ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้วบทที่ 678 รางวัลที่ดีที่สุดสำหรับนักรบคือ…(2)

Now you are reading ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว Chapter บทที่ 678 รางวัลที่ดีที่สุดสำหรับนักรบคือ...(2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 678 รางวัลที่ดีที่สุดสำหรับนักรบคือ…(2)

เดิมทีหลี่ฉางโซ่วต้องการตอบกลับ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่มีอะไรเลย

ไม่แม้แต่จะถือได้ว่าเป็น “การปรับเล็กน้อยบนวิถีแห่งการฝึกบำเพ็ญ

แต่เขาก็ยิ้มอยู่ในใจ เมื่อได้เห็นสีหน้าจริงจังและคาดหวังของอวิ๋นเซียว เขาก็รู้สึก… วางแผนเล็กน้อยในใจ

จากนั้นเขาก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและกล่าวว่า “บางที ข้าอาจถูกท่านอาจารย์ที่ไม่รู้ความจริงตำหนิเพราะการเดินไปตามวิถีของข้าราบรื่นเกินไป…

เฮ้อ ไม่มีอะไรที่ข้าจะทำเกี่ยวกับเรื่องศาลสวรรค์ได้เลย

ในเมื่อข้าได้สัญญากับองค์เง็กเซียนเอาไว้แล้วว่า จะรักษาความลับ ข้าจึงพูดอะไรกับพระแม่หวังหมู่ไม่ได้ ดังนั้น ย่อมเป็นการสมควรแล้วที่ข้าจะต้องถูกลงอาญา เมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้รับแรงกดดันมากเกินไป”

“ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร?”

อวิ๋นเซียวหยุดไปชั่วขณะ นางเม้มริมฝีปากบางของนางและหน้าแดงพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ชำนาญในการร้องรำทำเพลง”

หลี่ฉางโซ่วมองเทพธิดาในชุดเสื้อคลุมสีขาวที่อยู่ตรงหน้าเขาที่ถูกดึงกลับมาสู่โลกมนุษย์ด้วยตัวเขาเอง

เส้นผมสีดำของนางยาวสลวยราวกับน้ำตก และดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยดวงดาว นางเป็นดุจสุราเซียนที่หอมหวลที่สุดในใต้หล้า

ครั้งแรกที่เขาได้เห็นนาง เขาก็มึนเมาแล้ว

หลี่ฉางโซ่ว ซึ่งเดิมทีอยากฉวยโอกาสกลั่นแกล้งนาง พลันรู้สึกผิดเล็กน้อย

เป็นเรื่องยากที่ผู้ยิ่งใหญ่ทรงพลังแห่งโลกบรรพกาลจะมาสนใจเขา และที่สำคัญที่สุด นางเชื่อใจเขา!

แล้วเขายังอยากจะหลอกลวงผู้อื่นให้ “ร่ายรำเพื่อสร้างเพียงเงาเสมือน[1]”! หลี่ฉางโซ่ว เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?!

“ความจริงแล้ว ก็ไม่เป็นไร” หลี่ฉางโซ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจเมื่อกล่าวว่า “หาใช่เรื่องใหญ่ไม่”

อวิ๋นเซียว… ไม่เชื่อ

นางมองไปที่ม้านั่งยาวใต้ราวบันไดของศาลาและเริ่มจะลอยขึ้นเหนือมัน

จากนั้นนางก็นั่งลงที่ปลายด้านหนึ่งและกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ก่อนหน้านี้ เมื่อน้องสามติดอยู่ในช่วงตีบตันและไม่อาจทะลวงฝ่าด่านไปได้เป็นเวลาหลายแสนปี นางก็กังวลเป็นเวลานาน

ข้าได้ปลอบโยนนางและทำให้นางสงบลง เจ้าอยากลองหรือไม่?”

“อึ้ม…”

ข้าจะลองดู!

“เช่นนั้น มานอนลงสิ…”

นอนลง!

หลี่ฉางโซ่วผงะงัน เขามองไปที่ม้านั่งยาวที่อวิ๋นเซียวกำลังตบเบา ๆ จากนั้นก็มองไปที่ใบหน้าแดงก่ำของนาง ทว่าเขาก็แสร้งทำเป็นสงบ

อวิ๋นเซียวก้มศีรษะลงเล็กน้อยและมองไปทางด้านข้างพลางเอ่ยเบา ๆ ว่า “ไม่ต้องอายหรอก…”

หลี่ฉางโซ่วก็สับสนเล็กน้อยเช่นกัน

จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งที่ด้านข้างก่อน แล้วลงนอนตะแคงข้างๆ นางโดยมีที่แถบคาดศีรษะของเขาพัวพันที่กระโปรงของนาง

“เช่นนี้หรือ?”

สิ่งมีชีวิตเซียนเทียนทั้งหมดควรปลอบโยนผู้อื่นเช่นนี้หรือไม่?

พวกเขาควรจะนั่งข้างๆ ข้าพลางร้องเพลงเบาๆ และเล่าเรื่องให้ข้าฟังหรือไม่?

“เข้ามาใกล้ ๆ สิ”

หือ?

ทว่าก่อนที่หลี่ฉางโซ่วจะทันได้ตอบสนอง เขาก็รู้สึกได้ถึงนิ้วของอวิ๋นเซียวอยู่บนศีรษะของเขา เขาพลันเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวและเอนหลังลงไป

ครั้นเมื่อนิ้วแตะเขาอีกครั้ง เขาก็นอนอยู่บนตักของนางแล้ว และมือนุ่มคู่นั้นก็บีบศีรษะของเขาเบาๆ

ในขณะนั้น อากาศเย็นได้ไหลรินเข้าสู่ร่างกายของเขาและหวีเส้นผมยาวของเขาอย่างระมัดระวัง นางร้องเพลงเบาๆ สองสามเพลงจริงๆ

นี่…

นี่อาจเป็นนิพพานในตำนาน ขา หมอนรองขา[2]?

มันเป็นโลกบรรพกาล และหลี่ฉางโซ่วก็ถูกมองว่าไม่มีใคร เขามีอำนาจในศาลสวรรค์และมีอิทธิพลบางอย่างในสำนักบำเพ็ญเต๋า

แต่ในขณะนี้ เขาก็อยากจะร้องตะโกนสรรเสริญจากก้นบึ้งของหัวใจที่เขาได้รับมาจากชาติก่อนของเขาจริงๆ

อวิ๋นเซียว!

วิเศษจริงๆ!

……

หลี่ฉางโซ่วขี่เมฆกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยในยามค่ำ เขารู้สึกสดชื่นและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยแสงเรืองโรจน์มีชีวิตชีวา

เขาเดินวนไปครึ่งรอบบนภูเขาและไปที่ห้องเดินหมากเล่นไพ่เพื่อดูท่านปรมาจารย์ใหญ่และอาจารย์อาของเขาที่กำลังดื่มและเล่นกัน

จากนั้น เขาก็ไปเยี่ยมศิษย์น้องหญิงของเขา ที่กระท่อมมุงจาก นางกำลังทำความเข้าใจเต๋าใหญ่ และท่านอาจารย์ของเขา ก็เข้าปิดด่านแล้ว

ในท้ายที่สุด เขาก็ร้องเพลงเซียงซือ[3]เบาขณะไปที่กรงสัตว์วิญญาณ

เขาตัดสินใจที่จะหาสัตว์วิญญาณ ฆ่ามัน และกินคู่กับสุราเพื่อเฉลิมฉลองความจริงที่ว่าเขาจะไม่ต้องกังวลกับเรื่องเล็กน้อยของศาลสวรรค์ในอีกห้าสิบปีข้างหน้า

“ญาติผู้พี่ ท่านมาถึงที่นี่!”

สงหลิงลี่โยนสัตว์ร้ายบนไหล่ของนางและประสานมือคารวะให้เขา

“อืม” หลี่ฉางโซ่วยิ้มรับ

เขาเดินไปตามทางข้างๆ กรงขังอสูรวิญญาณโดยเอามือไพล่หลังและฮัมเพลงแผ่วเบา

สงหลิงลี่กะพริบตาราวกับได้เห็นผี

ไฉนข้าถึงรู้สึกว่า เทพแห่งท้องทะเลดูกรุ้มกริ่มเล็กน้อย?

“หลิงลี่”

“บอกข้ามาเถิด ญาติผู้พี่”

“เป็ดตัวนั้นเป็นโรคลมแดดหรือไม่”

“เห็นได้ชัดเลยเจ้าค่ะ!”

สงหลิงลี่หักนิ้วของนาง พลางหันกลับแล้วกระโจนเข้าไปหามัน นางชกมันให้สลบ สังหารมัน และลอกขนของมันออก

จากนั้นนางก็รีบตัดแก่นแท้ของสัตว์วิญญาณ ซึ่งมีเนื้อสัมผัสที่หอมและกรอบที่สุด และส่งมอบให้เทพแห่งท้องทะเล

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและพยักหน้า จากนั้นเขาก็หยิบขวดโอสถออกมาจากแขนเสื้อและตบไหล่ของสงหลิงลี่

เขากล่าวอย่างจริงใจว่า “ผลงานบนยอดเขาหยกน้อยของเจ้านั้นดีมาโดยตลอด ถึงเวลาที่ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งและให้เจ้ามีบทบาทใหญ่ขึ้น

นี่คือ โอสถที่ข้าหลอมขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อร่างกายของเจ้า กินมันหนึ่งเม็ดในทุกๆ หนึ่งปี แล้วหลังจากผ่านไปสิบปี เจ้าก็จะมีความแข็งแกร่งเหนือกว่า เผ่าเวททั่วไป และในอีกร้อยปี เจ้าก็จะเทียบได้กับเผ่าเวทสงคราม”

………………………………………………………………..

[1] มาจากประพันธ์บทร้อยแก้วที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งแต่งขึ้นในกลางฤดูใบไม้ร่วงในรัชสมัยของฮ่องเต้ซ่งเสินจง ผู้ประพันธ์คือ ซูซื่อ หรือนามที่รู้จักกันในนาม “ซูตงโพ” โดยในช่วงเวลานั้น ซูซื่อขัดแย้งกับขุนนางที่ต้องการจะปฏิรูปการปกครองจนถูกย้ายไปรับราชการยังชายแดนที่ห่างไกล และในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ซูซื่อที่เพิ่งสูญเสียภรรยา และต้องพัดพรากกับครอบครัวในวันที่ชาวจีนเชื่อกันว่าครอบครัวควรอยู่พร้อมหน้า เขาจึงประพันธ์บทร้อยแก้วที่สะท้อนความรู้สึก แต่ยังคงสอดแทรกความรู้สึกทะนุถนอมชีวิต เห็นคุณค่าของชีวิตและยังมีจิตใจที่แจ่มใสอยู่ด้วย ดังเช่นในช่วงตอนนี้

[2] ในที่นี้คือตัก

[3] เพลงรักที่คิดถึงกัน เฝ้าคะนึงหากัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด