เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 305 เป็นเจ้า ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า
ตอนที่ 305 เป็นเจ้า ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า
ได้ยินเช่นนั้นราชันทมิฬที่หมอบอยู่มิไกลนักถึงกับดวงตาเบิกโพลงขึ้นทันที ก่อนรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับสะบัดหางไปมา และเดินเข้าไปหาเย่ฉางชิงอย่างรู้งาน
เทพหลิวปรายตามองราชันทมิฬ แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเย่ เช่นนั้นพวกข้าขอตัวไปเจรจากับเผ่าปีศาจก่อนนะเจ้าคะ”
เย่ฉางชิงยังคงพยักหน้าให้ยิ้ม ๆ ด้วยท่าทีนิ่งสงบเท่านั้น
ความจริงแล้วการที่เสี่ยวหลิวตอบตกลงง่ายดายเช่นนี้
แม้ใบหน้าเขาจะมีได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา แต่ก็ยังอดรู้สึกประหลาดใจมิได้
เพราะปีศาจเผ่าต่าง ๆ บุกเข้าจงหยวน ลัทธิเต๋าสูญเสียอย่างหนัก เช่นนั้นแสดงว่ากองทัพปีศาจเองก็ย่อมสูญเสียไปมิน้อยเช่นกัน
เช่นนี้การจะให้กองทัพปีศาจที่เพิ่งบุกเข้าจงหยวนได้ กลับเทือกเขาแดนใต้อีกครั้งนั้น แค่คิดก็รู้ว่ายากเพียงใด
ทว่าเสี่ยวหลิวกลับมิได้มีท่าทีทุกข์ร้อนใด ๆ
‘หรือว่าด้วยพลังของผู้ที่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ตลอดเวลาเช่นเสี่ยวหลิว จะสามารถหยุดยั้งกองทัพปีศาจทั้งกองทัพได้จริง ๆ ? ’
‘อืม ! ’
‘คงจะเป็นเช่นนั้นเป็นแน่ ! ’
‘หรือไม่เบื้องหลังของเสี่ยวหลิวอาจจะมีพลังอำนาจบางอย่างซ่อนอยู่ ที่สามารถสั่นคลอนกองทัพปีศาจได้เป็นแน่’
คิดถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะลอบชำเลืองมองไปยังเสี่ยวหลิว ที่มีท่าทางเย็นชาแม้แต่กับเขา
ขณะเดียวกันกลับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างอดมิได้
ผู้ที่น่ากลัวเช่นนี้ ทว่ากลับเรียกขานเขาว่านายท่าน
หากวันใดถูกจับได้ว่าเขาเป็นเพียงไก่อ่อนที่มีตบะบารมีระดับรวบรวมชีพจรขั้นกลางเท่านั้น มิอยากจะคิดเลยว่านางจะทำเรื่องโหดร้ายอะไรกับเขาบ้าง ?
อีกอย่างหากเสี่ยวหลิวสามารถทำให้กองทัพปีศาจยอมออกจากจงหยวนได้จริง เช่นนั้นฐานะของเขามิเท่ากับสูงขึ้นอีกขั้นหรอกหรือ ?
และหากกองทัพมารแห่งดินแดนร้างทางเหนือบุกเข้าจงหยวนได้ คนของลัทธิเต๋าจะมิวิ่งมาขอความช่วยเหลืออีกเยี่ยงนั้นหรือ ?
