The Conquerors Path 461 Step One To A Happy Life!
นับตั้งแต่อาเรียมาอยู่ในการดูแลของผม เธอไม่เคยมีปฏิกิริยาใดๆ กับใครเลยนอกจากผมเลย อันที่จริงผมรู้สึกว่าเธอไม่ใส่ใจใครเลยนอกจากผมเลยด้วยซ้ำ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ปฏิกิริยาของเธอมีการเปลี่ยนแปลง
“หม่าม๊า?”
เกรซผงะเมื่อได้ยินอาเรียพูดคำเหล่านั้นออกมา และคนอื่นๆ ก็เช่นกัน บรรยากาศแปลกๆ ในห้องเริ่มบ้าคลั่งมากขึ้น สายตาของเกรซจับจ้องมาที่ผมขณะที่ผมพยักหน้าให้เธอ
เมื่อเห็นแบบนั้น เธอก็ยิ้มแบบแม่และค่อยๆ ลูบผมของอาเรีย
“ว่าไงจ๊ะที่รัก?”
เกรซพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ
‘ดี’
ด้วยความประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของเกรซ ผมจึงมุ่งความสนใจไปที่อาเรียและถามด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความรักว่า
“เอาสิไปเล่นกับหม่าม๊าสิลูก”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม อาเรียก็ยิ้มและกระโดดขึ้นไปบนตักของเกรซที่พยายามเอาใจเธอให้ดีที่สุด
ในตอนแรกเกรซตะขิดตะขวงใจเล็กน้อยกับแนวคิดที่จะเอาใจผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลก แต่สุดท้ายแล้ว สัญชาตญาณความเป็นแม่ของเธอในการเลี้ยงลูก 3 คนก็แทรกเข้ามา และในไม่กี่วินาทีทั้ง 2 ก็ใกล้ชิดกัน
เมื่อเห็นแบบนั้น ผมก็ยิ้มขณะที่ความสนใจของผมหันไปหาอีก 2 คนที่กำลังมองมาที่เราด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ฉันเคยเห็นเรื่องบ้าๆ บอๆ มาเยอะแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกเลย…”
‘ว้าว ดูเหมือนพฤติกรรมแย่ๆ ของเอเลนอร์กำลังจะโผล่ออกมาแล้ว…’
เมื่อนึกถึงคำพูดของเอเลนอร์ ผมก็มองพวกเธอด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวขณะพูด
“ผมคิดว่าปัญหาน่าจะถูกแก้ไขแล้ว แต่ผมกำลังวางแผนที่จะใช้เธอเพื่อจัดการกับปัญหานั้นของเรา…”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม ดวงตาของมิร่าก็สว่างขึ้น และเธอก็พูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ด้วยพลังของเธอ มันคงง่ายดายราวกับหายใจ…”
“นั่นสิครับ”
ผมพยักหน้ากับคำพูดของมิร่าขณะที่เอเลนอร์พูดแทรกขึ้นมา
“พวกเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่หนิ?”
ขณะที่เธอถามคำถามนี้ ผมก็มุ่งความสนใจไปที่เอเลนอร์ก่อนจะหันไปมองเกรซซึ่งสนใจประเด็นนี้เช่นกัน ดวงตาของเธอกรีดร้องเมื่อรู้รายละเอียดมากขึ้น ดีกว่าเสียอย่างนั้น และวิธีนี้จะทำให้ง่ายต่อการนำแผนการที่ผมมีในใจมาใช้ได้
“งั้นผมจะเริ่มอธิบายให้ฟังนะครับ…”
ผมเริ่มอธิบายเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เริ่มจากการพูดคุยกับมิร่า ไปจนถึงแผนการที่เราดำเนินการ แถมผมยังให้เอกสารที่มีข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับตระกูลฮิลล์คลาวด์ที่รวบรวมไว้ให้พวกเธอด้วย
เมื่อได้ยินเกี่ยวกับแผนการของพวกฮิลล์คลาวด์ ใบหน้าของเกรซก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธสูงสุดที่เธอแสดงออกมาได้
“ฉัน…จะ…ฆ่า…พวกมัน…”
เธอพูดด้วยคำพูดที่ร้อนระอุขณะลูบอาเรียที่กำลังกังวลเบาๆ และผมยังได้รับการกล่าวหาจากทั้งเกรซและเอเลนอร์ ซึ่งดูโกรธเคืองที่ผมไม่ได้แจ้งให้พวกเธอทราบเรื่องนี้ด้วย
‘ดูเหมือนว่าเราจะมีผู้หญิง 2 คนที่ต้องเอาใจสินะ…’
ด้วยความประหลาดใจกับสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง ผมจึงมุ่งความสนใจไปที่มิร่าในขณะที่เธอพูด
“แล้วหลานไม่คิดว่าเธอจะมีความแค้นหลังจากตื่นขึ้นมาเหรอ?”
ขณะที่มิร่าพูด เธอก็ชี้ไปที่อาเรียที่กำลังถูกเอาใจอยู่
ผมถอนหายใจกับคำพูดของเธอก่อนจะตอบกลับไป
“เธอให้ความไว้วางใจในตัวผมโดยไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากที่ผมอาจจะเผชิญ ดังนั้นถ้าผมจะใช้ประโยชน์จากเธอนิดหน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบของผม คนอื่นๆ ก็ไม่ตอบโต้เพราะมันเป็นเรื่องจริง
ความรู้สึกเงียบปกคลุมพวกเราทุกคน จนกระทั่งอยู่ๆ เอเลนอร์ก็พูดขึ้นมา
“แล้วนี่เธอจะเล่าให้พวกเราฟังได้รึยังว่าเธอไปทำอะไรกับพวกดาร์กไนท์มาบ้าง?”
คำพูดของเธอทำลายบรรยากาศ และมิร่าก็มองมาที่ผมด้วยสายตากล่าวหา ในขณะที่เกรซซึ่งไม่ยุ่งเรื่องการเมืองแล้วดูงุนงง
เมื่อเห็นแบบนั้นมิร่าก็เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับอัจฉริยะขั้นสุดยอดที่ปรากฏในดาร์กไนท์ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกลำบากใจขณะฟังข้อมูล โดยบังเอิญตอนที่ผมไม่ได้อยู่ที่สถาบัน
สุดท้ายแล้วผมก็ไม่คิดที่จะเก็บเรื่องที่ตัวเองเกี่ยวข้องกับดาร์กไนท์เป็นความลับกับพวกเธอทั้ง 3 คนเพราะหากนำเรื่องราวมาปะติดปะต่อกันแล้ว มันคงไม่ต้องเป็นอัจฉริยะเลยที่จะรู้ว่าผมอาจจะเป็นคนที่สู้กับเซลด้า แน่นอนว่ามันยังเป็นเพียงความสงสัยจากพวกเธอซึ่งผมปฏิเสธได้ และพวกเธอก็คงจะเชื่อผม แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผย สิ่งต่างๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ
“เห้อออ…”
ผมถอนหายใจออกมาดังๆ แล้วเอนตัวพิงโซฟา ดวงตาของผมเปล่งประกายด้วยอารมณ์ ‘ซับซ้อน’ ขณะที่ผมพูดด้วยเสียงต่ำ
“ใช่แล้ว นั่นผมเองครับ…”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม ความเงียบอันน่าตกตะลึงอีกครั้งก็เข้ามาในห้อง
ผมเริ่มพูดด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ ซึ่งสะท้อนถึงความโศกเศร้าและความพึงพอใจด้วยอาการสั่นสะท้านจนหายใจไม่ออก
“รู้ไหมครับว่าผมมีเรื่องบางอย่างที่ยังไม่ได้บอกพวกคุณ พวกคุณจำตอนที่ผมปลุกสายเลือดของผมได้ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม ผมก็เห็นเกรซสะดุ้ง ในขณะที่มิร่ามีสีหน้าลำบากใจเมื่อเธอเริ่มรู้สึกถึง ‘ความเจ็บปวด’, ‘ความทุกข์’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ ทั้งหมดของผมที่กดดันตัวเองอยู่ ในขณะเดียวกันเอเลนอร์ก็มองมาที่ผมด้วยดวงตาเศร้าโศกขณะที่เธอจ้องมองดูสีหน้าสูญเสียของผม
“มันทำไมงั้นเหรอ?”
มิร่าถามพร้อมกับสะดุ้งเล็กน้อยขณะทำเช่นนั้น
“ความจริงก็คือ สายเลือดของผมมันสยบไม่ง่ายเลยครับ และพวกคุณน่าจะเข้าใจเรื่องนั้นทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ?”
พวกเธอทั้ง 3 พยักหน้ากับคำพูดของผม ขณะเดียวกันอาเรียก็ยังคงมองไปมาระหว่างผมกับเกรซด้วยท่าทางกังวล
เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะสงสัยเกี่ยวกับสายเลือดของผมมากขึ้น ด้วยอาวุธลิขิตชะตาของตัวเองและความสามารถในการรักษาพลังงานที่เสื่อมทราม และตอนนี้ ผมทำให้พวกเธอเข้าใจว่าพลังอันล้ำลึกของผมนั้นไม่ธรรมดา
ผมทำลายสามัญสำนึกทั้งหมดต่อหน้าพวกเธอ
“รู้ไหมครับว่าในตอนที่สายเลือดของผมตื่นขึ้นมา จริงๆ แล้วผมได้รับภารกิจหรือหน้าที่บางอย่างมาด้วยครับ”
ขณะที่ผมพูดจนถึงตรงนี้ อารมณ์ของผมก็ไหล่ไปหามิร่าทำให้เธอต้องกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างแรง ในขณะที่ผู้หญิงอีก 2 คนมีสีหน้าลำบากในตอนที่มองหน้าผม เกรซถึงกับก้าวมาข้างหน้าและจับมือของผมเพื่อปลอบใจก่อนเธอจะถามขึ้นมา
“หน้าที่อะไรและจากใครเหรอจ๊ะ?”
ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของผมจึงมีสีหน้าลังเลใจ ซึ่งไม่นานผมก็สงบลงก่อนจะตอบกลับเธอไป
“มันเป็นหน้าที่ที่ต้องปกป้องโลกครับ และมันก็มาจากบรรพบุรุษของผม ผู้ถือครองสายเลือดคนแรกนี้หรือชายผู้ที่แม้แต่เทพเจ้าดูจะเกรงกลัวครับ…”
เมื่อได้ยินคำตอบของผม ผมก็มองเห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิง 3 คนนี้ที่รักผมสุดหัวใจ
“ออสติน อธิบายให้เจาะจงกว่านี้หน่อยสิจ๊ะ”
เกรซพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง
ผมส่ายหัวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวแล้วตอบกลับไป
“ผมบอกไม่ได้ครับ”
“ออสติน!”
เกรซตะโกนเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวขณะมองมาที่ผม ความโกรธของเธอไม่ได้มุ่งตรงมาที่ผม ไม่ใช่เลย แต่พุ่งตรงไปยังโลกที่ดูเหมือนจะพรากคนที่เธอรักไปจากเธอ
“เธอหมายความว่ายังไงกันที่บอกว่าต้องปกป้องโลก?”
เอเลนอร์ถามด้วยท่าทางแข็งกระกร้าว
ผมยิ้มอย่างอ่อนแรงก่อนจะตอบกลับเธอไป
“พลังงานเสื่อมทรามบนโลกกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ และผมผู้ที่สามารถต่อต้านมันได้จึงเกิดขึ้นมา ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อเลยเนอะครับ?”
