บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 790: ยันต์ท่องราตรี หนอนคล้อยดารา
ตอนที่ 790: ยันต์ท่องราตรี หนอนคล้อยดารา
ตอนที่ 790: ยันต์ท่องราตรี หนอนคล้อยดารา
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ามีสีหน้าอบอุ่น รอยยิ้มของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกราวถูกห้อมล้อมโดยสายลมวสันต์ ช่างง่ายหากจะมีความประทับใจที่ดี
ทว่าเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘ไสหัวไป’ รอยยิ้มของเขาก็แข็งค้าง อ้าปากพะงาบเหมือนจะกล่าวบางอย่าง
ชายชราตาบอดข้างกายเขาพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นแค่ผีน้อยรับใช้ผู้อื่น กล้ามามองจ้องเรา ช่าง… ไม่กลัวตายดีแท้!”
เมื่อถูกเบ้าตากลวงโบ๋ของชายชราตาบอดจ้องมอง ชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็รีบกล่าวทันทีอย่างตื่นกลัว “ผู้น้อยจะไสหัวไปแล้ว!”
เขาหันหลังเผ่นหนีไป
“มาอยู่ในกำมือข้า หากยังปล่อยให้เจ้าหนีไป ข้าไม่ดูไร้สามารถหรือไร?”
ชายชราตาบอดแค่นเสียงอย่างเย็นชา และยกมือสู่อากาศเล็กน้อย
ตู้ม!
ร่างของชายชราในชุดนักพรตเต๋าระเบิดกลายเป็นฝุ่นควันสีฟ้า
อาภรณ์ของเขาพลิ้วร่วงลงสู่พื้น
ผู้คนบนถนนใกล้เคียงยังคงทำตัวตามปกติแม้จะเห็นเช่นนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะชาชินเสียแล้ว
นงคราญเลอโฉมผู้เดินผ่านมาแย้มยิ้มหยอกล้อ “ผีตนนี้ช่างมีตาไร้แวว มองปราดแรกก็รู้ว่าผู้ฝึกฝนมันไร้ฝีมือ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย”
วาจาเหล่านี้ชวนให้ผู้คนสัญจรรอบ ๆ เสสรวลเฮฮา
ดวงตากระจ่างของนงคราญนางนั้นจับจ้องไปที่ชายชราตาบอด และกล่าวขึ้นทั้งรอยยิ้ม
“สหายผู้นี้ แม้ว่าเจ้าผีนั่นจะมีตาไร้แวว แต่เจ้าก็ไม่อาจหลบโทษทัณฑ์ได้จากการสังหารผู้อื่นที่นี่ได้ง่าย ๆ หรอกนะ ที่นี่มีคำกล่าวว่าแม้มังกรจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจควบคุมฝูงอสรพิษได้ ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงไร เมื่ออยู่ในเมืองปีศาจราตรีนี้ เจ้าก็ต้องยับยั้งตนเอง”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกเปล่งออกมา สายตาของผู้คนรอบข้างก็วูบไหว
ชายชราตาบอดกล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ข้าไม่ได้ก่ออาชญากรรม ไม่ต้องการคำสอนของเจ้าหรอก”
เขากล่าวพลางเห็นว่าซูอี้เดินไปไกลแล้ว และชายชราตาบอดจึงรีบร้อนไล่ตาม
“เฮ้อ คนตาบอดผู้นี้เสียงดังแท้!”
รอยยิ้มของสตรีผู้นั้นแข็งค้างบนใบหน้า
“ฮูหยิน ต้องการสั่งสอนผู้มาใหม่ทั้งสามหรือไม่ขอรับ?”
ชายร่างผอมเพรียวท่าทางเจ้าเล่ห์ผู้หนึ่งก้าวออกมา
“ช่างเถิด ช่วงนี้มีคนแปลกหน้ามายังเมืองปีศาจราตรีแห่งนี้มากมาย อีกทั้งเราก็ยังไม่รู้ว่าสามคนนั้นมาจากขุมอำนาจใด ไม่ก่อเรื่องคงดีที่สุด”
นงคราญเลอโฉมโบกมือของนาง “ยิ่งกว่านั้น จวนเจ้าเมืองในคืนนี้ยังเต็มไปด้วยแขกและโอกาสยิ่งใหญ่อันไม่เคยเกิดมาก่อน ข้าไม่อยากพลาดงานเลี้ยงอันเต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นเช่นนี้”
สตรีในอาภรณ์สีดำเยื้องย่างด้วยเท้าดุจดอกบัวอย่างแผ่วเบาลับไปไกล
ระหว่างทาง ยอดฝีมือผู้รู้จักนางทั้งหมดต่างแสดงสีหน้าหวาดกลัว
ฮูหยินจินไฉ่!
