สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค 88 จุติใหม่
พอรู้สึกตัวอีกที ก็มาอยู่ในอพาร์ทเมนต์เก่าของตัวเองแล้ว
ไม่รู้มาที่นี่ได้ยังไง
แต่นี่ก็คงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วล่ะนะ
ชั้นทำทุกอย่างที่ทำได้ในโลกนั้น จากนั้นก็ตายไป
ที่เหลือก็แค่ไปโลกหน้า แล้วก็อยู่อย่างขี้เกียจไปตลอดกาล
“โย่”
คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือ ฟุโดว นิอิโตะ
สภาพดูจะแย่ลงกว่าครั้งที่แล้วอีก แถมอารมณ์ก็ท่าทางจะไม่ค่อยดีด้วย
เจ้านี่เองก็เหลือเวลาอีกไม่มากเหมือนกันสินะ
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆนะ การที่ชาติก่อนของชั้นยังมีชีวิตอยู่เนี่ย แล้วกลายเป็นว่าตัวชั้นที่มาเกิดใหม่ดันตายก่อนซะอีก
“โอ้ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ชั้นโบกมือทักฟุโดว
แต่สีหน้าของเจ้านั่นก็ดูจะแปลกๆยังไงไม่รู้
“เฮ้ย น้ำเสียงน่ะ…”
“ไม่เป็นไรน่า ไม่มีความจำเป็นที่ชั้นจะต้องเสแสร้งต่อแล้วนี่”
ยังไงชั้นก็ตายไปแล้ว
ชั้นทำทุกอย่างเท่าที่ตัวเองจะทำได้ไปหมดแล้ว จะต้องได้แฮปปี้เอนดิ้งตามที่คาดหวังไว้แน่นอน
ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาแสดงเป็นเซนต์อีกต่อไปแล้ว
ก็น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงทำท่าทางแบบนั้นล่ะ
“พูดเหมือนทำอะไรที่ดีๆสำเร็จไปเลยนะ ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขาเลยนี่คงจะอารมณ์ดีน่าดูเลยสิ…ถ้ามองอย่างเป็นกลางแล้ว ต้องมาเห็นตัวเองทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นมันก็น่าร้องไห้อยู่นะ”
“อะไรเล่า ทำไมวันนี้ปากเสียจัง”
ไม่รู้ทำไม ทั้งๆที่เจ้าหมอนี่ก็เป็นชั้นแท้ๆ ท่าทางแบบนั้นมันอะไรกันน่ะ
ฟุโดวเปิดเกม”บุปผานิรันดร์”ในโน้ตบุ๊คโดยไม่พูดไม่จา
“เราเข้าใจผิดไปแล้ว”
“หา?”
“ให้ดูเองก็น่าจะเร็วกว่าฟังชั้นอธิบายล่ะนะ”
จากนั้นฟุโดวก็กดเล่น
ที่ตรงนั้น–คือฉากที่แตกต่างจากที่ชั้นคาดหวังไว้อย่างสิ้นเชิง
เลย์ล่านั่งกอดร่างศพของชั้นไว้พร้อมร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเป็นเด็ก
ไม่มีเศษเสี้ยวของความเยือกเย็นที่เธอมีอยู่ตามปกติเลย ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยน้ำมูกและน้ำตา…ต้องบอกเลยว่าเป็นฉากที่ช็อคชั้นมาก
ก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าเลย์ล่าก็คงจะเสียน้ำตาให้กับการตายของชั้นบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่นึกว่าจะถึงขนาดนี้
ความคิดที่ว่า “ไม่นานเดี๋ยวเธอก็ดีขึ้น” หายไปจากสมองชั้นในทันที
ชั้นไม่เคยคิดถึงอนาคตที่เธอจะต้องร้องให้ถึงขนาดนี้เลย
ทุกคนเองก็เหมือนกัน เวอร์เนลก้มหน้าด้วยความสิ้นหวัง
เกมยังคงดำเนินต่อไป เวอร์เนลขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ออกมาแม้แต่จะกินข้าว
พยายามฆ่าตัวตายไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง จนเอเทอร์น่าต้องมาหยุดไว้
ผู้คนเอง—ทั้งๆที่ก็น่าจะรู้ว่าชั้นเป็นตัวปลอมไปแล้วแท้ๆ แต่ทั้งประเทศกลับอยู่ในสภาพหดหู่แบบสุดๆ ไม่มีใครที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเลย
สีหน้าของทุกคนเหมือนกับจะตายแหล่มิตายแหล่ เหมือนกับว่าท้องฟ้าในโลกมันมืดไปหมด
ภาพของผู้คนที่ร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง…นั่นคือฉากจบของเกม
…นี่มันอะไรน่ะ?
