ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม 379 การข้ามอสนีบาตอันเป็นที่จับจ้อง
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ทำให้ทุกคนในสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนตกใจ
ชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดไม้ ทอดมองร่างที่อยู่ไกลออกไปด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
“เซียนกระบี่มิ่งหยวน ในเวลาแบบนี้ ดูเหมือนเจ้าต้องสอนอยู่ไม่ใช่หรือ” หญิงสาวที่มีรูปร่างสูงระหง สวมโค้ทสีเหลือง ใส่แว่นกรอบสีแดงนั่งยิ้มหวานอยู่บนตำราโบราณขนาดใหญ่
“เปลี่ยนเป็นเรียนด้วยตัวเองแล้ว!” เซียนกระบี่มิ่งหยวนพูดอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด
นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดอีกครั้งว่า “แม้ผู้อำนวยการจะสั่งห้ามมุงดู แต่ข้าแอบดูไม่รบกวนอันหลินเสียหน่อย นี่เป็นโอกาสหยั่งรู้ของข้าเชียวนะ ข้าจำต้องคว้าไว้!”
ตอนนี้ในแต่ละเขตของแผ่นดินลอยฟ้า นักเรียนกับอาจารย์นับไม่ถ้วนต่างก็มองออกไปนอกหน้าต่าง
เหล่านักเรียนต่างก็ทำหน้างุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เริ่มกระซิบกระซาบกันแล้ว
“คุณพระ เมื่อครู่ฟ้ายังปลอดโปร่งอยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงมีเมฆดำปกคลุมล่ะ!”
“หรือจะมีมรสุม”
“เจ้าโง่หรือ นี่เป็นสำนักลอยฟ้าแห่งสรวงสวรรค์ บนฟ้าสูงเช่นนี้ จะมีเมฆดำหนาทะมึนเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“หรือจะมีศัตรูที่น่าสะพรึงมาเยือน จึงทำให้ก่อนมรสุมเช่นนี้”
“เหลวไหล! เจ้าโง่ที่ไหนกล้ามาอวดดีที่สรวงสวรรค์ เบื่อชีวิตหรืออย่างไร!”
“หรือจะมีคนข้ามอสนีบาต คงมีเพียงการข้ามอสนีบาตเท่านั้นที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้”
“คุณพระ หรือจะเป็นศิษย์พี่หลิว!”
…
ในเวลาเช่นนี้ อาจารย์ล้วนแต่อธิบายอย่างจริงจังว่า นั่นเป็นเพราะรองผู้อำนวยการอวี้หัวกำลังสรรสร้างวิชาเซียน บอกนักเรียนว่าอย่าตื่นตระหนกไป ตั้งใจเล่าเรียน
แน่นอนว่ายกเว้นห้องเรียนที่ถูกปรับให้เรียนด้วยตัวเองนับสิบกว่าห้อง
นักเรียนของห้องที่ต้องเรียนด้วยตัวเองแตกฮือ ขาดเพียงโดดเรียนพุ่งออกจากห้องเท่านั้น
นักเรียนแทบจะทุกคนพากันวิจารณ์กันอื้ออึงว่า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติให้ครั้งนี้สื่อถึงอะไร ยามพวกเขาสัมผัสได้ว่ามีพลังงานที่น่ากลัวซัดสาดในชั้นเมฆ คนส่วนใหญ่ก็คาดเดาได้แล้วว่าเกี่ยวข้องกับการข้ามอสนีบาต ผู้คนมากมายจึงไล่อันดับเซียนของสำนักหนึ่งรอบ สุดท้ายพบว่ามีเพียงหลิวเชียนฮ่วนกับอันหลินที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด
ส่วนเหตุที่ว่าทำไมพวกเขาถึงนับรวมอันหลินที่มีพลังระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณด้วย มันเกี่ยวข้องกับความมั่นใจอันปริศนาที่ตำนานรั้วสำนักค่อยๆ สั่งสมมา
พวกเขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่า การสันนิษฐานที่ไร้เหตุผลเช่นนี้จะใกล้เคียงความจริงปานนี้…
ณ เขาชมจันทร์ อาจารย์ทั้งหลายย่างกรายเข้ามาในพงไพรอย่างเงียบเชียบ อำพรางกลิ่นอายอย่างรู้ตัว ด้วยเกรงว่าจะรบกวนชายหนุ่มบนยอดเขา
“อาจารย์ชางชิง เจ้าไปออกราชการกับหัวหน้าจูของฝ่ายพลังเซียนไม่ใช่หรือ” อาจารย์หญิงคนหนึ่งมองชายชราผมขาวโพลนพลางกล่าวด้วยความแปลกใจ
เซียนพสุธาชางชิงลูบเคราะแล้วยิ้ม “ฮ่าๆ ๆ เมื่อได้รู้ว่าศิษย์ของข้าจะเข้าสู่ระดับแปลงจิต ย่อมต้องกลับมาให้เห็นกับตา อันหลินเป็นคนที่ข้าสอนสั่งมาด้วยตัวเอง ตั้งแต่กายแห่งมรรคขั้นศูนย์ถึงระดับแปลงจิต ไม่ง่ายเลยจริงๆ…”
อาจารย์หญิงได้ฟังมุมปากก็กระตุก แต่ละประโยคของชางชิงไม่มีปัญหา แต่ทำไมฟังแล้วถึงได้ไม่รื่นหูเช่นนี้เล่า…
ตอนนี้สมาธิทั้งหมดของอันหลินอยู่ที่ท้องนภา ไม่สนใจใยดีเรื่องที่เกิดขึ้นรอบกาย
เขารู้สึกได้ว่าพันธนาการบางอย่างในร่างกายแตกทลายแล้ว ขุมพลังสัตว์ในกายสว่างโชติช่วง แสงสีทองอัดแน่นเต็มทะเลปราณ เขารู้ว่านี่เป็นเค้าลางที่ขุมพลังสัตว์จะหลอมละลาย
ยามสัตว์ภูตแปลงจิต ขุมพลังสัตว์ในกายจะละลาย แยกออกเป็นสอง
หนึ่งกลายเป็นของเหลวแทรกซึมลงในเส้นชีพจร ขณะที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เส้นเลือด จะสกัดและกระตุ้นความสามารถของพลังปราณด้วยเส้นชีพจรแทนขุมพลังสัตว์
อีกหนึ่งจะกลายเป็นพลังจิตที่เลื่อนลอย ผสานกับดวงจิต ทำให้ดวงจิตเกิดพลังชีวิต ประหนึ่งมีชีวิตที่สอง นับจากนี้ไป ดวงจิตจะมีการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ วิธีที่เกี่ยวข้องกับจิตอย่างจิตสำนึกรู้ กระบวนท่าทางพลังจิต จะใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ขณะเดียวกันก็ทำให้ขอบเขตส่วนตนผสานกับดวงจิต แปรสภาพและแข็งแกร่งอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นการแปลงจิตสมชื่อ
แน่นอนว่า ทุกอย่างจะดำเนินการท่ามกลางสายฟ้า!
ครืน…
เสียงฟ้าคำรามดังขึ้นแล้ว
อันหลินมองท้องฟ้า ตรงนั้นมีแสงแปลบปลาบ คล้ายจะฉีกทึ้งชั้นเมฆหนาเตอะแล้ว
สายฟ้าที่กะพริบแผ่คลุมรัศมีร่วมหมื่นเมตร อานุภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่งกำลังก่อตัวกลางนภา ทำให้เขาอดใจสั่นหวั่นไหวไม่ได้
รองผู้อำนวยการอวี้หัวกำลังนั่งจิบชาอยู่ในศาลาโบราณหลังหนึ่ง ทอดมองเมฆดำฟ้าคำรามที่อยู่ห่างไกล ใบหน้าฉายความตกใจ “เมฆคลุมสิบลี้ อสนีสามลี้ สายฟ้าของระดับแปลงจิตช่างน่ากลัวเหลือเกิน สมกับเป็นคนวิปริตที่หนึ่งแห่งสรวงสวรรค์”
หลังอันหลินนั่งสมาธิปรับลมหายใจเสร็จแล้ว ภายใต้การกระตุ้นเต็มขีดจำกัดของขุมพลังสัตว์ จิตก็อยู่ในสภาวะที่ยอดเยี่ยมที่สุด
เขาลุกขึ้นยืน มือถือกระบี่พิชิตมาร รอคอยการมาเยือนของอสนี
สายฟ้าสวรรค์กระเพื่อมเหนือศีรษะแล้ว แฝงเร้นด้วยพลังสายฟ้า ถึงขั้นว่าทำให้เหล่าอาจารย์ทุกคนตรงนี้อกสั่นขวัญแขวน
เปรี้ยง! สายฟ้าสีทองเส้นหนึ่งแหวกชั้นเมฆ ระเบิดเสียงกลางเวหาพร้อมกับอานุภาพที่ไร้สำเนียง
รองผู้อำนวยการอวี้หัวกระอักชาออกมาทันทีที่เห็นภาพนี้
อาจารย์ทั้งหลายที่ชมอยู่ไกลๆ ก็พากันสูดหายใจดังเฮือก ดวงตาเบิกกว้างยิ่งกว่าลูกวอลนัต
อะไรกัน อสนีทองหรือ
หลิวเชียนฮ่วนขยี้ตาตัวเอง พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ข้าสงสัยว่าข้าตาบอดสี ไม่สิ ข้าอาจจะเห็นสีบกพร่อง…สายฟ้าที่พวกเจ้าเห็นเมื่อครู่เป็นสีอะไร”
“สายฟ้าสีทอง อสนีบาตของการทะลวงสู่ระดับหวนสู่ความว่างเปล่า อสนีทองอนัตตา…” นัยน์ตาของสวีเสี่ยวหลานจับจ้องชายหนุ่ม สองมือกำแน่น เล็บจิกหนังแล้วกลับไม่มีความรู้สึก
“นี่คงจะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากความผิดปกติของอากาศ อสนีไม่มีทางเป็นอสนีทองอนัตตา ประเดี๋ยวคงจะเป็นสายฟ้าสีน้ำเงินทั่วไปแน่นอน” เซวียนหยวนเฉิงปลอบใจ
เปรี้ยง! เกิดเสียงดังสนั่นอีกครั้ง
สายฟ้าสีทองประหนึ่งงูน้ำโลดแล่นในกลุ่มเมฆ ทุกหนแห่งที่ผ่านสั่นไหว เมฆดำดับสลาย
จากนั้นสายฟ้าสีทองเส้นหนึ่งก็ฉายชัดในเมฆดำสิบลี้ ราวกับอิทธิฤทธิ์สวรรค์สะเทือนโลกา ไม่มลายไป มุ่งไปยังท้องฟ้าที่อยู่เหนืออันหลินประหนึ่งมีชีวิต
เซวียนหยวนเฉิง “…”
จงหย่งเหยียนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอึ้งๆ ลืมแม้กระทั่งโบกพัด นานทีเดียวกว่าจะพึมพำว่า “สุดยอด…พี่อันจะทะลวงระดับหวนสู่ความว่างเปล่าจริงหรือ”
“ไม่ได้ ความสามารถอย่างเขาต้านการโจมตีของอสนีทองอนัตตาไม่ได้หรอก!”
สวีเสี่ยวหลานกัดปากแน่น ขยับฝีเท้าเตรียมจะเคลื่อนไหว
ขณะนั้นเอง จู่ๆ ร่างหนึ่งก็เข้าขวางหน้านาง
“นับตั้งแต่การข้ามอสนีบาต ทุกอย่างล้วนเป็นโชคชะตาของอันหลิน พวกเรารบกวนเขาไม่ได้!” เซียนกระบี่หลิงเซียวกล่าวนิ่งๆ ถ้อยคำเจือน้ำเสียงที่หนักแน่นน่าเชื่อถือ
ขณะที่คนนับไม่ถ้วนต่างก็ตะลึงกับการปรากฏกายของอสนีทองอนัตตา
อันหลินกลับมองสายฟ้าสีทองด้วยความงุนงง
“ไม่สิ สายฟ้าสวรรค์ของระดับแปลงจิตเป็นสีน้ำเงินไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกลายเป็นสีทองไปได้ล่ะ สีทองเป็นสายฟ้าอะไร เวอร์ชั่นปรับปรุงหรือเวอร์ชั่นเก่ากันนะ” เขาพูดด้วยความสงสัย
แต่แม้อันหลินจะไม่รู้ว่ามันเป็นสายฟ้าอะไร ทว่าสัมผัสได้ว่าอานุภาพของมันไม่ด้อยไปกว่าสายฟ้าที่เขาเคยพบเจอมาก่อนเลยสักนิด! แม้แต่อสนีม่วงทองที่เขามังกรปล่อยตอนระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย ยังสู้สายฟ้าสีทองกลางนภาไม่ได้
เซียนกระบี่หลิงเซียวมองทุกคนบนเขาชมจันทร์ ถอยออกไปอีกร้อยจั้ง เพื่อไม่ให้โดนลูกหลงจากพลังงานสายฟ้า
ในตอนนั้นเอง สายฟ้าสีทองก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นก้อน
ไม่ว่าสายฟ้าสีทองเส้นใดบนผืนฟ้า ล้วนแต่มีพลังทำลายบุคคลระดับแปลงจิต บัดนี้สายฟ้าสีทองรวมตัวกันนับหลายร้อยเส้นแล้ว…
อาจารย์ที่กำลังจับตาดูเกิดความคิดประการหนึ่งขึ้นมาดื้อๆ ว่า หากสายฟ้าสีทองเหล่านี้ฟาดลงมาพร้อมกัน จะทำให้เขาชมจันทร์หายวับไปหรือไม่
Comments