นงคราญผู้ดูกระเง้ากระงอดผู้นี้ ที่แท้คือนางมารร้ายอันดับหนึ่งในเมืองปีศาจราตรีผู้เย็นชาและหัวใจดุจงูพิษ มือทั้งสองแปดเปื้อนโลหิตยากลบล้าง
“เกรงว่าสามคนนั้นคงพบปัญหาเป็นแน่…”
ชายวัยกลางคนผู้มีหนวดเคราหร็อมแหร็มผู้หนึ่งในฝูงชนกระซิบ
เขาเป็นคนผิวขาว ห้อยฝักดาบไม้สนเก่า ๆ เฉียงไปเบื้องหลัง ถือไหสุราและมีทีท่าเสเพล
ก่อนหน้านี้ เขาได้เห็นการสนทนาระหว่างชายชราตาบอดและฮูหยินจินไฉ่จากมุมกว้าง
“คนทั้งสามผู้ไม่รู้ตาสีตาสาและไร้ความกลัวเพิ่งมาเยือน เกรงว่าคงไม่คาดกันว่าจะมาพบแม่มดเฒ่าอย่างฮูหยินจินไฉ่นับแต่แรกก้าว เป็นหายนะจริงแท้”
ชายชราผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าแน่ใจว่าจากนิสัยดื้อดึงของฮูหยินจินไฉ่ ขอเพียงทั้งสามยังอยู่ในเมืองปีศาจราตรี เกรงว่าคงไม่อาจหลบพ้นเงื้อมมือมารของนางได้โดยง่าย”
“อาจไม่เป็นเช่นนี้ทีเดียวก็ได้ คู่หนุ่มสาวสองคนนั้นมีที่มาเกินธรรมดา ฮูหยินจินไฉ่เป็นงูพิษประจำถิ่น แต่หากนางเตะถูกแผ่นเหล็ก นางก็จะจบไม่ต่างจากผีน้อยตนนั้น”
ชายวัยกลางคนเหน็บดาบผู้หนึ่งจิบสุรา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้เฒ่า เราเองก็ไปยังจวนเจ้าเมืองด้วยดีหรือไม่?”
ชายชราร่างผอมสูงพยักหน้าช้า ๆ “บังเอิญจริงแท้ ข้าก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน”
ทั้งสองเดินหายลับไปในหมู่คนอย่างรวดเร็ว
ที่ข้างหน้าต่างบานหนึ่งจากชั้นสองของโรงเตี๊ยม ชายผู้หนึ่งในชุดผ้าแพรอดหัวเราะหึไม่ได้ “นักดาบมารจากภูเขาอัคคีทิพย์กับหนอนเฒ่าจากมหาธารเทียนอินก็มาด้วย… น่าสนใจ”
ชายในชุดผ้าแพรไม่รู้เลยว่าทุกการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ภายใต้การจับจ้องของค้างคาวสีเทาซึ่งห้อยหัวอยู่บนชายคาห่างออกไป
เมื่อมีผู้คน ย่อมมีข้อขัดแย้ง
และในเมืองปีศาจราตรีอันคลาคล่ำด้วยมารปีศาจนี้ ย่อมไม่ขาดการนองเลือดทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
เมื่อเช่นการตายของผีรับใช้ก่อนหน้านี้ และการปรากฏตัวของฮูหยินจินไฉ่ ซึ่งดึงความสนใจจากมุมมืดได้มากมายโดยไม่รู้ตัว
ทว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ว่าทุกการกระทำของตนจะถูกแอบเฝ้ามองอยู่หรือไม่
ที่แห่งนี้คือเมืองปีศาจราตรี
ความรุ่งเรืองครึกครื้นเป็นเพียงฉากหน้า ในขณะที่เบื้องหลังของเมืองแห่งนี้คือจิตสังหารซึ่งซุกซ่อนตามมุมมืด
ครู่ถัดมา ค้างคาวสีเทาก็บินออกไปจากชายคา กระพือปีกทะยานร่างผ่านถนนและตรอกซอยอันครึกครื้นสู่ความห่างไกล
มันมีแสงสีเงินจาง ๆ เรืองออกมารอบร่าง และตลอดทาง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นมันเลย!
ไม่นานนัก ค้างคาวสีเทาก็มาถึง ‘ตลาดมืด’ ณ ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองปีศาจราตรี
ตลาดมืดที่ว่าคือสถานที่แลกเปลี่ยนสิ่งของระหว่างผู้ฝึกตน ผู้คนมากหน้าหลายตาจากต่างถิ่นฐานมารวมตัว ณ จุดเดียว ตั้งร้านขายสมบัติทุกชนิดอันหาซื้อแสนยากทั่วโลกหล้า
ทั้งวัตถุดิบวิญญาณ โอสถวิญญาณ อาวุธวิเศษ เคล็ดวิชา ตำรา… มีแทบทุกชนิด ทุกรูปลักษณ์ และพวกมันแทบทั้งหมดก็เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน
ค้างคาวสีเทาสะบัดปีกของมัน ดูเหมือนกำลังค้นหาบางสิ่ง
ไม่นานนัก มันก็ร่อนลงเกาะที่บ่าของชายชราตาบอดผู้หนึ่ง
ตู้ม!
เกิดแสงสว่างเรืองขึ้นหมุนวน ค้างคาวสีเทาแปรเปลี่ยนเป็นยันต์ลับบนมือชายชราตาบอด
ทันทีที่เขาสัมผัสมันได้ ภาพก่อนหน้านี้ก็ปรากฏในจิตของเขาจากมุมกว้าง ทั้งปฏิกิริยาของฮูหยินจินไฉ่ บทสนทนาของชายวัยกลางคนเหน็บดาบและชายชราร่างผอมสูง และชายในชุดผ้าแพรผู้อยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยม
“ฮูหยินจินไฉ่ นักดาบมาร หนอนเฒ่า… มีแต่พวกกเฬวราก ไม่เคยได้ยินชื่อสักคน”
ชายชราตาบอดอดพึมพำไม่ได้
“นี่มันสมบัติอันใดหรือ?”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนถามอย่างสงสัย
ชายชราตาบอดอธิบายอย่างอดทน “ยันต์ท่องราตรี หนึ่งในยันต์ลับของเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพของข้า มันสามารถเปลี่ยนเป็นค้างคาวท่องไปทั่วหล้า รับฟังสืบเสาะข้อมูลต่าง ๆ ได้ตามใจชอบ เว้นแต่เป้าหมายจะเป็นตัวตนอันมีพลังแรกกำเนิดพิเศษเฉพาะหรือเป็นจักรพรรดิ ก็จะไม่มีผู้ใดพบตัวยันต์ท่องราตรีนี้ได้”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนอดกล่าวอย่างสงสัยไม่ได้ “งั้นเจ้าพบสิ่งใดเมื่อครู่นี้หรือ?”
ชายชราตาบอดกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดว่าจะมีใครสักคนกล้ามาโจมตีเรา ทว่ายามนี้ดูเหมือนคนเหล่านั้นจะฉลาด ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือบุ่มบ่าม”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเสสรวลกล่าว “ข้าไม่คาดเลยว่าวิธีการของเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพของพวกเจ้าจะน่าอัศจรรย์เช่นนี้”
ชายชราตาบอดกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “เกินกว่าน่าอัศจรรย์อีก หากข้ามีความสามารถเทียบเท่าสักสามส่วนของท่านอาจารย์ ข้าคงไม่ต้องถูกลดตัวลงมาถึงเพียงนี้แน่”
“และผู้ก่อตั้งสายเลือดข้ายังเป็นตัวตนอันเป็นตำนานยิ่งกว่าในภูมิมืดมิด และความสามารถของผู้อาวุโสท่านนั้น กระทั่งตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิยังไม่กล้าดูแคลน”
กล่าวจบ เขาก็ถอนหายใจยาวเหยียด
ช่างน่าเสียดายที่อาจารย์ของเขาอู่จั้งต้องตาย และกระทั่งที่อยู่ของบรรพชนยังไม่อาจหยั่งทราบ จวบยามนี้ก็ยังไร้ข่าวคราว
ดวงตาคู่งามของชุยจิ๋งเหยี่ยนกลอกกลิ้ง และพลันถามขึ้นว่า “ข้าสงสัยมาเสมอเลย ว่าในฐานะผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ ไฉนเจ้าจึงมาติดตามคนเช่นซูอี้กัน?”
ชายชราตาบอดอึ้งไปครู่หนึ่ง และถามย้อนว่า “ข้าเองก็สงสัยว่าเหตุใดบรรพชนของเจ้าจึงให้ค่าคุณชายซูนัก”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนเม้มปากสีกุหลาบของนาง “ข้าก็ยังอยากรู้อยู่ดี!”
ชายชราตาบอดฉีกยิ้มกล่าว “สิ่งนี้เรียกว่าความลับ”
“เชอะ หากไม่อยากพูดก็ช่างเถอะ”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนหันไปมองร้านค้าอันอยู่ไม่ไกล
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง พลางมองสิ่งของที่จัดแสดงบนร้าน
เจ้าของร้านเป็นชายร่างผอมสูง
หลังจากเข้าสู่ตลาดมืด ซูอี้ก็ดูเหมือนจะมองหาบางอย่าง และยามนี้เองที่เขาเพิ่งจะหยุดหน้าร้านนี้ ขณะมองไปยังโถดินเหนียวสีเข้มใบหนึ่ง
ในโถนี้ผนึกแมลงไว้กลุ่มหนึ่ง แต่ละตัวดูเหมือนดักแด้หนอนไหมซึ่งมีสีเงินเมื่อมองจากพื้นผิว
ท้ายที่สุด ซูอี้ก็จ่ายวัตถุวิญญาณพันชิ้น เทียบได้กับศิลาวิญญาณขั้นแปดเพื่อรับโถใส่ดักแด้นี้มาจากเจ้าของร้าน
สิ่งนี้ทำให้ชุยจิ๋งเหยี่ยนสงสัย และเมื่อซูอี้ออกจากตลาดมืด นางก็อดถามไม่ได้ว่า “พี่ซู เจ้าซื้อหนอนพวกนี้ไปเพื่อสิ่งใดหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าตัวน้อยเหล่านี้มีนามว่าหนอนคล้อยดารา ปกติแล้วพวกมันไม่มีประโยชน์ ทว่าสำหรับข้า มันมีบทบาทสำคัญ”
“บทบาทอันใดหรือ?” ชุยจิ๋งเหยี่ยนถาม
ชายชราตาบอดหูผึ่ง
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้มว่า “ตกปลา”
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดตะลึงอึ้ง เขาใช้วัตถุวิญญาณพันชิ้น เทียบได้กับหินวิญญาณขั้นแปดแค่เพื่อเหยื่อตกปลาหรือ?
ซูอี้กำลังอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวโดยไม่ต้องรอให้ทั้งคู่ถาม “ครานี้ ข้ามายังเมืองปีศาจราตรีก็เพื่อรับหนอนเหล่านี้ เพื่อไปจับมัจฉาวิญญาณชนิดหนึ่งอันมีชื่อว่า ‘ปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์’ มา”
เมื่อยามที่เขากล่าวเช่นนี้ เสียงลนลานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเบื้องหลังพวกซูอี้
“ช้าก่อนสหายเต๋า ข้าขอไม่ขายหนอนคล้อยดาราไหนี้”
ชายวัยกลางคนในชุดจีนส่งเสียงท้วง จากนั้นซูอี้ก็หันไปมองและพบกับชายร่างผอมสูงกำลังวิ่งตามพวกเขามา เขาคือเจ้าของร้านคนเมื่อครู่
และเบื้องหลังชายร่างผอมสูงก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินตามมา
คนกลุ่มนี้นำมาโดยชายวัยกลางคนในชุดจีนผู้หนึ่งซึ่งดูกระเซอะกระเซิง ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยว
ชายชราตาบอดกล่าวอย่างไม่ชอบใจ “จากกฎของตลาดมืด หากการค้าสำเร็จจะไม่มีการเปลี่ยนคืน เจ้าคิดทุบหม้อข้าวตนเองหรือไร?”
ชายร่างผอมสูงเหงื่อกาฬแตกซิกบนหน้าผาก กล่าวว่า “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ข้า…”
ก่อนที่เขาจะทันกล่าวจบ ชายวัยกลางคนในชุดจีนข้างกายเขาก็กล่าวขัดว่า “ให้ข้าพูดเถอะ”
ดวงตาคมปลาบดุจกระแสไฟฟ้ามองมายังซูอี้และกล่าวว่า “ข้าอยากขอให้สหายเต๋าให้ความร่วมมือด้วย หนอนคล้อยดารามีประโยชน์ต่อข้ามาก และข้ายินดีจ่ายคืนให้สหายเต๋าสองเท่าตัว”
ซูอี้เหลือบตามองชายวัยกลางคนในชุดจีนอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ไม่ว่าเจ้าจะจ่ายหนักเพียงไร ข้าจะไม่ส่งสิ่งที่ข้าได้มาให้”
ชายวัยกลางคนในชุดจีนขมวดคิ้ว
สีหน้าของผู้คนรายล้อมเขาก็ย่ำแย่ แววตามิสู้ดี
เจ้าของร้านคนเดิมรีบร้อนกล่าวเตือน “สหายเต๋า เจ้าพูดมากไม่ได้นะ นี่คือผู้อาวุโส ‘ผู่เจิง’ พ่อบ้านแห่งจวนเจ้าเมืองนะ”
จวนเจ้าเมือง!
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดมองหน้ากันไปมา นี่ก็แค่หนอนคล้อยดารา ไฉนจึงดึงความสนใจของจวนเจ้าเมืองจนต้องมายื้อแย่งมันด้วย?
หรืออีกฝ่ายก็ตั้งใจจะนำหนอนเหล่านี้เข้าไปในมหาภูผาเพื่อตกปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์ด้วย?
ในขณะนี้ ณ บริเวณรอบ ๆ ก็ยังมีผู้คนมากมายสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่นี่ และต่างก็หันมองมาคนแล้วคนเล่า
Comments