ยอดนักรบจอมราชัน 761 การประลองของตระกูลเย่ 1

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 761 การประลองของตระกูลเย่ 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 761 การประลองของตระกูลเย่ ตอนที่ 1

ตระกูลเย่นั้นจัดการแข่งขันการประลองขนาดใหญ่เช่นนี้ในทุกๆปีทั้งในช่วงเทศกาลไหว้เจ้าและเทศกาลปีใหม่ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เป็นเทศกาลขนาดใหญ่พวกเขาก็สามารถจัดการแข่งขันเช่นนี้ได้ทุกเมื่อ ซึ่งตระกูลเย่มีหลักการที่สมาชิกทุกคนในตระกูลต้องปฏิบัติตามและนั่นก็คือไม่ว่างานของใครจะยุ่งสักแค่ไหนแต่สมาชิกทุกคนในตระกูลก็ต้องกลับมารวมตัวเท่านั้น

ถึงแม้ว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้ก็ตามแต่ถึงยังไงสมาชิกของตระกูลเย่ก็จะกลับมาในวันนี้เพราะสำหรับพวกเขาแล้วการแข่งขันการประลองเป็นงานที่สำคัญมากและเป็นเหตุการณ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเขาได้ ซึ่งนี่คือการตรวจสอบในตระกูลเพื่อกำหนดสถานะและชะตากรรมของพวกเขาในตระกูล นั่นเป็นเพราะว่าไม่มีใครอยากยอมจำนนต่อผู้อื่นตลอดไปเว้นแต่เขาจะเป็นคนที่ไร้ความกล้าหาญและความพยายามอย่างน่าสังเวช

ดังนั้นการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้ของตระกูลเย่ถือได้ว่าเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของตระกูลและเหล่าลูกศิษย์และสมาชิกของตระกูลที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกก็จะรีบกลับเพื่อแสดงความโดดเด่นในการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้ เช่นเดียวกับเย่หานหลินเพราะเขาฝึกฝนอย่างหนักหน่วงมาหลายปีเพื่อรอวันนี้ ตราบใดที่เขาชนะอย่างอันรุ่งโรจน์ในการแข่งขัน ชีวิตของเขาก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและถึงแม้ว่าสมาชิกของตระกูลสาขาจะชนะแต่ไม่ได้รับสิทธิ์และประโยชน์มากมายก็ตามแต่อย่างน้อยๆเขาก็จะไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นขยะเหมือนเมื่อก่อนอย่างแน่นอน

เมื่อเย่เชียนกับเย่หานหลินมาถึงลานประลองแล้วอัฒจันทร์ก็เต็มไปด้วยผู้คนและการแข่งขันในครั้งนี้ก็แตกต่างไปจากเดิมที่เคยเป็นเพียงกิจกรรมและการแข่งขันภายในตระกูลและคนที่เข้าร่วมและพิจารณาหรือตัดสินการแข่งขันล้วนเป็นสมาชิกในตระกูลทั้งหมด แต่ครั้งนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่ 80 ของเย่เจียอู๋ดังนั้นเย่เจิ้งเซียงจึงต้องการใช้โอกาสเพื่อแสดงคุณสมบัติรุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลเย่ให้เหล่าบรรดาแขกจากทั่วทุกสารทิศที่มาอวยพรวันเกิดเย่เจียอู๋ได้เห็นและยกระดับฐานะของตระกูลเย่ในวงการศิลปะการต่อสู้

สำหรับบรรดาแขกที่มาอวยพรวันเกิดพวกเขาก็จะไม่พลาดโอกาสนี้ไปโดยธรรมชาติเพราะพวกเขาก็ต้องการจะดูว่าในตระกูลเย่นั้นจะมีรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นหรือไม่ เพื่อที่จะดูว่าอนาคตของตระกูลเย่นั้นจะเป็นอย่างไรและอันที่จริงโลกของนักสู้โบราณเหล่านี้ก็เป็นอีกโลกเช่นกันและมันก็ค่อนข้างเล็กแต่ก็มีการต่อสู้ที่หลากหลายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เย่เจียอู๋เองก็นั่งอยู่บนอัฒจันทร์แต่ตาของเขาเหลือบมองไปรอบๆและคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแต่เมื่อเขาเห็นเย่เชียนกำลังเดินเข้ามาคิ้วของเขาก็ค่อยๆคลายออกและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข แน่นอนว่ามังกรจะให้กำเนิดมังกรและนกฟีนิกซ์ก็จะให้กำเนิดนกฟีนิกซ์ ดังนั้นการที่เย่เชียนเป็นบุตรของเย่เจิ้งหรานนั้นเย่เจียอู๋ก็เชื่อว่าต่อให้เย่เชียนจะไม่ได้เก่งเท่ากับเย่เจิ้งหรานแต่อย่างน้อยๆเย่เชียนก็คงจะไม่ใช่คนที่ไม่มีความสามารถเลย ซึ่งเย่ควรจะสามารถเป็นผู้นำในหมู่คนรุ่นใหม่ด้วยทักษะที่น่าภาคภูมิใจใช่มั้ย? ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่อยู่กับเย่เชียนในช่วงระยะเวลาสั้นๆเย่เจียอู๋ก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเย่เชียนนั้นแข็งแกร่งมากและถ้าหากเขาเดาไม่ผิดระดับขอบเขตของศิลปะการต่อสู้โบราณของเย่เชียนก็ควรจะอยู่ที่ขั้นสูง? การที่คนในวัยนี้สามารถบรรลุถึงขอบเขตดังกล่าวได้นั่นก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะแล้วเพราะแม้แต่เย่เจิ้งหรานซึ่งเดิมทีถูกขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งของตระกูลเย่ก็ยังไม่สามารถบรรลุขอบเขตเดียวกันกับเย่เชียนได้ในวัยเดียวกัน

อย่างไรก็ตามเมื่อเย่เจียอู๋เห็นเย่เชียนกับเย่หานหลินเดินมาด้วยกันด้วยท่าทางที่ดูสนิทสนมกันอย่างมากจนเย่เจียอู๋อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเพราะเย่เชียนนั้นเป็นทายาทของสายตรงของตระกูลเย่ดังนั้นเขาจะอยู่ใกล้กับตระกูลสาขาได้อย่างไร? ทายาทสายตรงควรมีความเย่อหยิ่งและคงามภาคภูมิใจเมื่อต้องเผชิญกับตระกูลสาขาและนี่คือความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับบ่าว

เห็นได้ชัดว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้สังเกตสายตาของเย่เจียอู๋และถึงแม้เขาจะเห็นเช่นนั้นถึงยังไงเขาก็จะไม่ใส่ใจเพราะเย่เชียนนั้นไม่ได้ต้องการอะไรใดๆอยู่แล้ว ซึ่งเย่เชียนมีความคิดและการตัดสินใจเป็นของตัวเองดังนั้นถึงแม้ว่าเย่เจียอู๋จะเป็นผู้อาวุโสแต่เขาก็ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำของเย่เชียนได้ ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนไม่ได้สนใจเรื่องลำดับชั้นตระกูลสายตรงและตระกูลสาขาเลยเพราะในสายตาของเย่เชียนนั้นมีเพียงแค่คำถามว่าคนๆนั้นคู่ควรหรือไม่ ซึ่งเย่เชียนเชื่อว่าเย่หานหลินนั้นเป็นคนที่คู่ควรกับคำว่าเพื่อนดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเกี่ยวกับตัวตนของเย่หานหลินเพราะตัวเขาเองก็เป็นคนที่ลุกขึ้นมาจากใต้ล่างสุดของสังคมและจะไม่มีวันมองคนด้วยสายตาแบบนั้นเพื่อตัดสินใจว่าจะมีเพื่อนเพราะตัวตนของคนๆนั้นหรือไม่

เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและมองที่เย่หานหลินแล้วตบไหล่เบาๆแล้วพูดว่า “ต่อไปนี้ผมจะคอยดูคุณต่อสู้..จำคำพูดของผมเอาไว้ว่าการแข่งขันนั้นไม่ใช่การแสดงเพราะสิ่งสำคัญคือการเอาชนะคู่ต่อสู้ของคุณไม่ใช่เพื่อแสดงท่วงท่าของคุณเพราะไม่ว่าท่วงท่าจะงดงามและวิเศษแค่ไหนแต่ถ้าหากมันไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้มันก็ไร้ประโยชน์”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หานหินก็เหลือบมองเย่เชียนแล้วพยักหน้าจากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลผมรู้ว่าต้องทำอะไร”

เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าแบบนั้นผมก็โล่งใจ..เอาล่ะผมขอตัวก่อนส่วนคุณก็ควรจะไปเตรียมตัวให้พร้อมและผ่อนคลายเพื่อทำสมาธิและไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลอะไรมากนัก..สิ่งต้องห้ามในการแข่งขันหรือการประลองนั้นคือความใจร้อน” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เดินไปหาเย่เจียอู๋เพราะถ้าหากเย่เชียนไม่ไปที่นั่นเกรงว่าเย่เจียอู๋คงจะมาหาเขาเอง จากระยะไกลเย่เชียนเห็นเย่เจียอู๋กำลังโบกมือให้เขาอย่างต่อเนื่อง

พฤติกรรมของเย่เจียอู๋นั้นดึงดูดความสนใจของบรรดาแขกที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดโดยธรรมชาติและสายตาของพวกเขาทั้งหมดก็เพ่งไปที่เย่เชียนและแอบคาดเดาตัวตนของเย่เชียนและเดาว่าเขาเป็นใครกันแน่และเหตุใดจึงทำให้เย่เจียอู๋ทำเช่นนั้น

ในฉากนี้ซงเจิ้งหยวนก็มองเห็นได้อย่างเป็นธรรมชาติและแอบถอนหายใจด้วยความโกรธแล้วพึมพำว่า “มันก็เป็นแค่ไอ้นักเลงอันธพาล”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหยาซื่อฉีก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและมองไปที่ซงเจิ้งหยวนด้วยความประหลาดใจแล้วถามว่า “ศิษย์พี่กำลังพูดถึงใครอยู่”

“จะใครอีกล่ะ..ก็ไอ้คนที่หยิ่งยโสคนนั้นไง” ซ่งเจิ้งหยวนมองไปที่เย่เชียนจากระยะไกลแล้วพูดอย่างโกรธเคือง

เหยาซื่อฉีก็มองตามและในทันใดนั้นเธอก็เข้าใจในสิ่งซงเจิ้งหยวนพูดทันทีเพราะซงเจิ้งหยวนนั้นแอบชอบหูวเค่อมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อเธอรู้ว่าหูวเค่อเลือกเย่เชียนเธอก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมากจนเธออยากรู้อยากเห็นว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนแบบไหน ด้วยเหตุนี้เธอจึงรีบไปเพื่อพบเย่เชียน ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเวลาสั้นๆและเคยพบกันเป็นครั้งที่สองเหยาซื่อฉีก็รู้สึกว่าเย่เชียนนั้นดีกว่าซงเจิ้งหยวนอย่างมาก อีกอย่างเธอก็ไม่เคยสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างในตัวของเย่เชียนเลย เมื่อเห็นเช่นนั้นเหยาซื่อฉี่ก็พูดด้วยรอยยิ้มจางๆอย่างประชดประชันว่า “บางครั้งนักเลงก็มีมนุษยธรรมและเหมือนคนมากกว่าใครหลายๆคนนะ..ฉันคิดว่ามันเหมาะสมแล้วที่พี่สาวเค่อเลือกเขาและมีเพียงเขาเท่านั้นที่คู่ควร”

“ฉันเองก็พอรู้นิสัยของพวกนักเลงมาเหมือนกันและนั่นคือถ้าคนไหนที่มีพระคุณต่อเขาล่ะก็สักวันเขาจะชดใช้คืนแต่ถ้าใครทำให้เขาแค้นล่ะก็คนๆนั้นจะต้องจ่ายคืนหลายเท่าตัว..ฉันแนะนำว่าอย่าไปทำให้เขาขุ่นเคืองจะดีกว่าไม่งั้นศิษย์พี่จะต้องทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน” เหยาซื่อฉีพูดต่อ

“หืม..ศิษย์ของสำนักหยุนหยานเหมินต้องกลัวมันในฐานะนักเลงด้วยงั้นเหรอ..อย่าพูดอะไรแบบนั้นอีกไม่งั้นสำนักหยุนหยานเหมินของเราจะถูกหัวเราะเยาะเอา” ซงเจิ้งหยวนสูดลมหายใจอย่างเย็นชาแล้วพูด

เหยาซื่อฉีก็แสยะยิ้มอย่างดูถูกและไม่พูดอะไรใดๆอีก ไม่ใช่ว่าเธอไม่สามารถพูดอะไรกับซงเจิ้งหยวนได้แต่เธอขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับคนอย่างซงเจิ้งหยวนที่คิดว่าตัวเองนั้นดีกว่าใครๆ