คำพูดประชดของผมทำให้ทั้ง 3 คนชะงัก โดยเฉพาะเกรซที่มองผมด้วยตาสีแดง อาเรียดูเหมือนจะน้ำตาไหลขณะที่เธอนั่งอยู่ระหว่างเรา
เมื่อเห็นแบบนั้นผมเลยก้าวไปข้างหน้าและลูบหัวอาเรียเบาๆ ขณะที่กระซิบออกมา
“ชู่…อย่าร้องเลย ปะป๊าไม่เป็นอะไรหรอก”
เมื่อพูดเช่นนั้นเสร็จ ผมก็กอดร่างของอาเรียขณะที่มองคนอื่นๆ ด้วยสายตาที่แคบลง
พวกเธอเข้าใจการกระทำของผมและเงียบไป สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครอยากให้นิวเคลียร์ลุกลามจนควบคุมไม่ได้
ผมจับร่างของอาเรียเบาๆ ขณะที่จ้องมองเข้าไปในดวงตาที่สั่นเทาที่ซับซ้อนของผู้หญิง 3 คน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจิตใจของพวกเธอกำลังสวดภาวนาขอให้ผมปลอดภัย
‘อีกหนึ่งก้าวของการใช้ชีวิตแบบฮาเร็มอย่างแสนสุข…’
ผมครุ่นคิดถึงคำพูดของตัวเองภายในขณะที่ห้องค่อยๆ เงียบลง โดยที่ระหว่างนั้นผมก็ค่อยๆ โยกอาเรียไปเรื่อยๆ จนเธอผล็อยหลับไป ในตอนนั้นเองที่พลังที่อยู่รอบๆ สถานที่แห่งนี้ก็ลดลง และทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ยกเว้นสภาพจิตใจของผู้หญิงทั้ง 3 คน
“ผมได้รับมอบหมายหน้าที่มากมาย แต่ผมไม่สามารถบอกเรื่องพวกนั้นให้ทุกคนฟังได้ครับ ผมไม่สามารถนำชีวิตของทุกคนมาเสี่ยงได้…”
“เธอคิดว่าพวกเราอ่อนแอเหรอไง?”
เอเลนอร์ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและหรี่ตาลง
ผมส่ายหัวแล้วตอบกลับ
“มันตรงกันข้ามเลยครับ พวกคุณทั้ง 3 คนเป็นคนที่ผมรักและห่วงใย และพวกคุณทั้ง 3 ก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ผมรู้จัก นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่สามารถปล่อยให้ใครเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เพราะผมรู้ว่าพวกคุณทุกคนจะทำอะไร……”
เมื่อพูดจบ สีหน้าของผมก็ตึงเครียดและเห็นได้ชัดว่าไม่เต็มใจที่จะพูดอะไรอีก ความเงียบในห้องช่างเย็นยะเยือกจนจู่ๆ เกรซก็พูดขึ้นมา
“ฉันขออยู่คนเดียวซักพัก…”
“แม่ครับ…”
ผมพยายามพูด แต่เกรซก็ขัดขึ้นมาซะก่อน
“แม่บอกว่าแม่ขออยู่คนเดียวก่อนไง…”
พูดจบเธอก็เดินออกจากห้องไป
สายตาของผมจับจ้องไปที่เอเลนอร์ที่กำลังลูบหัวตัวเองด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“ออสติน ไว้เดี๋ยวมาหาฉันด้วยหล่ะ…”
เธอพูดก่อนจะหายตัวไป
สายตาของผมหันไปหามิร่าที่เข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของผม เธอเดินมานั่งข้างๆ ก่อนจะกอดผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“นะ-น้าขอโทษ น้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเธอต้องทนทุกข์มามากขนาดไหน…”
“น้าครับ…”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งพร้อมกับความรักที่ผมมีต่อเธอระเบิดออกมา ผมกอดเธอโดยมีอาเรียอยู่ระหว่างเรา
‘ทั้ง 2 คนออกไปแล้วใช่ไหม?’
[ ใช่ ]
‘ดี’
…
-Donate-
True Money Wallet ID : mraxzy
ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต\
Comments