“เป็นไงล่ะ ‘แฮปปี้เอนดิ้ง’ที่นายคว้ามาได้น่ะ”
เสียงของฟุโดวดึงชั้นกลับมาที่โลกจริง
นี่คือฉากจบที่ชั้นต้องการที่จะเห็นเหรอ…?
ไม่ ไม่ใช่อย่างแน่นอน
มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้
นี่ไม่ใช่แบบที่ชั้นคิดไว้เลยสักนิด
ชั้นไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนี้
“จนถึงที่สุด พวกเราก็เอาแต่คิดถึงแต่ตัวเอง เราไม่เข้าใจว่ารอบข้างคิดยังไงกันบ้าง และไม่เคยพยายาที่จะทำความเข้าใจ พวกเราไม่ติดอยู่กับความเป็นจริง คิดว่าชีวิตเป็นแค่เกม…สุดท้ายพอไปอยู่ในโลกที่คล้ายกับเกม ผลลัพท์ก็ออกมาซะอย่างนี้ มีสุภาษิตที่ว่า ถึงตายก็แก้โง่ไม่ได้ แล้วนี่ขนาดตายไปแล้ว ตัวชั้นก็ยังโง่อยู่เลย”
ฟุโดวพูดเหมือนกับกำลังด่าตัวเอง
เป็นคำด่าที่เล็งไปที่พวกเราทั้งสองคน
พอหน้าจอมืดลง ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
“ถึงจะบอกแบบนั้น…มันก็ไม่มีอะไรที่ชั้นทำต่อได้แล้ว! มันจบไปแล้ว!”
เวรเอ๊ย ทำไมมันถึงจบแบบนี้นะ?!
ชั้นไม่ได้อยากเห็นแบดเอนดิ้งแบบนี้สักหน่อย
ชั้นแค่อยากให้อนาคตของเจ้าพวกนั้นเป็นแฮปปี้เอนดิ้งที่ทุกคนสามารถยิ้มได้ก็เท่านั้นเอง
มันเกิดอะไรขึ้น? ชั้นทำผิดตรงไหนไป?
ทั้งๆที่มันน่าจะสมบูรณ์แบบแล้วแท้ๆ
ชั้นทำลายปีศาจไปจนพวกมันแทบจะสูญพันธุ์ แก้ปัญหาการขาดแคลนอาหาร แล้วก็แก้ปัญหาอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน
ไม่มีใครต้องตายอีก แม่มดถูกปราบ ไอ้ตัวปลอมที่มาเสแสร้งเป็นเซนต์…หรือก็คือชั้นก็หายไปแล้ว
มันน่าจะนำไปสู่แฮปปี้เอนดิ้งได้แล้วนี่นา
ก็คิดอยู่แหละว่าก็น่าจะมีบางคนที่รู้สึกเศร้าอยู่หน่อยๆ
แต่ทั้งๆที่ชั้นเป็นไอ้ขยะจอมปลอมแท้ๆ ทำไมคนถึงได้มาเศร้ากับการตายของชั้นล่ะ
ถ้าของเก๊ที่มาทำตัวเป็นเซนต์ตายไปซะได้ก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ?
มันผิดตรงไหนล่ะ? ทำไมถึงไม่พอใจกัน?
