หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 34 เวยเวยผู้ไร้พ่ายจัดการนายน้อย (1)

Now you are reading หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก Chapter ตอนพิเศษ 34 เวยเวยผู้ไร้พ่ายจัดการนายน้อย (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนพิเศษ 34 เวยเวยผู้ไร้พ่ายจัดการนายน้อย (1)

หลิงจือไม่รู้ว่าตนเองเดินอกมาจากร้านได้อย่างไร หลายวันหลังจากนั้น นางไม่ไปพบหน้าอวี๋เจี๋ยอีก แต่เมืองเป่ยก็ใหญ่เพียงเท่านี้ นางไม่ไปหาเขา ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พบเขา

“อาจารย์อาหลิงจือ” อวี๋เจี๋ยบังเอิญพบหลิงจือที่ประตูร้านของสำนักเชียนหลัน เขายิ้มกล่าวทักทายนาง “อาจารย์อาหลิงจือ วันนั้นท่านไม่มาหาข้า เกิดเรื่องอะไรหรือไม่”

“ไม่มีอะไร” หลิงจือหดหู่เล็กน้อย

อวี๋เจี๋ยไม่ใช่คนโง่ที่ไม่ประสาเรื่องราวในโลก ตั้งแต่แวบแรกที่เขาเห็นหลิงจือเขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าท่าทีของหลิงจือผิดปกติ เขานึกย้อนเรื่องที่หลิงจือทำเมื่อไม่กี่วันมานี้ นอกจากฝึกตนก็ไม่มีสิ่งอื่นเป็นพิเศษ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหลิงจือมีปัญหาที่ตรงไหนกันแน่

เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามอย่างคาดเดาว่า “อาจารย์อาหลิงจือกำลังกังวลว่าตนเองมีรากปราณน้ำ หากฝึกวิชาสายไม้แล้วจะธาตุไฟเข้าแทรกกระมัง แม้ข้าจะไม่เคยเห็นตัวอย่างเช่นนี้มาก่อน แต่หากผู้พิทักษ์ใหญ่บอกว่าได้ ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมไม่มีปัญหา”

หลิงจือไม่ตอบเขา แต่จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาว่า “เจ้าชอบศิษย์พี่ฉินหรือ”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์อายุมากกว่าหลิงจือสองปี ทั้งยังเข้าสำนักก่อนหลิงจือหนึ่งก้าว นับจากคุณสมบัติแล้ว หลิงจือต้องเรียกขานนางว่าศิษย์พี่

เห็นชัดว่าอวี๋เจี๋ยคิดไม่ถึงว่าหลิงจือจะถามเช่นนี้ เขาชะงักไปครู่หนึ่งอย่างห้ามตนเองไม่ทัน

หลิงจือเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “ข้าเห็นหมดแล้ว”

อวี๋เจี๋ยกำลังจะถามว่านางเห็นสิ่งใด หลิงจือก็แบฝ่ามือออกเผยให้เห็นผลไม้ลูกน้อยที่คล้ายผลอิงเถาสีแดงลูกนั้น

ไม่ว่าผู้ใดหากนำสิ่งที่ผู้อื่นมอบให้ตนไปมอบต่อให้ผู้อื่นแล้วถูกคนให้จับได้ย่อมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างยิ่งด้วยกันทั้งสิ้น อวี๋เจี๋ยสีหน้าชะงักค้างไปทันใด

หลิงจือเอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้ว่าของมอบให้เจ้าแล้ว เจ้าจะจัดการอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้า เจ้าจะกินเองข้าก็ดีใจ เจ้าจะมอบให้ผู้อื่นข้าก็ไม่ถือสา แต่เหตุใดจะต้องเป็นนาง เจ้ามองไม่ออกหรือว่าข้ากับนางไม่ถูกกัน”

อวี๋เจี๋ยย่อมมองออก ดังนั้นเขาจึงแอบไปมอบให้ลับหลังหลิงจือ…

หลิงจือเอ่ยต่อ “เจ้าชอบนางมากขนาดนั้นเลยหรือ ถึงขนาดยอมเป็นคนชั่วช้า ยกของที่ข้ามอบให้เจ้าให้นาง”

อวี๋เจี๋ยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เรื่องนี้เดิมทีข้าเพียงจะเก็บไว้ในใจ…”

หลิงจืออยากตะโกนบอกว่า เจ้าคิดว่าตนเองซ่อนไว้ดีนักหรือ นางมองออกตั้งนานแล้ว แล้วยังให้ข้ามาบอกเจ้าอีกว่าเป็นคางคกอย่าริคิดจะกินเนื้อหงส์ฟ้า

แต่สุดท้ายหลิงจือก็ไม่ได้เอ่ยออกมา

อวี๋เจี๋ยไม่ถามหลิงจือว่าได้ผลไม้ผลนี้มาได้อย่างไร เขาคิดว่าเรื่องนั้นคงไม่สำคัญแล้ว เขาคำนวนพลาด แต่เดิมคิดว่าปกติทั้งสองคนนี้แม้แต่จะพูดจากันสักประโยคก็ยังไม่ทำ ดังนั้นต่อให้อาจารย์อาฉินได้รับของสิ่งใดจากเขาไปก็คงไม่มีทางบอกหลิงจือ ไหนเลยจะคิดว่าเรื่องจะแดงออกมาเร็วเช่นนี้

บนโลกใบนี้ไม่มีกำแพงใดไร้ลมลอดผ่านจริงๆ

อวี๋เจี๋ยถอนหายใจอย่างละอายใจ “หลิงจือ ขออภัยเจ้า ข้าไม่ควรทำเช่นนี้”

หลิงจือเอ่ยอย่างเสียใจ “ในเมื่อเจ้าชอบนาง เหตุใดจึงทำดีต่อข้าเช่นนั้น ทั้งซื้อพัดทองคำให้น้องสาวข้า ทั้งมอบอาวุธวิเศษกับถุงเฉียนคุนให้ข้า แล้วยังคอยช่วยข้า มอบตำราให้ข้า…”

อวี๋เจี๋ยฟังมาถึงตรงนี้ก็รู้แล้วว่าแท้จริงหลิงจือกำลังเศร้าโศกกับเรื่องใด เขามองหลิงจืออย่างคิดไม่ถึง “เจ้า…”

เขาอยากจะพูดบางอย่างแต่แล้วก็เงียบไป เงียบไปครู่หนึ่งในที่สุดก็เลือกจะไม่เปิดโปงเรื่องนั้น แต่กล่าวเสียงเบาว่า “ผู้พิทักษ์ใหญ่วานให้ข้าดูแลเจ้า สิ่งของเหล่านั้นล้วนเป็นของที่นางฝากข้ามอบให้เจ้า ความจริงนางดีต่อเจ้ายิ่งนัก แต่นางกลัวว่าเจ้าจะหยิ่งยโสจนไม่ไขว่คว้าความก้าวหน้า ดังนั้นจึงไหว้วานข้า ให้ดูแลเจ้าเป็นบางครั้ง แต่เดิมนางเคยคิดจะใช้ศิษย์สายตรงของตนเอง แต่ก็กลัวว่าเจ้าจะเดาได้…”

คำพูดนี้ผลักหัวใจของหลิงจือลงไปก้นหุบเหว ยามนี้นางยินดีจะให้เขาเป็นคนกะล่อนเห็นแก่ตัว ดีกว่าให้เขาบอกว่าทุกสิ่งที่เขาทำล้วนแต่เป็นการทำตามคำสั่งของอาจารย์ “หากอาจารย์ของข้าไม่ได้ไหว้วานเจ้า แม้แต่พูดเจ้าก็คงไม่พูดกับข้าใช่หรือไม่”

อวี๋เจี๋ยตอบอย่างจริงใจ “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นอาจารย์อาของข้า ข้าจะไม่พูดกับเจ้าได้อย่างไรเล่า”

หลิงจือขอบตาแดงระเรื่อ นางผลักเขาออกแล้วเดินออกจากร้านไปโดยไม่หันกลับมามอง

อวี๋เจี๋ยกังวลว่านางจะไม่อยากเห็นหน้าตนเองจึงไม่ตามไป

หลิงจือทั้งโกรธทั้งโศกเศร้า นางเดินไปบนถนนที่ผู้คนหลั่งไหลดุจสายธาร แต่เดิมนางอยากจะซื้อของบางอย่าง แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะไปซื้อแล้ว นางเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่ร้างไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง นางไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีเงาดำร่างหนึ่งสะกดรอยตามนางมาอย่างเงียบๆ เมื่อนางเดินเข้ามาในตรอก เจ้าของเงาดำก็กระโจนเข้าใส่นางทันที!

กระดิ่งเตือนภัยในใจหลิงจือแผดเสียงดังลั่น “ผู้ใด”

แต่นางไม่มีโอกาสรู้ว่าเป็นผู้ใดแล้ว

ยอดฝีมือขั้นประสานเม็ดตันไม่ใช่คู่ต่อกรที่ผู้ฝึกตนระดับรากฐานขั้นกึ่งสมบูรณ์คนหนึ่งจะรับมือได้ ฉินเซวียนใช้วิชาตรึงร่าง ตรึงหลิงจือให้นิ่งอยู่กับที่เสร็จ อินทรีแดงสองหางก็กลายร่างเป็นผู้ฝึกตนหนุ่มเดินออกมา “นายน้อย ใช่นางหรือ”

ฉินเซวียนยิ้มจางๆ “ไม่ผิด ใช่นางแน่ นางเป็นพี่สาวในโลกมนุษย์ของมังกรมารน้อย มีนางอยู่ พวกเราย่อมเข้าใกล้มังกรมารน้อยแล้วเอาเม็ดมังกรมาได้”

อินทรีแดงสองหางกางข่ายอาคมไม่ให้คนนอกมองเข้ามาเห็นด้านในตรอกแห่งนี้

ฉินเซวียนหยิบมุกแปลงกายออกมาหนึ่งเม็ด จากนั้นกรีดเลือดจากปลายนิ้วของหลิงจือมาสองหยด ต่อมาเขาก็กำมุกแปลงกายไว้แน่นก่อนจะเริ่มกระตุ้นพลังปราณ ประกายแสงสีแดงฉายวาบ เพียงชั่วพริบตาเขาก็กลายร่างเป็นหลิงจือ

ทว่ามีแต่รูปลักษณ์ยังไม่พอ เขาต้องลดพลังลงไปถึงระดับรากฐานเหมือนหลิงจือ รวมทั้งต้องมีรากปราณแบบเดียวกับหลิงจือด้วย แต่ในเมื่อมีมุกแปลงกายอยู่ เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอันใด แม้มุกแปลงกายจะสร้างรากปราณผสมของจริงออกมาไม่ได้ แต่แค่ปิดบังหินทดสอบย่อมไม่ใช่ปัญหา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินเซวียนก็กลายเป็นหลิงจือคนที่สองอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่หัวจรดเท้า ผู้ฝึกตนหนุ่มมองเขาอย่างตกตะลึง “นายน้อย เหมือนจริงๆ ขอรับ!”

เขาเป็นวิหคมาร ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขายอดเยี่ยมกว่าผู้ฝึกตนทั้งหลายมาก แม้แต่เขายังแยกแยะไม่ออก สำนักเชียนหลันต้องมองไม่ออกแน่นอนว่านายน้อยเป็นตัวปลอม

ฉินเซวียนยิ้มอย่างลำพองใจ “เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว มุกแปลงกายเป็นอาวุธวิเศษของเหล่าเซียนเชียวนะ”

ฉินเซวียนที่ใช้มุกแปลงกายแล้วขี่กระบี่ย้อนกลับไปที่สำนักเชียนหลันตามเส้นทางที่ได้สำรวจมาล่วงหน้าไว้ดีแล้ว

“อาจารย์อาหลิงจือสวัสดีขอรับ!”

“อาจารย์อาหลิงจือ!”

“ศิษย์พี่หลิงจือ!”

“ศิษย์น้องหลิงจือ!”

ระหว่างทางมีคนทักทายฉินเซวียนเป็นระยะ ฉินเซวียนยิ้มรับแต่ไม่ตอบ เขาไม่เผยพิรุธแม้แต่น้อย หญิงสาวเช่นหลิงจือมีชาติกำเนิดยากจน นางไม่เคยวางท่า จิตใจใสซื่อ ทั้งยังมีนิสัยเรียบง่าย ด้วยเหตุนี้ยามลอกเลียนแบบจึงไม่ยากสักนิด

อินทรีแดงสองหางสำรวจภูมิประเทศของสำนักเชียนหลันมาจนกระจ่างแจ้งแล้ว การค้นหาเรือนของหลิงจือจึงไม่ยากแม้แต่น้อย เมื่อฉินเซวียนเดินทางกลับมาถึงเรือนของหลิงจือก็บังเอิญพบเด็กสาวรากปราณสวรรค์ที่ประตูเรือนด้านข้างพอดี ฉินเซวียนไม่ชายตามองเด็กสาวรากปราณสวรรค์สักนิด เขาเดินผ่านหน้านางไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เด็กสาวรากปราณสวรรค์แค่นเสียงหยันอย่างดูแคลน “วางท่าสูงส่งอะไรกัน!”

ฉินเซวียนผู้ปิดบังตัวตนจากเด็กสาวรากปราณสวรรค์สำเร็จยกมุมปากยิ้มจางๆ

ภายในเรือนของหลิงจือ นอกจากตัวหลิงจือกับเด็กน้อยสองคน ก็มีแม่นมหนึ่งคนกับสาวใช้ที่ทำงานใช้แรงงานอีกสองคนอาศัยอยู่ด้วย เวลานี้บ่าวรับใช้ทั้งหลายอยู่กันพร้อมหน้า แต่เด็กน้อยไม่รู้ไปเล่นซนกันอยู่ที่ใด

ในขณะที่ฉินเซวียนครุ่นคิดว่าเด็กน้อยอยู่ที่ใดนั่นเอง มังกรเขียวน้อยผู้มีร่างกายแข็งแกร่งกำยำก็พาเด็กน้อยที่เหนื่อยจนหลับใหลสองคนกลับมา

หลายวันนี้จีเสี่ยวซิวว่างเมื่อใดก็มักจะลากมังกรมารน้อยไปฝึกวิชา เขาทำให้ตนเองกับเฉียวเวยเวยเหนื่อยแทบเป็นแทบตาย แต่ละวันต้องให้เถิงเสอแบกกลับมาส่ง

แม่นมรีบเข้าไปอุ้มจีเสี่ยวซิว แล้วหันมาส่งสายตาให้ ‘หลิงจือ’ บอกเป็นนัยว่า น้องสาวของผู้ใด ผู้นั้นก็มาอุ้มไปเอง เจ้าลูกตุ้มน้อยคนนั้นนางอุ้มไม่ไหวหรอก!

