หมอผีแม่ลูกติดบทที่ 261 ตาต่อตาฟันต่อฟัน
บทที่ 261 ตาต่อตาฟันต่อฟัน
หลีเจี้ยนเฉินที่กำลังนอนพักอยู่บนเตียงในขณะนี้ กำลังพยายามนึกย้อนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานอยู่
เขาจำได้ว่าเมื่อวานแผลของเขายังติดเชื้ออยู่เลย แต่เพียงแค่คืนเดียวมันกลับหายเป็นปลิดทิ้ง หรือว่า… นี่เป็นฝีมือของท่านหมอหลิน?
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
“คุณชายหลีขอรับ ข้าน้อยนำยามาให้ท่าน” เป็นเสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาจึงอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา แต่แล้วก็เป็นต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นยาต้มในมืออีกฝ่าย
ถึงยาต้มจะรักษาโรคได้ดี มันก็ยังกินอยากอยู่ดีนั่นแหละ
คนจึงหันหน้าหนีจากยาล้ำค่านั่นทันที
ฝ่ายเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาดูจะชินกับเรื่องทำนองนี้เสียแล้ว เขาจึงพูดตามที่ท่านหมอหลินบอกไป “ข้าทราบมาว่าท่านไม่ชอบความขมของมัน ข้าจึงได้ต้มยาให้นานกว่าปกติตามคำสั่งของท่านหมอหลิน”
เพียงเท่านั้นตาของหลีเจี้ยนเฉินก็เป็นประกายขึ้นมาทันที “เป็นคำสั่งของท่านหมอหลินจริง ๆ หรือ?”
เด็กหนุ่มผงกหัวแล้วส่งชามยาให้อีกฝ่าย
เมื่อหลีเจี้ยนเฉินรับมาดื่มก็พบว่ายาขมน้อยดังคำว่า ทำให้เขาสามารถดื่มต่อไปได้จนหมดชามโดยที่ไม่รู้สึกทรมานมากนัก
เมื่อดื่มเสร็จ ใบหน้าของคนก็ดูจะเหยเกนิด ๆ ด้วยที่มันยังมีรสขมติดอยู่ที่ลิ้น แต่ก็ยังไม่วายถามถึงหลินซีเหยียนจากเด็กหนุ่มคนข้าง ๆ “ตอนนี้ท่านหมอหลินอยู่ที่ไหน?”
“ท่านหมอหลินบาดเจ็บและกำลังพักผ่อนอยู่ขอรับ” เมื่อถูกถามเรื่องนี้ สีหน้าของเด็กหนุ่มก็หม่นหมองลงไปในพริบตา “เมื่อวานนี้ท่านหมอหลินได้ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาสมุนไพรมาให้ท่าน แต่นางดันไปเจอพวกคนไม่ดีเข้า ยังโชคดีที่มีคนไปช่วยเหลือนางได้ทันการ ไม่อย่างนั้นนางคงได้ตายบนภูเขาไปแล้ว”
หลินซีเหยียนบาดเจ็บสาหัสมากอย่างนั้นหรือ!?
หลีเจี้ยนเฉินไม่อาจทนนอนนิ่งอยู่เฉย ๆ ได้อีกต่อไป เขาหุนหันพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียงทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะสร่างไข้และร่างกายยังอ่อนแอ “พาข้าไปหานางที”
เด็กหนุ่มพลันถลันไปประคองพร้อมกล่าวเตือนทันที “ร่างกายของท่านยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกไปไหนมาไหนนะขอรับ”
แต่แล้วกลับต้องผงะจากสายตาของหลีเจี้ยนเฉิน
เมื่อเผชิญกับสายตาอันหนักแน่นดั่งหินผาของอีกฝ่ายเข้าไป เด็กหนุ่มก็ใจอ่อนและพาหลีเจี้ยนเฉินไปหาหลินซีเหยียนอย่างช่วยไม่ได้
ขณะที่เดินนำทางไป เด็กหนุ่มก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘คนรู้จักของเถ้าแก่เนี้ยแต่ละคนนี่มันยังไงกันนะ คนไหน ๆ ก็มีแต่บรรยากาศที่ชวนให้ไม่กล้าขัดใจทั้งนั้น’ เมื่อคิดไปก็มีแต่จะทดท้อใจ เด็กหนุ่มจึงพับความคิดของตัวเองลงแล้วสนใจแต่เพียงพาหลีเจี้ยนเฉินไปหาท่านหมอหลินให้ถึงที่
ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงหน้าห้องพักของหลินซีเหยียน หลีเจี้ยนเฉินพลันกล่าวกับบานประตูเบา ๆ “แม่นางหลิน…”
อีกฟากของประตูนั้นไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดตอบกลับมา ฮ่องเต้หนุ่มจึงยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ ด้วยความร้อนใจกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง เขาจึงเอ่ยปากขออนุญาตเบา ๆ พร้อมค่อย ๆ แง้มประตู
สิ่งแรกที่สะดุดเข้ามาในคลองสายตาคือใบหน้ายามนิทราของหลินซีเหยียน ช่างดูสงบและงดงามยิ่งนัก
เด็กหนุ่มลูกจ้างที่เหมือนจะเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ก็ตบหัวตัวเองเบา ๆ พร้อมกล่าวขึ้นว่า “คุณชายหลี ยาของเถ้าแก่เนี้ยน่าจะได้ที่แล้ว ข้าน้อยขอตัวไปเอามาก่อนนะขอรับ”
หลีเจี้ยนเฉินสะบัดมือพร้อมพูดขึ้นทันที “รีบออกไปสิ!”
เด็กหนุ่มแอบหน้ายู่ในใจเมื่อได้ยินเสียงกึ่งตะคอกของอีกฝ่าย
…นี่ข้าทำอะไรผิดไปงั้นหรือ?
คิดพลางเดินผละไปทำตามหน้าที่ของตน
เมื่อหลีเจี้ยนเฉินยืนชั่งใจอยู่หน้าห้องได้อึดใจหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นโอกาสเพียงน้อยนิดนักที่เขาจะได้เห็นท่านหมอหลินกำลังหลับเช่นนี้
เขาดึงเก้าอี้ออกมาเบา ๆ แล้วนั่งลงข้างเตียง เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ซีดเผือดของหลินซีเหยียนแล้ว ดวงตาของหลีเจี้ยนเฉินก็เต็มไปด้วยความปวดใจ
ไม่ได้ เขาจะละทิ้งโอกาสงาม ๆ เช่นนี้ไปไปได้!
พอได้มาอยู่ต่อหน้าหลินซีเหยียนที่กำลังหลับใหลแล้ว เขาก็ส่ายศีรษะสะบัดเอาความหดหู่ออกไป แล้วก้มลงไปจุมพิตเบา ๆ บนหน้าผากของหญิงสาวแทน
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มสดใสออกมาราวกับเด็กซนที่เพิ่งฉกฉวยเอาขนมหวานมาได้
“อืมม…”
เมื่อได้ยินเสียงครางดังขึ้นแผ่วเบาแล้ว หลีเจี้ยนเฉินจึงเรียกสติตัวเองกลับมา จากนั้นจึงถามหลินซีเหยียนที่เพิ่งรู้สึกตัวอย่างเป็นกังวล “ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ท่านไม่ใช่หมอ บอกท่านไปก็ช่วยอะไรหม่อมฉันไม่ได้หรอกเพคะ” แม้จะเพิ่งตื่น ก็ยังไม่วายตอบอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็มองหลีเจี้ยนเฉินอย่างตงิดใจแปลก ๆ ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงได้รู้สึกว่า หลีเจี้ยนเฉินถึงได้มีท่าทีเหมือนสุนัขตัวใหญ่ ที่กำลังกระดิกหางไปมาราวกับเกิดเรื่องสุขใจขึ้นเช่นนี้
หลีเจี้ยนเฉินเมื่อได้ฟังคำพูดคำจาอันโหดร้ายทารุณเข้า ก็ดูจะสลดลงเหมือนกัน “ข้าเป็นห่วงท่านหมอหลินจริง ๆ นะ”
การจะเผยความอ่อนแอให้คนอื่นได้เห็น เป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในมโนสำนึกของหลินซีเหยียนอยู่แล้ว นางจึงไม่คิดพูดถึงเรื่องอาการของตน แล้วตอบอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ไม่ต้องห่วงหรอก หม่อมฉันหนังเหนียวอยู่แล้ว นอกจากพิษเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“เจ้าถูกพิษอย่างนั้นหรือ?” ท่าทีของหลีเจี้ยนเฉินดูดุดันขึ้นมาทันที มือพลันไปจับไหล่อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว “มันรักษาได้หรือไม่? ถ้ามันรักษายากข้ามียาที่สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้อยู่นะ”
“ยาที่ใช้รักษาชีวิตของฮ่องเต้คงไม่ใช่ยาธรรมดา ๆ เป็นแน่ ท่านเก็บไว้กับตัวของท่านนั่นแหละดีแล้ว!” นางกล่าวปฏิเสธเขาอย่างติดตลก แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าสุนัขหงอยของอีกฝ่ายแล้ว หลินซีเหยียนจึงกล่าวเพิ่มว่า “ไม่ต้องห่วง พิษกระจอกเพียงนี้ไม่อยู่ในสายตาของหมอเช่นหม่อมฉันหรอก”
“ข้าเองก็เชื่อในความสามารถของท่านหมอหลิน อย่างไรเสียท่านหมอหลินก็เคยช่วยชีวิตของข้าเอาไว้” หลีเจี้ยนเฉินพูดพลางทุบอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “ต่อจากนี้ไป ชีวิตของข้าจะเป็นของท่านหมอหลิน!”
“ไม่เอาหรอก ชีวิตของท่านมีค่ามากเกินไป หม่อมฉันคงรับไว้ไม่ได้” หลินซีเหยียนคลี่ยิ้มบางก่อนจะหลับตาลง
ท่ามกลางบรรยากาศพ่อแง่แม่งอนนั้นเอง เมื่อเจียงหวายเย่เปิดประตูเข้ามาเจออะไรเช่นนี้เข้า มุมปากกระตุก ก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ทำไมเสี่ยวเหยียนเอ๋อถึงได้มาอยู่กับเขาได้?”
“แล้วทำไมท่านหมอหลินถึงจะอยู่กับข้าไม่ได้?” หลีเจี้ยนเฉินสวนกลับด้วยน้ำเสียงเป็นปรปักษ์ทันควัน
ในขณะที่บุรุษสองคนกำลังแยกเขี้ยวใส่กันอยู่นั้น เด็กหนุ่มลูกจ้างก็เคาะประตูห้องที่เจียงหวายเย่เปิดทิ้งไว้ แล้วเดินเข้ามาข้างในพร้อมยาต้มของหลินซีเหยียน
เมื่อพูดถึงรสชาติของยาต้มแล้ว หลินซีเหยียนก็ขมวดคิ้วนิด ๆ ตอนที่ดื่มเข้าไปเช่นกัน พลันนั้นดวงตาก็หลีเจี้ยนเฉินก็เป็นประกายขึ้นมา “ที่แท้ท่านหมอหลินเองก็ไม่ชอบดื่มของแบบนี้เหมือนกันสินะ”
“ถ้าหากไม่ป่วยแล้ว ใครมันจะไปอยากดื่มของแบบนี้กัน!” หลังจากที่พูดเช่นนี้หลินซีเหยียนก็ฉุกคิดได้ว่าตัวเองพูดอะไรบางอย่างผิดไป นี่ไม่ใช่ว่านางกำลังค่อนขอดตัวเองที่กำลังป่วยอยู่หรอกหรือ?
เอาเถอะ! นี่ก็เป็นความตื้นลึกหนาบางของชาวจีนที่แพร่กระจายไปทั่วหลายพันปี
ส่วนเด็กหนุ่มลูกจ้างที่เพิ่งเข้ามานั้น รู้สึกกลัวเจียงหวายเย่ขึ้นมา จึงรีบเก็บชามยาแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าสีหน้าอยากฆ่าคนของเจียงหวายเย่จะผุดขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของลูกจ้างผู้น่าสงสารคนนั้น
ในขณะที่คนสองคนยังมองหน้ากันอย่างไม่ลดละ เจียงหวายเย่ก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงผินหน้าไปพูดกับหลินซีเหยียนแทน “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ หลังจากพรุ่งนี้ไป เจ้าจะไม่ต้องทนเห็นหน้าที่น่ารำคาญของเขาแล้วนะ”
“หน้าของเจ้าน่ะสิที่น่ารำคาญ ข้าน่ะคือชายที่งามที่สุดในรัฐหลีแล้ว”
หากพูดถึงรูปโฉมของเขาแล้ว หลีเจี้ยนเฉินนั้นสุดแสนจะมั่นใจเหลือเกิน เมื่อเขาพูดจบ ก็หันไปขยิบตาให้หลินซีเหยียนทีหนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่หลินซีเหยียนไม่ได้ตอบสนองอะไรกับสิ่งนี้
คนที่เคยหางตั้งหูตั้งอย่างหลีเจี้ยนเฉินก็พลันหมดความมั่นใจในทันที เขารู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้นิด ๆ ก่อนจะลอบถอนหายใจแล้วหันไปพูดกับเจียงหวายเย่ “ข้าจะบอกอะไรให้นะ คนที่กลับไปน่ะ มีเพียงท่านมหานักบวชคนเดียว ดังนั้นเจ้าล้มเลิกความคิดที่จะขัดขวางข้าเสียเถอะ”
เจียงหวายเย่หรี่สายตาโดยพลัน
อย่างที่เขาคิดไว้จริง ๆ หลีเจี้ยนเฉินกำลังหมายตาเสี่ยวเหยียนเอ๋ออยู่!
ทันใดนั้นเอง…
“ท่านแม่!”
เสียงเล็ก ๆ ของเทียนเอ๋อดังขึ้นพร้อมกับร่างน้อย ๆ ที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามา ด้วยเมื่อคืนเขาไม่ได้อยู่ที่โรงหมอหุยชุน เขาจึงไม่ทราบเรื่อง แต่เมื่อได้ข่าวว่าแม่ตนป่วย ก็รีบวิ่งมาทันที
เมื่อพบว่ามารดาของตนปลอดภัยแล้วเด็กน้อยจึงโล่งใจ กระนั้นเมื่อเห็นใบหน้าที่ยังซีดเซียวอยู่ ก็อดบ่นออกมาไม่ได้ “ท่านแม่ ท่านเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วทำไมท่านถึงไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี! เทียนเอ๋อไม่อยู่กับท่านแม่ทีไร ท่านแม่ก็เจ็บตัวตลอดเลย”
Comments