“พวกเราน่ะไม่เคยเข้าใจจิตใจของผู้อื่นมาตั้งแต่ต้นแล้ว และถึงจะเข้าใจไป เราก็คงไม่รู้สึกอะไรกับมัน เพราะอย่างนั้นถึงได้กลายมาเป็นคนแบบนี้ยังไงล่ะ”
ฟุโดวพูดอย่างลวกๆ
อะไรกันน่ะ? จะบอกว่าเพราะว่าชั้นไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น เลยทำให้สร้างแฮปปี้เอนดิ้งไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
“รู้มั้ย…มันก็แปลกดีเหมือนกันนะ ยิ่งความตายเข้าใกล้ชั้นขึ้นมามากเท่าไร ชั้นก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าตัวเองมีชีวิตมากขึ้น มันทำให้ชั้นรู้สึกได้น่ะ ว่านี่คือชีวิตจริง ความเป็นจริงที่ไม่ใช่เกม…ชั้นคิดแบบนั้นขึ้นมาได้สักที แล้วทางนายล่ะ?”
“ตัวชั้น…”
ตัวชั้น…คิดยังไงกันนะ?
จนถึงตอนสุดท้าย ชั้นก็มองว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่น คิดว่ามันเป้นแค่เกม
แต่…ก็แปลกจังนะ เพราะว่าชั้นไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับแบดเอนดิ้งอื่นๆเลยแท้ๆ
มันรู้สึกอึดอัด…น่าหงุดหงิดที่สุด
ยิ่งคิดใบหน้าร้องไห้ของเลย์ล่าก็ยิ่งทำให้ชั้นยิ่งโกรธ รู้สึกเหมือนอยากจะระบายออกมา
“อย่างน้อยที่สุด นายก็ไม่ได้คิดว่าคนพวกนั้นเป็นแค่ตัวละครในเกมใช่มั้ยล่ะ”
“…แต่ชั้น…”
เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการมองเห้นคุณค่าของผู้อื่นเป็นครั้งแรก
แต่มันก็สายไปแล้ว
ไม่มีอะไรที่ชั้นจะทำได้อีก ยังไงชั้นก็ตายไปแล้วที่ฝั่งนั้น
ดูเหมือนว่าฉากจบยังเล่นไม่เสร็จ จากจอที่มือดอยู่จนถึงเมื่อครู่ จู่ๆก็สว่างพรึ่บขึ้นมา
บนจอนั้น คือปีศาจที่ชั้นไม่เคยเห็นมาก่อน
…ฮะ? นั่นมันตัวอะไรน่ะ?
ร่างของผู้หณิงเป็นสิบๆก่อตัวกันเป็นร่างขนาดยักษ์
มันบุกเข้าโจมตีเมือง…ถึงแม้พวกเวอร์เนลพยายามที่จะต่อต้านแต่ก็ไร้ผล
“…นี่คือกลุ่มก้อนพลังของแม่มดที่ไม่มีร่างสถิต…ดูเหมือนว่ามันจะต่อจากฉากจบเมื่อกี๊น่ะ”
ฟุโดวอธิบายตัวตนของเจ้านี่ให้ชั้นฟัง
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นศูนย์รวมของคำสาปที่ถ่ายทอดจากแม่มดรุ่นสู่รุ่นมานานเป็นพันปี
พอลองคิดดู มันน่าจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเสียงหัวเราะที่ได้ยินในรูทแบดเอนด์อื่นๆ
หรือก็คือ…มันยังไม่จบ
ถึงแม้ว่าคนอื่นนอกจากเซนต์จะปราบแม่มด และทำลายวังวนนั้นลงไปได้ นั่นก็ยังไม่ใช่จุดจบ
พลังที่ขาดซึ่งร่างสถิตจะควบแน่นกลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวนี้และออกอาละวาด
ถึงแม้อัลเฟรียและเอเทอร์น่าจะร่วมมือกันก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นพลังของแม่มดทุกรุ่นรวมกัน
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เซนต์แค่คนสองคนจะต่อกรด้วยไหว
“ท่านเอลริส! ช่วยพวกเราด้วย!”
“ท่านเอลริส!”
“ท่านเอลริส!”
ในอีกฟากของหน้าจอนั้น ผู้คนตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากชั้น
หยุดเถอะ…ชั้นทำอะไรไม่ได้แล้ว
มันจบแล้ว ชั้นน่ะตายไปแล้วนะ
มันจบ…
—ไม่มีอะไรที่ชั้นทำได้เลย มันทำให้ชั้นรู้สึกโมโห
ไอ้เจ้านี่มันอะไรกัน?
กล้าดียังไงมารังแกเลย์ล่ากับเอเทอร์น่า?
แค่เพราะว่าชั้นไม่ได้อยู่ด้วยเลยจะทำตามใจชอบงั้นสิ? หา?
“…โดนเรียกอยู่แน่ะ ท่านเอลริส”
“…ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ”
ชั้นกลับมาใช้น้ำเสียงแบบเดิมอีกครั้ง
มันเร็วเกินไปที่จะทิ้งฉากหน้านี้ไปสินะ
ไม่สนหรอกว่าไอ้ยักษ์นั่นมันจะเป็นตัวอะไร
ถึงชั้นจะตายไปแล้วทางฝั่งนั้น ก็ไม่สนหรอกเฟ้ย
ชั้นยกโทษให้มันไม่ได้ ยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้
คิดว่าชั้นทุ่มเทกับการฟื้นฟูโลกนั้นไปมากขนาดไหนกัน?
ไม่ต้องมาหัวเราะเลยไอ้เวร ชั้นจะตรงไปกระทืบแกเดี๋ยวนี้แหละ
“นี่เอลริส…เอาชีวิตของชั้นไปสิ”
“เอ๊ะ?”
“มันเหลืออยู่ไม่มากก็จริง แต่ก็น่าจะต่อได้มากพอที่จะปราบเจ้านั่นได้ ยังไงชั้นก็คงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้อยู่แล้ว ไม่สนอยู่แล้วล่ะ”
ฟุโดวเอามือตบอกพร้อมหัวเราะ
ชั้นเองก็หลุดหัวเราะออกไปด้วย
โทษนะ ทนไม่ไหวนะ ยังไงนั่นก็เป็นตัวชั้นทั้งคน
ดูเหมือนว่ายังไงชีวิตของเขาก็เหลือไม่มากแล้ว อีกไม่นานเดี๋ยวเจ้านี่ก็จะตายลง และกลับมารวมตัวกับชั้นอยู่ดี
อย่างมากนี่ก็แค่เร่งให้มันเกิดเร็วขึ้นไม่กี่ชั่วโมง
“ไม่ออมมือให้หรอกนะคะ”
“แหงล่ะ เอาจริงๆชั้นก็โทรเรียกให้คนมาแล้ว อีกไม่นานก็จะพบชั้นเป็นศพในห้องนี้ จะปล่อยให้ศพเน่ารบกวนเพื่อนบ้านก็คงไม่ดีใช่มั้ยล่ะ?”
ตั้งแต่แรก ฟุโดวตั้งใจที่จะตายในวันนี้อยู่แล้ว
คงจะรู้สึกได้สินะ
ถึงกับเตรียมการไว้แล้วด้วย
ถ้าอย่างนั้น ชั้นก็ไม่เกรงใจล่ะ
ชั้นจับมือของฟุโดว และเกิดประกายแสงขึ้น
ร่างของฟุโดวล้มลง ราวกับหุ่นเชิดที่ด้ายถูกตัด และในเวลานั้น ความทรงจำของฟุโดวก็ไหลเข้ามาในหัวชั้น
รู้สึกเหมือนกับถูกเติมเต็มยังไงก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ก็ตายไปแล้วน่ะนะ
“ท่านเอลริส!”
“ท่านเอลริส!”
“ท่านเอลริส!”
“ท่านเอลริส!”
จากอีกฟากของหน้าจอ ทุกๆคนเอาแต่เรียกชื่อเอลริสจนเริ่มรำคาญแล้วเนี่ย
จ้า จ้า จะไปเดี๋ยวนี้แหละ
อายุที่เหลือของฟุโดวคงจะมีแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่นั่นก็น่าจะพอล่ะมั้ง
พอลืมตาขึ้นมาอีกที ชั้นก็อยู่ภายในคริสตัลแล้ว
นี่คือ…อ้า เวทมนตร์ของอัลเฟรียสินะ
น่าจะเอาไว้รักษาสภาพศพชั้น ดูเหมือนว่าเจ้าพวกนี้ไม่ได้คิดจะเผาหรือฝังศพชั้นเลยสินะ
ก็ถือว่าเหมาะเหม็ง ถ้าไม่มีร่างเหลือให้ใช้นี่ ชั้นก็คงทำอะไรไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ
พอมองออกไป ผู้คนมากมายก็นั่งคุกเข่าสวดภาวนากับคริสตัล
คนถือดาบที่อยู่ข้างหน้าชั้นในตอนนี้…คือเวอร์เนลสินะ
เจ้ายักษ์คิดที่จะทุบคริสตัลนี้ทิ้ง ทำลายชั้นไปพร้อมกันเลย
คงจะรู้สึกได้ถึงภัยที่ใกล้เข้ามาล่ะมั้ง
น่าเสียดายว่ะ ช้าไปเว้ย
ชั้นพุ่งทะลุออกมาจากคริสตัล ระเบิดมือของมันออกก่อนที่จะได้แตะเวอร์เนล
.
“เคี้ยฮ่าฮ่าฮ่า! อะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
เวอร์เนลยังคงต่อสู้กับแม่มดต่อไป
แขนของแม่มดจำนวนมากที่งอกออกมาพุ่งเข้าโจมตีเวอร์เนลจากทุกทิศทาง เสียงหัวเราะของมันเองก็ค่อยๆแหลมสูงขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้เวอร์เนลพยายามที่จะกันเอาไว้ด้วยเกรทซอร์ด แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้จนหมด บาดแผลเริ่มจะโผล่ให้เห็นบนขา แขน ท้อง และหน้าอก
นี่คือการต่อสู้ด้านความอดทนที่เห็นผลมาตั้งแต่เริ่ม ถึงเวอร์เนลจะรอดการโจมตีมาได้ แต่เขาก็ไม่มีวิธีที่จะสามารถสร้างความเสียหายให้กับมันได้เลย เขาไม่มีโอกาสชนะแม้กระทั่งหนึ่งในหมื่น
มันต่างกันแค่เขาจะตายตอนนี้หรือในอีกสักครู่
จะยืดการต่อสู้ที่สิ้นหวังนี้ไปจนถึงเมื่อไรกัน?
ทั้งๆที่ผ่านมาไม่ถึงนาที เวอร์เนลกลับรู้สึกเหมือนเขาสู้ติดต่อกันมาหลายชั่วโมง
ทั้งร่างของเขาถูกย้อมด้วยสีแดง แขนที่ถือดาบนั้นก็ใกล้หมดกำลังเต็มที
“อย่ามา…ดูถูกกันนะโว้ย! แกมันก็แค่เศษเสี้ยวที่ไม่มีแม้แต่สติของตัวเอง!”
อเล็กเซียคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เธอใช้พลังเวทย์ของเวอร์เนลที่ฟื้นฟูกลับมาได้ในการหยุดการเคลื่อนไหวของมัน
แต่พลังเวทย์ที่เวอร์เนลฟื้นฟูกลับมาในช่วงเวลาสั้นๆนั้นสามารถหยุด”แม่มด”เอาไว้ได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
ที่ช่วงท้องของร่าง ใบหน้าของอีฟปรากฏขึ้นและอ้าปาก ปล่อยพลังเวทย์มหาศาลออกมา
“กุ…กุ…กุโอ๊ววววว!”
เวอร์เนลพยายามที่จะใช้เกรทซอร์ดกันเอาไว้ แต่ต้านทานได้เพียงไม่กี่วินาทีก็กระเด็นปลิวไป
ร่างของเขากระทบเข้ากับคริสตัลที่ผนึกร่างศพของเอลริสเอาไว้ เวอร์เนลคุกเข่าลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
แต่เขาก็ยังไม่ล้มลง เขาจับดาบและพยายามที่จะใช้มันพยุงตัวเองขึ้นมา
“ยัง…หรอก…”
เขาลุกขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ใครๆก็สามารถบอกได้ว่าเขาไม่มีกำลังหลงเหลืออยู่แล้ว
แค่การที่สามารถลุกขึ้นมาได้ก็ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
ที่เบื้องหน้าของเขา คือฝีเท้าของแม่มดที่ใกล้เข้ามา
“อุฟุฟุฟุ…”
“เปล่าประโยชน์…เป็นการต่อต้านที่เปล่าประโยชน์…”
“ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน”
“ก็จะไม่ได้รับผลตอบแทน”
ใบหน้าทั้งหลายของแม่มดหัวเราะร่าราวกับจะเยาะเย้ยเวอร์เนล
นี่คือตัวตนที่เกิดขึ้นจากความสิ้นหวังของเหล่าเซนต์ในอดีต
พวกเธอต่อสู้เพื่อความหวัง แต่ปลายทางนั้นกลับเป็นความสิ้นหวัง นั่นคือความคิดสุดท้ายก่อนที่พวกเธอจะตายลง
“แม่มด”เป็นตัวตนที่ไม่เชื่อในความหวัง
เป็นตัวตนที่ยอมแพ้แล้วในทุกสิ่งทุกอย่าง
และตัวตนนั้น ก็คืบคลานเข้ามาเพื่อที่จะดับชีวิตของเวอร์เนล
ในเวลานั้น เสียงราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างแตกออกดังขึ้นจากด้านหลังของเวอร์เนล แสงสว่างเจิดจ้าทำลายแขนของแม่มดจนมันระเบิดออก
“…เอ๊ะ?”
เวอร์เนลไม่อาจประมวลภาพด้านหน้าได้ทัน
เวอร์เนลจ้องมองแผ่นหลังเบื้องหน้าของตัวเขา
ผมสีทองและชุดเดรสสีขาวปลิวไสวไปตามแรงลม
ความเงียบงันปกคลุมเหล่าประชากร ราวกับเวลาได้ถูกหยุดนิ่ง
พวกเขาใช้เวลาหลายวินาทีกว่าที่จะสามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าภาพตรงหน้านั้นเป็นความจริงหรือไม่
นี่คือฝันหรือเปล่า?
หรือนี่เป็นเพียงภาพลวงตา?
เขาต้องการที่จะเรียกเธอเพื่อให้แน่ใจ
แต่เขาก็ไม่กล้า นี่มันเป็นเรื่องเกินจริง มันดีเกินไปสำหรับสถานการณืในตอนนี้
พวกเขาไม่กล้าคิด…เพราะว่านี่อาจจะเป็นเพียงความฝันหรือภาพลวงก็เป็นได้
เขากลัวว่าเธอจะหายไปอีกครั้ง เสียงของเขาไม่ยอมเล็ดลอดออกจากลำคอ
เพราะว่าเธอได้จากไปแล้ว
มันเกิดขึ้นตรงหน้าของเขาเลย เป็นความผิดของตัวเขาเองเสียด้วยซ้ำ
เขาเห็นเธอหยุดหายใจ หัวใจของเธอหยุดทำงาน
ชีวิตของเธอได้สิ้นสุดลงในเวลานั้น
การที่เธอจะกลับมาจากความตายด้วยพลังของเธอเองนั้นเป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่มีอยู่จริง
แต่ปาฏิหาริย์เช่นนั้นกลับอยู่ตรงหน้าของเขา ยืนหันหลังให้กับตัวเขาที่จ้องมองอยู่
“ได้ยินแล้วล่ะจ้ะ คำอธิษฐานของทุกคนน่ะ…เสียงของเธอเองก็ด้วยนะ เวอร์เนลคุง”
เธอคนนั้น—เอลริสหันหลังกลับมา
ไม่ต้องสงสัยเลย นี่คือสัญลักษณ์แห่งแสงสว่างที่โลกนี้สูญเสียไปในวันนั้น
“ทุกคน…พยายามกันได้ดีมากเลยจ้ะ ต่อจากนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชั้นเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังสนั่น
เสียงของผู้คนดังไปจนถึงท้องฟ้า กระทั่งทำให้”แม่มด”ชะงักไป
มันคือตัวตนที่กำเนิดขึ้นจากความรู้สึกด้านลบ เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความรู้สึกด้านบวกเช่นนี้คือสิ่งที่มันเกลียดที่สุด
เอลริสเงยหน้าขึ้นฟ้า และทันใดนั้น เมฆหมอกสีดำก็กระจายออก เปิดเป็นท้องฟ้าสีครามเช่นเดิม
แสงสีทองเรืองรองจากบนฟากฟ้า รักษาเหล่าทหารที่บาดเจ็บจนหายเป็นปลิดทิ้ง
“อา…อ๊าาา….”
เมื่อได้เห็นนายหญิงของเธออีกครั้ง เลย์ล่าก็ร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
นายหญิงของเธอยังคงมีชีวิตอยู่จริงๆ
เธอคนนั้นที่หลับหลายมาตลอดในช่วงหลายวันมานี้ กลับมาเดินและพูดคุยได้อีกครั้ง
เอลริสเดินไปด้านหน้าของเลย์ล่า และใช้แขนเสื้อของเธอเช็ดน้ำตาของเลย์ล่าออก
“เป็นท่าน…เป็นท่านจริงๆสินะคะ…ท่านเอลริส?”
“ใช่แล้วจ้ะ ดูเหมือนว่าจะยังมีงานที่ค้างคาอยู่ทางนี้น่ะ…ชั้นเลยกลับมาเพื่อสะสางให้เสร็จ”
เอลริสส่งรอยยิ้มให้แก่เลย์ล่า และมองไปรอบๆ
เหล่าทหารนั้นโชกไปด้วยเลือด ทั้งดาบและชุดเกราะของพวกเขาล้วนปริแตก
ถึงแม้บาดแผลจะหายดีแล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามสู้มากแค่ไหน
นั่นยิ่งทำให้เธอคิดว่าคนพวกนี้ช่วงโง่เง่า
เธอไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมพวกเขาถึงพยายามขนาดนั้นเพื่อตัวปลอมอย่างเธอ
เธอไม่ได้มีค่าถึงขนาดนั้นเสียหน่อย
เธอไม่ใช่เซนต์ที่น่านับถือ…ตั้งแต่มาเกิดใหม่ในโลกนี้ ไม่สิ ตั้งแต่ในชาติที่แล้ว เธอมักจะมองความเป็นจริงเป็นเหมือนแค่เกม เธอมองปัญหาทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องของคนอื่น…ทุกๆอย่างที่เธอทำในโลบกนี้ ก็เป็นเพียงการโรลเพลย์เท่านั้น
เธอวางบทบาทให้กับตัวเอง จากนั้นก็แสดงไปตามบทบาทนั้นเพื่อความพึงพอใจของตน
เป็นขยะดีๆนี่เอง
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าทุกๆคนเชื่อมั่นใน”เซนต์เอลริส”ถึงขนาดนั้นล่ะก็
ถึงแม้ว่าหลังจากที่ความจริงที่ว่าเธอเป็นเพียงตัวปลอมถูกเปิดเผยออกไปแล้ว แต่ถ้าพวกเขายังเลือกที่จะงมงายเชื่อต่อไปล่ะก็
ถ้าอย่างนั้น…ก็เอาสิวะ
เธอจะเป็นสัญลักษณ์ให้กับผู้คนเหล่านั้น จนถึงหยดสุดท้าย
ยัยเซนต์ตัวปลอมคนนี้นี่ล่ะ…จะเป็นของจริงให้กับเจ้าพวกนี้เอง
ผู้คนรู้แล้วว่าเธอเป็นตัวปลอม ฉากหน้าของเธอนั้นมีแต่รูโหว่เต็มไปหมด ถึงอย่างนั้น…เธอก็ยังจะเป็น”เอลริส”ที่ทุกคนเชื่อมั่น จนถึงวาระสุดท้าย
“เอลริส…”
“เจ้าตัวปลอม…”
“ทำไมพวกเราถึงต้องเจ็บปวด ในขณะที่ตัวปลอมกลับถูกยกย่อง…”
“ยกโทษให้ไม่ได้”
คำด่าทอหลุดออกมาจากปากของเหล่าแม่มด ความโกรธและความริษยาทั้งหลายพุ่งตรงมายังเอลริส
แต่ใบหน้าของเอลริสที่ได้ยินเช่นนั้นกลับสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
“ชั้นเป็นตัวปลอมจริงๆนั่นล่ะค่ะ จะไม่ขอแก้ตัวอะไรทั้งสิ้น แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้วล่ะค่ะ”
พลังเวทย์สีทองอร่ามไหลออกมาจากร่างของเอลริส
เป็นพลังเวทย์ที่มากเกินกว่าที่เอลริสเคยใช้มาครั้งไหนๆ
หลังจากที่ได้ดวงวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งกลับมา ตัวเธอก็ถูกเติมเต็ม
ถ้าจะให้พูดก็คือ จนถึงตอนนี้ เอลริสใช้ชีวิตโดยมีวิญญาณเพียงครึ่งเดียวมาโดยตลอด
หลังจากที่วิญญาณของเธอกลายเป็นหนึ่งเดียว พลังเวทย์ที่เธอมีอยู่ในตอนนี้นั้นสูงยิ่งกว่าในอดีต
เธอกลายเป็นตัวเธอเองอย่างเต็มตัวเสียที
ถึงแม้จะแค่นิดหน่อย แต่เธอก็รู้สึกผูกพันกับโลกนี้มากกว่าแต่ก่อน
เหมือนที่ฟุโดว นิอิโตะบอกเธอ…ไม่สิ เหมือนที่เอลริสครั้งยังเป็นฟุโดว นิอิโตะเคยบอกไว้
…เรื่องนั้นก็ยังงงๆอยู่ แต่ไงก็เถอะ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ในที่สุดเขาก็รู้สึกได้ถึงความเป็นจริง
ถึงมันจะเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่า โลกที่เธออาศัยอยู่ในตอนนี้น่ะ…คือความเป็นจริง
เธอมองมันเป็นแค่เกมมาตลอด…เธอมองจากมุมมองที่สาม ราวกับว่ามองมาจากอีกฟากหนึ่งของจอ แต่ไม่ใช่อีกแล้ว นี่คือโลกจริง คนปกติคงจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เอลริสต้องตายซักสองสามครั้งกว่าจะเข้าใจเรื่องแบบนั้นได้
ในเวลาเดียวกันนั้น เธอรู้สึกได้ถึงความโกรธ
นี่ไม่ใช่ “ตัวละครที่ชั้นชอบถูกรังแก นั่นทำให้ชั้นโกรธ” อีกแล้ว
แต่เป็น “คนรอบข้างชั้นถูกทำให้เจ็บปวด ชั้นจึงโกรธ” ซึ่งก็เป็นอารมณ์ที่ค่อนข้างจะพิศวงสำหรับเธอเช่นกัน
เธอโกรธน่ะสิ…เป็นความโกรธที่มากที่สุดตั้งแต่…ไม่สิ ขนาดในชาติที่แล้วเธอยังไม่เคยโกรธถึงขนาดนี้เลย
“คุณบอกว่า ยกโทษให้ไม่ได้ สินะคะ ใช่แล้ว ในที่สุดชั้นก็เข้าใจเรื่องนั้นแล้วค่ะ นี่คงจะเป็นความรู้สึกโกรธที่ชั้นไม่เคยสัมผัสมาก่อน”
“แม่มด”ถอยหลังกลับไปเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เอลริสปล่อยออกมา
คนที่ตกใจยิ่งกว่า”แม่มด” ก็คือเลย์ล่า
ในความทรงจำ ตั้งแต่ที่เธอรับใช้เอลริสมา เธอเองก็ได้เห็นสีหน้าอารมณ์ต่างๆของเอลริสมามากมาย
ใบหน้าจริงจัง ใบหน้าโศกเศร้า ใบหน้ายิ้มแย้ม…แต่เมื่อลองคิดดู เธอไม่เคยเห็นใบหน้าเกรี้ยวกราดของเอลริสแม้แต่ครั้งเดียว
สีหน้าที่แสดงถึงความรุนแรงซึ่งเอลริสไม่เคยแสดงให้ใครเห็นมาก่อน รวมถึงเลย์ล่าที่เป็นองครักษ์ส่วนตัวของเธอเองก็ด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเผยให้เห็นจิตสังหารเช่นนี้ออกมา
“—ยกโทษให้ไม่ได้ น่ะ มันเป็นคำพูดของทางนี้ต่างหากล่ะคะ!”
ดาบแห่งแสงขนาดยักษ์ตกลงมาจากท้องฟ้า ปักลงไปยังอกของ”แม่มด”
Comments