ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 635 ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง!
ตอนที่ 635 ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง!
อิงอิงไม่ได้ตั้งใจจะแสดงตัวตนอะไร เธอก็ฟังออกว่าคำพูดของทนายอันแฝงไปด้วยอารมณ์ขันมากกว่า แต่มีบางเรื่อง ผู้ชายสามารถพูดล้อเล่นได้ แต่เธอกลับจริงจัง
ถึงแม้อิงอิงจะรู้จักเถ้าแก่ของตัวเองดี มีสเปกสูง ไม่สนใจผู้หญิงธรรมดาทั่วไป และจะไม่ไปเที่ยวสถานที่แบบนั้นเหมือนนักพรตเฒ่ากับทนายอัน ทว่าในหนังสือ ‘การฝึกฝนทักษะของสาวใช้’ ได้แนะนำเกี่ยวกับนิสัยของผู้ชายโดยเฉพาะ ถึงแม้ปากจะพูดอย่างตรงไปตรงมา ดูแล้วรู้จักยับยั้งชั่งใจมากแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วก็ทนไม่ไหว ซึ่งเป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญ บางทีอาจจะเป็นเพราะออกมาทำงานนอกพื้นที่คนเดียวจึงไปสถานที่แบบนั้น หรืออาจจะออกไปซื้อกับข้าวแล้วก็ไปสถานที่แบบนั้น
ก่อนหน้านั้นอิงอิงเคยดูข่าว ผู้ชายคนหนึ่งกับแฟนสาวรวมทั้งแก๊งเพื่อนออกไปกินปิ้งย่างด้วยกัน เขาไปเข้าห้องน้ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะไปหาผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างถนนทำเรื่องอย่างว่า แล้วจึงโดนตำรวจบุกจับการค้าประเวณีโดยบังเอิญ อิงอิงจะไม่คัดค้านเถ้าแก่ตัวเองไปทำเรื่องแบบนั้น แต่เธอต้องมีมาดของสะใภ้ใหญ่
ทนายอันส่ายหน้า รู้สึกปลงอนิจจังที่ระบบศักดินาทำร้ายผู้คนไม่น้อย ขณะเดียวกันภูเขาไฟขนาดเล็กที่มีไฟริษยานับหมื่นดวงได้ปะทุออกอย่างบ้าคลั่ง!
มื้อเย็นเนื่องจากชุ่ยฮวาไม่อยู่แล้ว ย่อมไม่มีผักดอง จึงได้สั่งอาหารมาจากข้างนอก ทนายอันมอบน้ำดอกพลับพลึงแดงขวดหนึ่งให้แก่เฝิงซื่อประดุจอวดสิ่งของอันล้ำค่า ทุกคนกินอย่างเรียบง่าย แต่กลับเต็มไปด้วยความเอร็ดอร่อย
หลังจากกินข้าวเสร็จ เฝิงซื่อจุดธูปสามดอก จากนั้นวาดเขียนอยู่กลางฝ่ามือของตัวเองอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน ต่อจากนั้นจึงลุกขึ้น ยิ้มเล็กน้อยพลางพูดว่า “หาเจอแล้ว”
หาเจอได้อย่างไร โจวเจ๋อไม่แน่ใจ แต่คิดว่ายมโลกน่าจะมีวิธีของตัวเอง
โลกมนุษย์ ระบบ ‘ตาข่ายสวรรค์’ ฉายาที่ภายนอกเรียกกันในหลายปีที่ผ่านมานี้เริ่มแพร่หลายอย่างช้าๆ แต่ฝั่งยมโลกกลับมีความละเอียดยิ่งกว่า คนเราล้วนต้องตาย เมื่อตายแล้วลงนรกก็จะมีแฟ้มเอกสารอยู่ในยมโลก บวกกับดวงตาหลายคู่มากมายที่มีอยู่ ถึงแม้ทุกวันนี้ยมทูตระดับล่างในโลกมนุษย์จะตกต่ำไม่เหลือชิ้นดี แต่ในท้ายที่สุดก็เป็นแมลงร้อยขาตายก็ไม่ล้ม แค่หยิบแส้ขึ้นมาฟาดสองสามที ก็สามารถทำอะไรได้บ้าง
ทุกคนจัดของเรียบร้อย อันไหนควรเอากลับก็เอากลับ อันไหนควรทิ้งก็ทิ้ง จากนั้นจึงไปแก้แค้นต่อ
…
ทะเลสาบลาซื่อไห่ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวน้อยมาก ไม่ใช่เพราะอยู่ในช่วงโลว์ซีซัน แต่เป็นเพราะที่นี่มีการปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อมในช่วงนี้ จึงทำให้โปรแกรมท่องเที่ยวมากมายในบริเวณนี้ต้องหยุดลง ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาเที่ยวที่นี่จึงน้อยมาก
หลังจากขับรถมาถึงบริเวณใกล้เคียง ทางภูเขาที่อยู่ด้านในก็เดินทางไม่สะดวกแล้ว โชคดีที่ด้านข้างฟาร์มสเตย์ที่จอดรถอยู่มีสนามม้าแห่งหนึ่ง ทนายอันเข้าไปต่อรองราคากับเถ้าแก่ด้านใน เพื่อให้เถ้าแก่ของสนามม้ายอมจูงม้าออกมา
แต่ก็ไม่ได้สั่งให้ม้าวิ่งตะบึง ในความเป็นจริงนั้นคนที่เลี้ยงม้าก็ไม่กล้าให้คุณหวดแส้ลงหลังม้าเพื่อให้มันวิ่งห้อหรอก ทนายอัน เฝิงซื่อ รวมทั้งสวี่ชิงหล่างขี่ม้า ข้างหน้ามีคนเลี้ยงม้าคอยจูงม้าเดิน โจวเจ๋อนั่งอยู่บนรถม้ากับอิงอิง เนื่องจากเส้นทางค่อนข้างโคลงเคลง นั่งรถม้าจึงสบายไม่เท่าขี่ม้า แต่เมื่อได้พิงซบอิงอิงแล้วถือว่าสบายใจเป็นอย่างมาก
ตามตัวของอิงอิงแผ่กระจายไอเย็นออกมาก็จริง ทว่าร่างกายกลับไม่ได้แข็งทื่อ ตรงกันข้ามกลับนุ่มมาก ไม่มีกลิ่นตกค้างของน้ำหอมหรือเครื่องประทินผิวแม้แต่นิดเดียว มีแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างชัดเจน
คนขับรถม้าที่ควบคุมรถม้าคือเถ้าแก่ของสนามม้านั่นเอง เมื่อเห็นโจวเจ๋อและพวกกำลังสูบบุหรี่ ตัวเองจึงจุดหนึ่งมวน ช่วงนี้ธุรกิจไม่ค่อยดี ได้ลูกค้าครั้งนี้เพราะเห็นว่าทนายอันให้เงินดีถึงยอมทำ ไม่อย่างนั้นถูกจับได้จะต้องเสียเงินค่าปรับ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ต้องออกมาด้วยตัวเอง ถ้าหากเจอเรื่องอะไร ตัวเองพอมีหน้ามีตาสามารถพูดได้บ้างเนื่องจากเป็นคนท้องถิ่นจึงเข้าใจหลักการของ ‘ภูเขาเงินภูเขาทอง’ ถึงแม้ช่วงนี้รายได้จะตกต่ำ แต่เพื่อ ‘สายน้ำไหลเป็นทางยาวไกล’ ก็ต้องปล่อยวาง
คนขับรถม้าพ่นควันบุหรี่ออกมาหนึ่งที ยิ้มพลางชี้ไปยังคนเลี้ยงม้าสามคนที่จูงม้าอยู่ข้างหน้า น่าจะเป็นพนักงานของเขา แล้วจึงยิ้มพูดกับโจวเจ๋อและอิงอิงว่า “จวนมู่หวังในเมืองโบราณเคยไปหรือยังครับ”
โจวเจ๋อไม่ตอบ อันที่จริง ดูเหมือนไม่ทันจะได้ไปจริงๆ
“ผมแซ่หยาง ในลี่เจียง แซ่หยางเป็นแซ่ของทาสในเรือนของท่านอ๋องมู่ในอดีต เป็นทาสในเรือนของท่านอ๋องมู่ ฮิๆ เห็นคนงานสองสามคนนั้นของผมไหมครับ รู้ไหมว่าพวกเขาแซ่อะไร แซ่มู่! ลูกหลานของท่านอ๋องมู่กำลังทำงานให้ลูกหลานของทาสของพวกเขา” เถ้าแก่ดูเหมือนจะตื่นเต้นกับเรื่องราวของ ‘ทาสเป็นไทขับร้องลำนำ’ และคาดว่าคงจะพูดอวดนักท่องเที่ยวเป็นประจำ
พูดจริงๆ นะ จวนมู่หวังในเขตชนเผ่าน่าซีเมืองลี่เจียง ถือว่าเป็น ‘เจ้าพ่อ’ มาหกร้อยปี นับตั้งแต่ราชวงศ์หยวนเรื่อยมาจนถึงราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง และสาธารณรัฐ ซึ่งก็คืออยู่ในสมัยที่จักรพรรดิยงเจิ้งสามารถจัดการปัญหาชนกลุ่มน้อยโดยนโยบาย ‘ยกเลิกกฎท้องถิ่นให้ส่วนกลางเข้าไปบริหารแทน’ ของราชวงศ์ชิงได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการลดทอนอำนาจของท่านอ๋องมู่ แต่ความร่ำรวยของตระกูลมู่ก็ยังดำเนินมาถึงยุคสาธารณรัฐจีน
จากนั้นท่านอ๋องมู่จึงถูกโจมตีจากกำปั้นเหล็กสังคมนิยม ได้ยินว่าทั่วทั้งจวนของท่านอ๋องมู่ถูกกวาดล้างจนเกลี้ยง แล้วสั่งให้ชาวบ้านที่ยากจนไร้บ้านเข้าไปอยู่อาศัย ส่วนทรัพย์สินของท่านอ๋องมู่ถูกแบ่งให้กับชาวบ้านที่ยากไร้อย่างเป็นธรรม
ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ ในช่วงหนึ่งของคลื่นประวัติศาสตร์ แต่พอได้ฟังในเวลานี้ กลับให้ความรู้สึกปลงอนิจจังถึง‘การเปลี่ยนแปลงความตกต่ำรุ่งเรืองไม่แน่นอน’
เนื่องจากเดินค่อนข้างช้า เวลาเกือบสิบโมง เฝิงซื่อที่นำทางจึงยกมือขึ้น
ทนายอันจึงให้เงินอีกหนึ่งก้อน และสั่งให้พวกเขารอตัวเองอยู่ตรงนี้ รอตัวเองและคนอื่นลงไปข้างล่างแล้วยังมีค่าตอบแทนอีก
เถ้าแก่จึงตกลง รับปากว่าจะรอถึงตอนเช้าวันที่สอง จากนั้นจึงพาคนงานที่เป็น ‘เจ้านาย’ ในอดีตไปหาถ้ำหรือตั้งเต็นท์บริเวณนี้
หลายปีก่อน คนท้องถิ่นขึ้นภูเขาไปล่าสัตว์ ล่าหมี ล่าหมาป่า นั่นเป็นเรื่องที่ปกติ แม้แต่กระบอกปืนที่ใช้ดินปืนหรือตะกั่วเป็นลูกกระสุน มีหลายบ้านเก็บซ่อนอยู่ไม่น้อย ตอนแรกที่รัฐบาลเรียกเก็บ มีไม่กี่คนที่ส่งมอบให้ทั้งหมดด้วยความซื่อสัตย์ วางไว้ในบ้านถือว่าเป็นของที่ระลึกก็ยังได้ ดังนั้นการตั้งแคมป์ในภูเขา สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็นอะไร
เมื่อทุกคนมาอยู่รวมกันแล้ว ภายใต้การเดินนำทางของเฝิงซื่อพวกเขาเดินต่ออีกสองสามกิโลเมตร ถึงมาหยุดอยู่ที่พื้นที่ราบระหว่างภูเขาแห่งหนึ่ง บนเนินเขาที่ลาดเอียงไปข้างหน้า มีบ้านดินหลังหนึ่ง น่าจะมีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในนั้น
ทนายอันถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ก่อนจะเอ่ยว่า “แค่มองก็รู้ว่าจนมาก เดิมทีคิดว่าปล้นสะดมแล้วก็จะได้คืนทุนเร็ว แต่ตอนนี้รู้สึกว่าแค่เงินค่ารถม้าก็หาไม่ได้”
แน่นอนว่า นี่คือการล้อเล่นเท่านั้น บนเนินเขามีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ ให้ความรู้สึกเหมือน ‘เซียน’ จริงๆ
“ต้องแยกเป็นสองสามทางอ้อมไปด้านหลังเพื่อโจมตีไหม” ทนายอันมองไปทางเฝิงซื่อ
“ขึ้นไปด้วยกัน เขาไม่หนีหรอก ในบ้านของเขาอยู่กันหลายคน” เฝิงซื่อพูดถึงตรงนี้ แล้วจึงอธิบายต่อด้วยความใจเย็นเป็นอย่างมาก “ลูกชายของเขาล้มขาหัก เป็นอัมพาต ลูกสาวของเขาปัญญาอ่อน และยังมีหลานชายอีกสี่คนล้วนเจ็บป่วยเป็นโรคทั้งหมด ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แล้วจะให้เขาหนีไปไหน”
“แย่ขนาดนี้เชียว” โจวเจ๋อแปลกใจอยู่บ้าง แต่ทันใดนั้นก็พูดว่า “ในเมื่อมีชีวิตน่าสงสารขนาดนี้ พวกเรารีบช่วยเขาให้หลุดพ้นโดยเร็วเถอะ”
คนที่อยากได้ชีวิตและวางแผนจัดการตัวเขา เถ้าแก่โจวจะไม่ใจอ่อนขี้สงสารเด็ดขาด ส่วนคนนั้นถ้าหากตายแล้วครอบครัวของเขาจะเป็นอย่างไร ขอโทษนะ โจวเจ๋อไม่อยากสนใจเลยสักนิด
“นี่คือ” ทนายอันฟังออกถึงความหมายอย่างอื่น เพราะไอ้หมอนี่ดวงซวยจริงๆ “ฝืนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันใช่ไหม”
เฝิงซื่อพยักหน้า “พอเขาตายก็ได้เป็นยมทูต หลังจากรับงานมาแล้ว ดันกลับมาอยู่กับครอบครัวของตัวเอง ถึงขนาดที่ว่าเป็นฝ่ายช่วยปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวตัวเองให้ดีขึ้น และช่วยรักษาโรค ตอนแรกก็ยังดีอยู่จากนั้นพ่อแม่ก็ตายโหง ต่อจากนั้นลูกสาวก็เกิดอุบัติเหตุ ต่อมาหลังจากนั้นแม้แต่หลานชายทั้งสี่คนก็ดวงซวยมีเคราะห์ไปด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ คนอย่างพวกเรา ถึงแม้จะอยู่ในร่างของคนเป็นเดินเหินอยู่ในโลกมนุษย์ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่คนของโลกมนุษย์ หากฝืนใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง มักจะนำความโชคร้ายมาสู่พวกเขา ”
ผู้ฝึกเต๋ายังดีหน่อย ตัวเองมีวิธีแก้เคล็ดให้ตัวเอง แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว ยิ่งอยู่ใกล้มากแค่ไหนยิ่งสะท้อนกลับมากเท่านั้น
โจวเจ๋อฟังอย่างเงียบๆ อิงอิงกลับชอบใจ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ คู่ครองเดิมของเถ้าแก่ก็กลับมาไม่ได้แล้ว! โจวเจ๋อไม่ได้นึกถึงหมอหลินทันที เขานึกถึงนักพรตเฒ่า สวี่ชิงหล่างเป็นผู้ฝึกเต๋า เขากับยมทูตและผีดิบอยู่ด้วยกันกลับไม่มีปัญหาอะไร ทว่านักพรตเฒ่าเป็นนักพรตจอมหลอกลวง นอกจากลูบเป้ากางเกงแล้วก็ไม่มีความสามารถอะไรเลยจริงๆ แต่เขาอยู่ในร้านหนังสือเกือบสองปีแล้ว กลับยังมีกำลังไปปลอบใจสาวใหญ่เหมือนเดิม จุ๊ๆ ดวงแข็งจริงๆ
เมื่อทุกคนเริ่มเดินขึ้นไปบนเนินเขา ก็มองเห็นพื้นที่ว่างตรงหน้าบ้านดินแต่ไกล มีชาวนาชราคนหนึ่งนั่งอยู่ ข้างกายของชาวนาชรายังมีไก่สิบกว่าตัวเดินไปเดินมา
“เป็นไก่ป่าไก่บ้านของแท้ ไม่กินอาหารสัตว์” เหล่าสวี่ทอดถอนใจอยู่ข้างๆ จับพวกมันไปทำน้ำซุปไก่ รสชาติที่ได้ต้องไม่เหมือนกันแน่นอน
หลังจากทุกคนเข้าไปใกล้แล้ว ชาวนาชราที่กำลังนั่งสานตะกร้าไม้ไผ่อยู่ตรงนั้นได้ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ด้วยความเก้อเขินและไม่เป็นธรรมชาติ แต่เขาตะโกนออกมาตามตรง “พวกท่านมาแล้วเหรอ!” เสียงดังกังวานสะท้อนกลับไปกลับมาท่ามกลางภูเขาไม่หยุด
“เย้ พวกเรามาแล้ว! ฮิๆ ตุงตุงแช่!” ทนายอันตะโกนกลับไป
โจวเจ๋อแปลกใจอยู่บ้าง มองไปทางเฝิงซื่อที่อยู่ข้างๆ “ใช่เขาจริงๆ เหรอ”
อันที่จริงหากดูจากการตอบสนองของชาวนาชรา ก็มั่นใจได้ว่าเป็นเขา และเขาก็ยอมรับเช่นกัน แต่ภาพลักษณ์ของคนที่อยู่ตรงหน้า กับผู้บงการอยู่เบื้องหลังคนนั้นที่คิดวางแผนทำร้ายโจวเจ๋อและฆ่ายมทูตปิดปาก กลับแตกต่างจากในจินตนาการของโจวเจ๋ออย่างลิบลับ
“อืม” เฝิงซื่อพยักหน้า “เขาชื่อมู่เฉิงเอิน อยู่ที่นี่ เป็นยมทูตมาหกสิบปีแล้ว”
เป็นยมทูตหกสิบปี! โจวเจ๋อพยักหน้าอย่างช้าๆ ฝึกบำเพ็ญตบะหกสิบปี ตัวนางอายยังสามารถเป็นปีศาจได้ นับประสาอะไรกับยมทูตคนหนึ่ง
“ข้าน้อยขอน้อมคารวะท่านผู้ตรวจสอบ ท่านผู้จับกุม!” ชาวนาชราคุกเข่าโดยตรงด้วยท่าทีที่ดีเป็นอย่างมากขณะเดียวกันได้เงยหน้าพูดด้วยใบหน้าที่จริงใจ
“ใครก่อเรื่องคนนั้นรับผิดชอบ ในเมื่อพวกท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่แล้ว ข้าน้อยจึงต้องต้อนรับเป็นธรรมดา ข้าน้อยก็คันไม้คันมือ อยากประมือกับพวกท่าน ไม่ว่ายังไงก็ต้องตาย ข้าน้อยเองก็เข้าใจว่าพวกท่านจะไม่ปล่อยข้าน้อยไป แต่มีอยู่เรื่องเดียว ในบ้านหลังนี้ยังมีครอบครัวส่วนหนึ่งของข้าน้อย ล้วนมีชีวิตรันทดน่าเวทนา หลังจากพวกท่านลงโทษข้าน้อยแล้ว โปรดอย่ารังแกพวกเขา พวกเขานอนป่วยอยู่บนเตียง กังวลว่าจะแปดเปื้อนจมูกของพวกท่าน”
พูดจบ ชาวนาชราลุกขึ้นยืนตัวตรงอีกครั้ง ท่าทาง ‘ข้าน้อยขอน้อมคารวะ’ แต่เดิมทีได้หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงพลังอันมหาศาลที่ดูเหมือนจะหลอมรวมกับหน้าผาโดยรอบ!
“อิงอิง เหล่าอัน!” โจวเจ๋อตะโกน
“เถ้าแก่”
“เจ้าค่ะ เถ้าแก่!”
“ไปจับคนในครอบครัวของเขา อีกสักพักตอนที่ผมจัดการเขา ถ้าไอ้แก่นี่กล้าตอบโต้ ก็ทรมานคนในครอบครัวของเขา ให้พวกเขาอยากอยู่ไม่ได้อยู่ อยากตายไม่ได้ตาย!”
“…” ชาวนาชรา
……………………………………………………………………….
Comments