เย่เชียนนั้นไม่รู้เลยว่าซงเจิ้งหยวนกำลังสาปแช่งตัวเองอยู่ไม่อย่างนั้นเขาคงจะรีบไปสั่งสอนบทเรียนซงเจิ้งหยวนแล้ว ซึ่งที่สโมสรเจิดจรัสของหูวเค่อในวันนั้นที่เย่เชียนได้พบซงเจิ้งหยวนครั้งแรกเย่เชียนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมซงเจิ้งหยวนถึงได้ชักมือออกทันทีเมื่อตอนที่ซงเจิ้งหยวนได้เปรียบแต่ตอนนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าซ่งเจิ้งหยวนอาจจะกลัววิญญาณที่ชั่วร้ายในร่างของเย่เชียนใช่ไหม? หากเป็นเช่นนี้จะเห็นได้ว่าทักษะของซงเจิ้งหยวนนั้นไม่สูงมากและเย่เชียนก็สามารถเอาชนะเขาได้ด้วยทักษะปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเวลาสองปีกว่าแล้วดังนั้นทักษะของซงเจิ้งหยวนก็พัฒนาขึ้นเช่นกันใช่ไหม? อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะตราบเท่าที่เขาต้องการมันก็มีอยู่หลายพันวิธีในการกำจัดซงเจิ้งหยวนอย่างสมบูรณ์แบบ

เมื่อเห็นเย่เชียนเดินมาอันซือก็รีบทักทายเขาและจ้องมาที่เขาอย่างโกรธเคืองแล้วพูดว่า “แกไปที่ไหนหลังจากงานเลี้ยงวันเกิดเมื่อครู่นี้?”

เย่เชียนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า “เปล่า..ผมแค่ไปเดินเล่นและผ่อนคลายอารมณ์..เกิดอะไรขึ้นหรอมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”

อันซือก็ตะคอกอย่างโกรธเคืองว่า “การแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้..จำคำพูดของแม่เอาไว้นะ..แม่อยากให้ลูกหลานของตระกูลเย่ทุกคนตายในวันนี้..อย่าแสดงความเมตตาเป็นอันขาด”

เย่เชียนก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถโน้มน้าวอันซือได้และเขาก็ต้องถอนหายใจเล็กน้อยและไม่เถียงอะไรเธอเขาเพียงพยักหน้าและไม่ได้ยืนยันว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกันแน่เพราะเย่เชียนมีหลักการเป็นของตัวเอง ถึงแม้ว่าอันซือจะเป็นแม่ของเขาแต่เธอก็ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำเขาได้ อย่างไรก็ตามตลอดเวลาที่อันซือเป็นแม่ของเขานั้นเขาก็ไม่สามารถตอบโต้อย่างดุเดือดได้ ดังนั้นหลังจากเรื่องนี้จบลงถึงแม้ว่าอันซือจะโกรธแต่สิ่งต่างๆมันก็จบลงแล้วและเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสาปแช่งและตำหนิเขาอย่างรุนแรง

เมื่อเห็นเย่เชียนพยักหน้าอันซือก็คิดว่าเย่เชียนนั้นตกลงและเห็นด้วยดังนั้นรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอและเธอก็พยักหน้าตอบเบาๆแล้วพูดว่า “แกควรจะรู้เอาไว้นะว่าฉันก็ทำเพื่อตัวแกเองเหมือนกัน..ถ้าแกฆ่าทายาทของตระกูลเย่ทั้งหมดล่ะก็มันจะไม่มีใครสามารถแข่งขันกับแกเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลได้เพราะงั้นตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ในอนาคตจะต้องเป็นของแกอย่างแน่นอน..ส่วนการฆ่าทายาทในการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้นั้นฉันมีวิธีที่จะอธิบายให้พวกอาวุโสเข้าใจได้..อีกอย่างเย่เจียอู๋น่ะโปรดปรานแกมาก..ด้วยเหตุนี้เขาจะไม่ลงโทษแกอย่างแน่นอนและเราก็จะสามารถทวงคืนสิ่งที่เป็นของเรากลับคืนมาได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆจากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ผมรู้ไม่ต้องกังวลไป..ผมรู้ว่าต้องทำอะไร” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “คุณปู่เรียกผมเพราะงั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” เย่เชียนนั้นเริ่มไม่คุ้นเคยกับสิ่งต่างๆที่ทำร่วมกับอันซือเลยและเขาก็รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเขากับเธอนั้นไม่ได้ใกล้ขึ้นแต่ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งไกลออกไปเสียอีก

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด