพร้อมโน้มตัวลงหาถังซวง ระยะห่างระหว่างทั้งสองลดลงอย่างกะทันหัน ราวกับลมหายใจถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
ถังซวงไม่คาดคิดว่าโม่เจ๋อหยวนจะยื่นหน้ามาใกล้ขนาดนี้ ทำให้หญิงสาวรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ในตอนนั้นโม่เจ๋อหยวนเอ่ยพูดขึ้นว่า “ซวงเอ๋อร์ ฉันจะรอเธอมาหานะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว ถังซวงไม่สนใจระยะห่างที่แคบลง เพียงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ค่ะ หลังจากเราเสร็จธุระจากบ้านลุงจิงแล้ว ฉันจะแวะไปหานะ”
“อืม… แล้วฉันจะรอ”
หลังจากนั้นเฮ่อหลาน จิงเจ้อหรง และถังเซวี่ยก็กล่าวลาโม่เจ๋อหยวน ส่วนเฮ่อหลานมอบถุงเล็ก ๆ ให้เขาแล้วพูดว่า “เจ๋อหยวนเดินทางปลอดภัยนะ”
“ขอบคุณครับป้าหลาน”
เมื่อรถมาถึงแล้ว หูจื่อเฉียงเร่งเร้าให้เขาขึ้นรถ โม่เจ๋อหยวนจึงทำได้เพียงโบกมือลา “ไปก่อนนะครับ”
หลังโม่เจ๋อหยวนออกไปแล้ว จิงเจ้อหรงหันมองเฮ่อหลานแล้วพูดว่า “อาหลาน กลับไปที่หมู่บ้านก่อนเถอะครับ แล้วค่อยเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทาง”
เฮ่อหลานพยักหน้าแล้วพูดว่า “ค่ะ กลับกันเถอะ”
เมื่อเช้านี้เองที่หลี่จงอี้ได้รู้ว่าถังซวงกับคนอื่น ๆ จะเข้าเมืองหลวง เขารู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อยที่ต้องแยกจากกับทุกคนอีกครั้ง “เฮ้อ… ไปเมืองหลวงกันหมดเลย ใครจะอยู่เป็นเพื่อนฉันล่ะทีนี้”
เฮ่อหลานรีบพูดตอบ “ลุงหลี่คะ อาจารย์กับพี่สาวของฉันก็ยังอยู่ที่บ้านค่ะ ลุงหลี่ช่วยดูแลพวกเขาด้วยนะคะ เพราะพวกเขาไม่รู้จักใครเลยในหมู่บ้านนอกจากลุงหลี่ ยังไงต้องรบกวนแล้ว”
หลี่จงอี้โบกมือเมื่อได้ยินอย่างนั้น “อาหลาน คนกันเองทั้งนั้นอย่าได้สุภาพนักเลย ฉันจะดูแลอาจารย์ซูและคนอื่น ๆ อย่างดี ไม่ต้องห่วง”
เมื่อเห็นว่าซูเหนียนอวิ๋นและเก่อชิงเหม่ยยังอยู่ที่นี่ หลี่จงอี้ก็คลายความเหงาลงไปบ้าง อีกอย่างทั้งสองไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ เขาจึงต้องดูแลทั้งสองให้ดี
เมื่อทุกคนกลับมาที่หมู่บ้านเถาฮวา สามคนแม่ลูกนำของติดตัวใส่กระเป๋าพร้อมกับติดตามจิงเจ้อหรงไปที่สถานีรถไฟ
คราวนี้จิงเจ้อหรงจองรถไฟนอน และทั้งสี่สามารถอยู่รวมกันได้ทั้งหมด มันจึงเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างสะดวกสบาย
“อาหลาน คุณยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า เดี๋ยวผมจะไปดูที่ตู้เสบียงว่ามีอะไรเหลือบ้างนะครับ”
หลังได้ยินจิงเจ้อหรงพูดอย่างนั้น เฮ่อหลานรีบหยุดเขาไว้ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเอาอาหารมาด้วย กำลังร้อน ๆ เลย เรามากินข้าวกันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเย็นหมดซะก่อน”
เฮ่อหลานหยิบบะหมี่ที่เตรียมไว้ในตอนเช้าออกมา “มาค่ะ รีบกินกันเถอะ ฉันเตรียมมาเยอะกินกันได้เต็มที่เลย”
เมื่อเห็นบะหมี่ที่เฮ่อหลานหยิบออกมา ถังซวงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“แม่คะ แม่เอาเวลาไหนไปเตรียมมันเนี่ย? หนูก็ว่าได้กลิ่นเปรี้ยว ๆ มาจากไหน”
เฮ่อหลานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เตรียมไว้เมื่อเช้านี้จ๊ะ แล้วก็มีส่วนหนึ่งสำหรับเจ๋อหยวนด้วย แม่ใส่กระเป๋าให้เขาเรียบร้อยแล้ว เอาเถอะ เรารีบกินเร็วเข้า”
ทั้งหมดกินบะหมี่จนอิ่มแล้วก็เริ่มเอนกายเพื่อพักผ่อน
ตอนเย็นจิงเจ้อหรงตรงไปที่ตู้เสบียงเพื่อซื้อข้าวกล่อง ซึ่งแน่นอนว่ารสชาติของมันไม่ดีเท่าบะหมี่ในตอนเที่ยง
รถไฟจากมณฑลเจียงใช้เวลาประมานยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดชั่วโมงในการเข้าสู่เมืองหลวง ดังนั้นเมื่อถังซวงมาถึงเมืองหลวงก็กลายเป็นค่ำคืนของวันที่สองแล้ว
“อาหลาน รถรออยู่ด้านนอกสถานีรถไฟแล้วครับ เราไปกันเถอะ”
Comments