‘เฮ้อ ! ’
‘หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นข้ามิควรรับสมอ้างเป็นท่านเทพฉางชิงหรือเป็นบรรพจารย์เย่อะไรนั่นเลย ให้ตายเถอะ’
คิดได้เช่นนั้น เย่ฉางชิงถึงกับต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
ก่อนจะมองคนเหล่านั้นจากไปจนลับตา จากนั้นเขาจึงได้กลับเข้ามายังลานด้านหลังอีกครั้ง
“ช่างน่าขันสิ้นดี ข้าเพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญเพียรแท้ ๆ แต่กลับกลายเป็นผู้ที่ต้องช่วยลัทธิเต๋าแห่งจงหยวนเอาไว้ซะได้”
“อีกอย่างพวกเขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง คิดอะไรอยู่กันแน่นะ ? ”
“ข้าเพียงแค่มีความแตกฉานในด้านพิณ หมาก อักษรพู่กัน และภาพวาดสูงกว่าคนทั่วไปก็เท่านั้น เหตุใดจึงถูกพวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานไปได้นะ ! ”
“สรุปแล้วเป็นเพราะสิ่งมีชีวิตบนโลกบำเพ็ญเพียรใสซื่อเกินไป หรือว่าบุคลิกท่าทางของข้าดูเหมือนเซียนเกินไปกันแน่นะ ? ”
เย่ฉางชิงได้แต่เอามือไพล่หลัง พลางเดินวนครุ่นคิดอยู่ภายในลาน
บางทีอาจเป็นเพราะพวกเทพหลิวมิอยู่ จึงทำให้เขาคลายความหวาดระแวงลง และมิต้องระวังท่าทีเหมือนเช่นที่ผ่านมา
เวลานี้ท่าทางของเขาดูสับสน ภายในใจเองก็รู้สึกว้าวุ่นเช่นกัน
มินานเขาก็ลูบแก้มของตนเองอยู่ที่หน้ากระจกทองเหลืองบานหนึ่ง และมองตัวเองที่อยู่ในกระจกที่มีท่าทางแปลกไป ดูแล้วช่างน่าขันยิ่งนัก
จากนั้นเขาก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น ขณะมองอักษรพู่กันและภาพวาด ที่ตัวเขาวาดเอาไว้ในช่วงมิกี่วันมานี้อย่างครุ่นคิด เหมือนต้องการหาคำตอบอะไรบางอย่าง…
จนผ่านไปครึ่งชั่วยาม
เย่ฉางชิงก็ถือไหสุราหน้าตาธรรมดา ๆ ไหหนึ่ง มานั่งลงตรงหน้าโต๊ะที่วางพิณโบราณเอาไว้
“พิณอันงดงามเหตุใดจึงมี 50 สาย ทุกเส้นสายล้วนทำให้ข้าคะนึงหาวัยเยาว์”
“จวงจื่อเพียงปรารถนาความอิสระเช่นผีเสื้อ จิตใจที่ดีงามของหวังตี้ ทำให้ดอกตู้เจวียนซาบซึ้งใจ”
“เงาจันทราเปรียบดั่งน้ำตาที่กลายเป็นไข่มุก มีเพียงหลันเถียนที่มีหยกชั้นดี”
“เวลาและเรื่องราวที่สวยงามถูกทิ้งไว้ในความทรงจำ เพียงเพราะตอนนั้นคนเหล่านั้นมิคิดจะถนอมมันเอาไว้”
เย่ฉางชิงกดไปที่สายพิณเบา ๆ พร้อมกับบังเอิญนึกถึงกลอนบทนี้ขึ้นมาได้
ขณะเดียวกัน ก็พรรณนาออกมาด้วยความเมา
แต่หลังจากพรรณนากลอนบทนี้จบลง เย่ฉางชิงกลับมีสีหน้าชอกช้ำใจอย่างยิ่ง
“กลอนบทนี้แสดงถึงความคะนึงหาอันมิสิ้นสุดที่มีต่อคนรัก แต่ข้าที่มีชีวิตอยู่มาถึงสองโลก มิว่าจะเป็นโลกนั้นหรือโลกนี้ กลับเป็นได้เพียงคนโสดที่ไร้คู่คนหนึ่งเท่านั้น”
“โดยเฉพาะในโลกบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ แม้ตบะบารมีจะต่ำต้อย แต่กลับถูกผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานไปแล้ว และต่อให้จะมิได้บำเพ็ญเพียรจนเป็นเซียนจริง ๆ แต่การจะหาภรรยาสักคนก็คงเป็นเรื่องยากเสียแล้ว”
“น่าขัน น่าสงสาร น่าเศร้า น่าเหนื่อยใจจริง ๆ ! ”
หลังจากบ่นพึมพำเช่นนั้น เย่ฉางชิงจึงได้ยื่นนิ้วเรียวยาวค่อย ๆ กรีดลงไปบนพิณ
ทันใดนั้น เสียงพิณอันไพเราะนุ่มนวลก็ดังขึ้นทั่วเมืองเสี่ยวฉือ
ขณะเดียวกัน หลังจากที่ชาวเมืองเสี่ยวฉือได้ยินเสียงพิณเช่นนี้ มินานก็ได้ถกเถียงกันขึ้น
“พวกเจ้าฟังสิ ท่านเย่กลับมาดีดพิณแล้ว”
“จริงด้วย ท่านเย่มิได้ดีดพิณมานานมากแล้ว”
“มิใช่ เสียงพิณนี้ฟังดูแปลกไป ! ”
“ตาจาง คนหยาบกระด้างเช่นเจ้า สามารถแยกแยะเสียงพิณออกด้วยเยี่ยงนั้นหรือ?”
“ตาซุน ข้ามิได้หมายความว่าเยี่ยงนั้น ข้าหมายความว่าบัดนี้ท่านเย่มีภรรยาแล้วถึงสองคน แต่ทำไมเสียงพิณนี้ถึงยังเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเช่นนี้อีกเล่า”
“เหมือน... จะจริงอยู่นะ ! ”
“พวกเจ้าว่าเพราะภรรยาทั้งสองของท่านเย่เพิ่งจะจากไป เขาจึงเล่นเพลงที่โศกเศร้าเช่นนี้ หรือที่ผ่านมาท่านเย่จะถูกภรรยารุมทำร้ายกัน ? ”
“มิใช่หรอกกระมัง ภรรยาทั้งสองของท่านเย่งดงามราวกับเทพธิดา มิใช่ผู้หญิงอย่างเปาต้าเหมย จะทำร้ายร่างกายท่านเย่ได้เยี่ยงไร ? ”
“……”
“……”
จนเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม
ชาวเมืองที่ได้คุ้นเคยกับเสียงพิณเช่นนี้มาหลายปี จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเสียงพิณนั้นต่างไปจากเดิมจริง ๆ
เปาต้าเหมยที่เพิ่งจะสงบสติอารมณ์ตัวเองลงได้ ถึงกับขมวดคิ้วแน่น พลางบอกกับทุกคนว่า “เพลงนี้ข้ารู้จักดี มันคือเพลงฮั่วฟานที่ท่านเย่มิได้เล่นมานานแล้ว”
“ใช่แล้ว นี่คือเพลงฮั่วฟาน”
“แต่เพลงนี้ช่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้ายิ่งนัก”
ขณะเดียวกัน เมื่อเพลงฮั่วฟานดังขึ้นอีกครั้งในเมืองเสี่ยวฉือ ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา
แดนเหนือของจงหยวน
นอกกำแพงหมื่นลี้บัดนี้กลับนองไปด้วยเลือด และมีศพที่นอนเกลื่อนกลาด
ทุก ๆ ที่ล้วนสามารถมองเห็นศพของศิษย์ลิทธิเต๋า และผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารได้อย่างชัดเจน
ในตอนนี้ศิษย์ลัทธิเต๋าที่โชกไปด้วยเลือดและเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ยังคงยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพฝ่ายมารอย่างมิย่อท้อ
ทุกครั้งที่ลำแสงอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งขึ้นมา จะมีคนที่ฟาดฟันศัตรูตรงหน้าขาดเป็นสองท่อน จนเลือดสาดกระเซ็น
บ้างก็ถูกผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารผู้มีดวงตาแดงด่ำ ร่างทั้งร่างลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน ฉีกทึ้งร่างออกเป็นชิ้น ๆ
ไกลออกไปยอดเขาสูงตระหง่านถูกตัดขาด ต้นไม้โบราณทั่วบริเวณกลายเป็นผุยผง
ทั่วพื้นดินเต็มไปด้วยรอยแยกอันน่าสะพรึงกลัวกระจายจนเต็มไปหมด กลางอากาศเกิดรอยแตกร้าวยาวนับสิบจั้งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกที่ล้วนปกคลุมไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรง
เมื่อทอดสายตามองออกไป
ก็เห็นแค่เพียงเศษซากของความหายนะ
ทว่าสนามรบของผู้บำเพ็ญเพียรสูงสุดกลับยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด
ซือถูเจิ้นผิงอาภรณ์ขาดรุ่งริ่ง ด้านหน้าและด้านหลังเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ เลือดสีแดงสดไหลรินออกมามิหยุด
เขาหายใจหอบหนัก คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น และจ้องเขม็งไปยังจักรพรรดิมารที่ยืนอยู่มิไกลนัก
ส่วนด้านหลังของเขาคือเหล่าผู้แข็งแกร่งจากสี่ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณ ที่นอนนิ่งหายใจรวยรินและมีเลือดท่วมกาย รอบ ๆ ปกคลุมไปด้วยไอมรณะ
ในการต่อสู้ตลอดหลายวันที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เขาจำต้องใช้เคล็ดวิชาลับเผาผลาญโลหิต เพื่อให้สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้นานขึ้น
แต่จักรพรรดิมารตนนั้นกลับยังคงยืนตระหง่านอยู่ที่เดิมราวกับภูเขา โดยมิสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย เขาจึงรู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก
“สมกับที่บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ ด้วยตบะบารมีและความแตกฉานในวิถีกระบี่ของเจ้าเวลานี้ จึงสามารถต่อกรกับข้าได้หลายวันเช่นนี้”
น้ำเสียงอันเย็นชาของตู๋กูชิงเฟิง เอ่ยขึ้นอย่างน่าเกรงขามอีกครั้ง “แต่บัดนี้ข้าเริ่มหมดความอดทนเสียแล้วสิ”
“ศึกในครานี้ถึงเวลาที่จะจบลงได้แล้ว”
สิ้นเสียงไอสังหารอันน่ากลัวก็แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ทว่าขณะที่ตู๋กูชิงเฟิงยื่นนิ้วเรียวยาวกดลงบนสายพิณ และเตรียมจะใช้สุดยอดกระบวนท่าไม้ตาย เพื่อยุติศึกในครั้งนี้
จู่ ๆ ก็มีเสียงพิณปริศนาดังขึ้นมาจากฟากฟ้า
เห็นได้ชัดว่าเสียงพิณนี้แม้จะเป็นเพลงฮั่วฟาน ทว่าเพลงฮั่วฟานในตอนนี้กลับแตกต่างจากเพลงฮั่วฟานที่ถานไถชิงเสว่เคยดีดก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ทันใดนั้น ร่างของตู๋กูชิงเฟิงก็สั่นเทาน้อย ๆ จิตสังหารที่ปกคลุมรอบกายพลันมลายหายไปทันที
ขณะเดียวกัน คลื่นพลังรอบ ๆ กายของนางก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามและเย็นชานั้นได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่เวลานี้ใบหน้าที่งดงามและเย็นชานั้นกลับมิได้ดูสงบนิ่งดังเช่นเคย แต่กลับเผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่มิเคยมีมาก่อน
ขณะเดียวกัน นัยน์ตาหงส์อันเรียวยาวคู่นั้น ก็เปล่งประกายระยิบระยับออกมา
“เป็นเจ้า… ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า ! ”
วินาทีต่อมา ตู๋กูชิงเฟิงก็แปลงกายเป็นลำแสง พร้อมเหาะข้ามกำแพงแดนเหนือเข้าสู่ดินแดนจงหยวน ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของทุกคน
Comments