ฉินเซวียนเคยคิดว่าหลังจากตนเองแปลงกายเป็นหลิงจือแล้วคงจะมีโอกาสเข้าใกล้มังกรมารน้อยมากขึ้น แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าโอกาสจะมาถึงไวเช่นนี้ และรวดเร็วเช่นนี้

ก็ดี รีบควักเม็ดเน่ยตันออกมาจะได้รีบจบเรื่อง!

ฉินเซวียนหลุบตาซ่อนแววตาวาววับ จากนั้นจึงยิ้มน้อยๆ เดินเข้าไป เขาเอื้อมมือออกไปอุ้มเฉียวเวยเวยอย่างแผ่วเบา ผลปรากฏว่ากลับได้ยินเสียงดัง ตึง! เขาล้มโครมลงไปที่พื้นอย่างแรง!

ผู้ใดบอกเขาได้หรือไม่ว่าเหตุใดเด็กนี่จึงตัวหนักขนาดนี้ นี่มันไม่น่าจะใช่มังกรมาร แต่น่าจะเป็นมังกรตะกั่วมากกว่ากระมัง!

แขนสองข้างของฉินเซวียนชาหนึบทันที จวบจนตกค่ำความรู้สึกก็ยังไม่กลับมา เขาเบิ่งตามองเฉียวเวยเวยนอนแผ่พุงขาวป่อง แขนขากางอ้าซ่า กรนคร่อกอย่างไม่ระวังตัวแม้แต่น้อยอยู่บนเตียงเช่นนั้น ทว่าตัวเขาแม้แต่กำดาบก็กำไม่อยู่

กว่าเขาจะฟื้นกลับมาเป็นปกติก็ถึงเวลาเริ่มกินอาหารเย็นแล้ว ฉินเซวียนปลอบตนเองว่าไม่ต้องรีบร้อน เขายังมีเวลาอีกทั้งคืน เขาไม่เชื่อหรอกว่าโอกาสจะไม่มาเยือน

ตกกลางคืนเฉียวเวยเวยลงไปแช่น้ำอยู่ในสระน้ำกับกลีบดอกไม้ จากนั้นก็ขึ้นมานอนตัวหอมฉุยอยู่บนเตียง ฉินเซวียนรอแล้วรอเล่า รอจนกระทั่งจมูกของเฉียวเวยเวยพ่นลมหายใจออกมาอย่างสม่ำเสมอ เขาจึงล้วงมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากใต้หมอน

นี่ไม่ใช่มีดสั้นธรรมดา แต่เป็นมีดปราบมังกรที่มีไว้สังหารมังกรโดยเฉพาะ มันตัดผ่านเกล็ดมังกรได้ทุกชนิด เฉียวเวยเวยที่ยังเป็นเพียงลูกมังกรตัวหนึ่งยิ่งไม่อาจต่อต้านไหว

ค่ำคืนเงียบสงัด ผู้คนในเรือนล้วนหลับใหล ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงภายในห้อง

ฉินเซวียนบิดมุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย เขาแหวกอาภรณ์ของเฉียวเวยเวย เปิดหน้าท้องน้อยๆ กลมดิกออกมา จากนั้นจึงเอนกายลงไปใกล้ จรดปลายมีดลงบนหน้าท้องน้อยๆ ของเฉียวเวยเวย

ในตอนที่เขากำลังจะกรีดมีดลงบนหน้าท้องน้อยๆ ของเฉียวเวยเวยนั่นเอง เส้นผมสีดำดุจน้ำหมึกของเขาก็ร่วงลงไปบนใบหน้าของเฉียวเวยเวยแล้วปัดผ่านปลายจมูกน้อยๆ ของนาง เฉียวเวยเวยคันจมูกยุกยิก “ฮัด ฮัดเช้ย!”

ฉินเซวียนถูกมังกรมารน้อยจามใส่ทีเดียวก็ตัวปลิว ร่างของเขากระแทกบนกำแพงดังโครม แล้วร่วงตกลงมาอย่างแรง ร่างทั้งร่างหงายล้มไปด้านหลัง ก้นร่วงลงไปบนปลายมีดสั้นเต็มๆ…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด