Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 3202 ดีดนิ้ว

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 3202 ดีดนิ้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 3202 ดีดนิ้ว

สีหน้าของระดับจักรพรรดิพวกนั้นพลันแปรเปลี่ยน หันหลังหนีไปทันที

แน่นอนว่าพวกเขาจะไปส่งข่าว แต่สิ่งสำคัญกว่าคือเอาตัวรอดก่อน!

หากตายไปทุกอย่างก็จบแล้ว

ฟุ่บๆๆ!

เงาร่างพวกเขาเคลื่อนแหวกอากาศ มาเร็วแต่หนีเร็วยิ่งกว่า

ทั้งก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่เคยเข้ามาใกล้ ยืนอยู่ห่างไกล ยามนี้เมื่อหลบหนีจึงสบายหน่อย

“หนีพ้นหรือ”

กลับเห็นหลินสวินยื่นมือขวาออกมาแล้วดีดนิ้ว

วู้ม!

กรงมหามรรคไร้รูปมากมายปรากฏ แยกกันกำราบระดับจักรพรรดิกลุ่มนั้น ทำให้ร่างพวกเขาราวแมลงติดใยแมงมุมทันที ถูกขังอยู่ตรงนั้นไร้แรงดิ้นรน

“นี่…”

“บัดซบ!”

พวกเขาหน้าเปลี่ยนสี ในใจหวาดกลัว

ชิงเหิงที่เห็นภาพนี้อึ้งไปสักพัก แค่ดีดนิ้วก็สยบเหล่าระดับจักรพรรดิได้ นี่คือยอดวิชาอัศจรรย์อะไร

“ทุกท่านไม่ต้องตระหนก ข้าคนแซ่หลินไม่ใช่พวกเหี้ยมโหดรักการฆ่า ทั้งไม่คิดสร้างความลำบากให้เจ้าตัวจ้อยที่ถูกคนบงการอย่างพวกเจ้า”

ท่ามกลางเสียงราบเรียบ หลินสวินก้าวเข้ามาแล้ววาดนิ้ว

ฮูม…

แสงสมบัติสายแล้วสายเล่าพุ่งขึ้นมาจากตัวระดับจักรพรรดิพวกนั้น แค่พริบตาสมบัติติดตัวระดับจักรพรรดิพวกนี้ล้วนถูกเก็บจนเกลี้ยง แม้แต่สมบัติที่ซ่อนอยู่ในร่างก็ไม่รอด

นี่ทำให้ระดับจักรพรรดิพวกนั้นหน้าเขียว แต่เปรียบเทียบกับจุดจบที่ถูกสังหารหมู่แล้ว เหตุการณ์นี้กลับทำให้ในใจพวกเขาโล่งอก

เทียบกับชีวิตแล้ว แค่สมบัติบางส่วนเท่านั้น นับเป็นอะไรได้

หลินสวินถาม “ต่อจากนี้ข้าคนแซ่หลินต้องการรู้เรื่องบางอย่างจากจิตวิญญาณของทุกท่าน ทางที่ดีทุกท่านอย่าต่อต้าน มิฉะนั้นถ้าทำลายจิตวิญญาณขึ้นมาอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

ขณะกล่าวห้วงนิมิตของระดับจักรพรรดิพวกนี้พลันปวดแปลบ จิตรับรู้ซึ่งแข็งแกร่งหาใดเปรียบทะลวงเข้ามาอย่างแข็งกร้าว ครู่ต่อมาสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นอึ้งงันเหม่อลอย

ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินเก็บจิตรับรู้ หันไปกล่าวกับชิงเหิง “พวกเราไปสำนักเซียนจงอางแดงก่อน”

จากจิตวิญญาณของระดับจักรพรรดิพวกนี้ทำให้หลินสวินเข้าใจ เมื่อรับคำสั่งของสี่สำนักใหญ่แล้ว ระดับอมตะสามสิบหกคนที่ขุมอำนาจชั้นหนึ่งสิบสองแห่งของโลกแปรมรรคส่งมา ล้วนบัญชาการอยู่ที่สำนักเซียนจงอางแดงตลอด

ระดับอมตะพวกนี้มีหยวนจงผู้อาวุโสชั้นสูงหอเซียนเป็นผู้นำ แบ่งกันดูแลระดับจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งที่ระดมพลมาจากทุกขุมอำนาจ ลาดตระเวนอาณาเขตแห่งหนึ่ง อาศัยสิ่งนี้มาค้นหาร่องรอยตน

หยวนจงคนนี้ก็คือหนึ่งในทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนแห่งภาคีอีสาน!

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

หลินสวินกับชิงเหิงจากไปอย่างผ่าเผย

พลังผนึกบนตัวระดับจักรพรรดิพวกนั้นหายไปโดยไร้ร่องรอย กระทั่งตอนนี้พวกเขาล้วนรู้สึกยินดีที่รอดพ้นเคราะห์ร้ายอย่างอดไม่ได้

“เจ้าหมอนี่… ถึงกับปล่อยพวกเราไป…”

มีคนพึมพำเหมือนยังไม่กล้าเชื่อ

“ก่อนหน้านี้พวกเรายังคิดว่าผู้แปรมรรคหลินสวินเป็นพวกชั่วช้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะต่างจากที่ข้าคาดคิดโดยสิ้นเชิง…”

มีคนทอดถอนใจ

“พวกเรา… ยังต้องส่งข่าวอยู่ไหม”

มีคนอดถามไม่ได้

ทุกคนต่างเงียบไปพักหนึ่ง

ครู่ใหญ่จึงมีคนพูด “ไม่ได้ยินที่หลินสวินพูดเมื่อครู่หรือ เขาจะไปสำนักเซียนจงอางแดงเพื่อแก้แค้น ต่อให้พวกเราไม่แจ้งข่าว ไม่นานร่องรอยของเขาก็ต้องเปิดเผยสู่สายตาคนทั่วหล้า!”

หลายคนใจกระตุกวูบ

“ก็ถูก ครั้งนี้เขาเผยร่องรอยหน้าเมืองสันติ ทั้งไม่ปิดบังกลิ่นอายบนตัวแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าไม่คิดซ่อนตัวต่อไปแล้ว!”

“ถ้าเช่นนั้นเขาจะสู้สุดตัวจริงหรือ”

“เขามีปราณแค่ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ มีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของระดับอมตะพวกนั้นได้”

“รอก่อนเถอะ ใช้เวลาไม่นาน หลินสวินเป็นหรือตายย่อมรู้กันทั่วหล้า!”

หลินสวินเยื้องย่างกลางภูผาธารา การเดินไม่เร็วไม่ช้า ไม่เคยปิดบังกลิ่นอายระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิบนตัวแม้แต่น้อย

มองจากไกลๆ เงาร่างเขาเหมือนเทพบนสวรรค์ สาดส่องท้องนภาชั่วกาล!

“สหายยุทธ์ เจ้า… คิดบุกไปสำนักเซียนจงอางแดงเช่นนี้จริงหรือ”

ระหว่างทางชิงเหิงอดกล่าวไม่ได้

วิธีการของหลินสวินตอนนี้บ้าบิ่นเกินไปแล้ว ไม่อำพรางตัวแม้แต่น้อย คล้ายหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ศัตรูสัมผัสได้และมาหาเอง

สิ่งสำคัญกว่าคือทิศทางที่หลินสวินก้าวไปเป็นทางมุ่งหน้าสู่สำนักเซียนจงอางแดง!

“ข้าต้องการพลัง วิธีรับพลังที่เร็วที่สุดแน่นอนว่าเป็นการชิงทรัพย์บนตัวศัตรู”

หลินสวินกล่าวง่ายๆ “กล่าวอีกนัยคือข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศัตรูพวกนั้นจะมาหาโดยเร็ว”

น้ำเสียงเจือความคาดหวังเสี้ยวหนึ่ง

ชิงเหิงสูดหายใจหนาวเยือก ถูกความคิดหลินสวินทำให้ตกใจโดยสมบูรณ์

เขาฝึกปราณมาหลายปี เพิ่งเคยเจอเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้เป็นครั้งแรก

ไม่นานเสียงทลายอากาศระลอกหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล

ระดับจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งพุ่งมาจากจุดที่ห่างไกลราวกับเทพสวรรค์ทะยานผ่านภูผาธารา ผู้นำถึงกับเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิสองคน

เห็นชัดว่ากองกำลังนี้แข็งแกร่งกว่ามาก

ในโลกแปรมรรคนี้ย่อมทำให้ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่บนโลกได้แต่แหงนมอง

“อยู่ตรงนั้น!”

“เอ๊ะ เป็นชิงเฟิงแห่งสำนักสวรรค์ยุทธ์จริงดังคาด ยังมีชิงเหิงศิษย์พี่ของเขาด้วย!”

“ฮ่าๆๆๆ เดินจนรองเท้าเหล็กพังยังหาไม่ได้ บทจะมาง่ายดายไม่เปลืองแรง ทุกท่าน ตามข้ามาจับพวกเขาสองคน! หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นพวกเราต้องได้รับรางวัลใหญ่แน่!”

ผู้ฝึกปราณขบวนนี้ล้วนตื่นเต้นดีใจ สีหน้าเปี่ยมความยินดี คล้ายใกล้จับเหยื่อที่ปรารถนามานานได้

ตูม!

พวกเขาพุ่งตัวมาแต่ไกลอย่างรีบร้อน อานุภาพเดือดพล่าน

ชิงเหิงเห็นดังนี้แล้วเผยสีหน้าไม่อาจทนมองอย่างอดไม่ได้

ภาพที่คุ้นเคยเปิดฉากแล้ว ก็เห็นหลินสวินดีดนิ้วคราหนึ่ง เงาร่างของผู้ฝึกปราณที่พุ่งตัวมาพวกนั้นล้วนหยุดอยู่กลางอากาศพร้อมกัน แต่ละคนเหมือนห่านถูกบีบคอ

ภายใต้แววตาอึ้งงันทำอะไรไม่ถูก ตื่นตระหนกมึนงงของพวกเขา หลินสวินเดินมาแล้วสะบัดแขนเสื้อ นำสมบัติติดตัวทั้งหมดของพวกเขาไป

นี่ทำให้สีหน้าพวกเขาตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม เปลี่ยนเป็นหลากสีสันหาใดเปรียบ

ท่าทางนั้นชิงเหิงเห็นแล้วเผยสีหน้าเวทนาอย่างอดไม่ได้ ไม่ว่าใครถูกโจมตีเช่นนี้ก็คงตื่นตระหนก อึ้งงันจนสับสนในชีวิตกระมัง

ไม่นานหลินสวินกับชิงเหิงก็จากไป

กลางภูผาธาราผู้ฝึกปราณพวกนั้นกลับมาเป็นอิสระ ทุกคนหน้าขาวซีดถอดสี อกสั่นขวัญหาย

ถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าตนถูกพันธนาการในพริบตาได้อย่างไร…

เช่นนี้ก็หมายความว่าหากหลินสวินจะฆ่าพวกเขา ย่อมไม่ต่างอะไรกับบี้มดปลวกกลุ่มหนึ่งให้ตาย!

หนทางต่อจากนั้นผู้ฝึกปราณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าพุ่งมาไม่ขาดสาย ล้วนถูกกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวหลินสวินดึงดูด

ผู้ฝึกปราณเหล่านี้มาจากขุมอำนาจต่างกันไป อย่างมากมีสิบกว่าคน อย่างน้อยก็มีห้าหกคน ทั้งไม่ขาดระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ

พูดอย่างไม่เกินจริง หากเปลี่ยนเป็นชิงเหิงคงสิ้นหวังพังทลายไปนานแล้ว

ถึงอย่างไรคนพวกนี้ก็ล้วนเป็นบุคคลเจิดจรัสซึ่งยืนอยู่บนมรรคจักรพรรดิของโลกแปรมรรคทั้งสิ้น ใครไม่ใช่ตัวตนน่ากลัวที่ชื่อเสียงระบือลั่นบ้าง

แต่ตอนนี้ในสายตาของชิงเหิง ผู้ฝึกปราณหลายกลุ่มที่มาหาถึงที่นี้เหมือนเหยื่อติดกับเอง

พุ่งตัวมาอย่างรีบเร่ง จากนั้นก็ถูกปลดทรัพย์ติดตัวอย่างรวดเร็ว…

โดยเฉพาะตอนเห็นการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าพวกเขา ชิงเหิงถอนใจยาวอย่างอดไม่ได้หลายครั้ง หาเรื่องใส่ตัวทำไม

ทุกอย่างนี้ทำให้ชิงเหิงรับรู้ว่าปราณของหลินสวินตอนนี้ดูเหมือนอยู่ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่พลังต่อสู้ของเขากลับกวาดล้างคนระดับเดียวกันบนโลกได้นานแล้ว!

ข่าวหลินสวินเผยร่องรอยแพร่ออกไป เข้าหูระดับอมตะของสำนักเซียนจงอางแดงในเวลาอันสั้น

ระดับอมตะพวกนั้นล้วนตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที

“สุดท้ายเจ้าเดรัจฉานนี่ก็ปรากฏตัว ในที่สุดโอกาสกำจัดมันก็มาแล้ว!”

มีคนอิ่มเอมยินดี

“หึๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าภายใต้การตามจับราวแหฟ้าตาข่ายดินของพวกเรา เขาย่อมไร้ที่ซ่อนและหลบหนีแน่”

มีคนยิ้มกล่าว

ระดับอมตะจากขุมอำนาจชั้นหนึ่งพวกนี้ล้วนกระเหี้ยนกระหือรือ

เมื่อเห็นภาพนี้หยวนจงผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งหอเซียนกลับขมวดคิ้วกล่าวเย็นชา “พวกเจ้าคิดจริงหรือว่าหลินสวินนั่นจัดการง่าย”

ประโยคเดียวทำให้ระดับอมตะพวกนั้นล้วนอึ้งงัน

“อย่าหาว่าข้าพูดจาไม่น่าฟัง ในสายตาผู้แปรมรรคอย่างพวกเรา พวกเจ้าเป็นแค่กบในกะลา ไม่รู้เลยว่าอะไรคือผู้แปรมรรค!”

หยวนจงกล่าวด้วยสีหน้าเยียบเย็น

สีหน้าระดับอมตะพวกนั้นพลันปรวนแปรไม่หยุด แต่กลับไม่มีใครกล้าโต้แย้ง

หยวนจงกล่าว “หลินสวินปรากฏตัว แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่พวกเรายังไม่อาจประมาทด้วยเรื่องนี้ ตรงกันข้ามพวกเรายิ่งต้องรอบคอบและระวังตัวถึงจะถูก”

มีคนอดกล่าวเสียงเบาไม่ได้ “ใต้เท้าหยวนจง ข่าวที่ส่งมาพวกนั้นบอกว่าหลินสวินยังมีมรรควิถีระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ทั้งไม่ได้ก้าวสู่มรรคาอมตะ ถ้าเป็นเช่นนี้ทำไมต้องกลัวเขาขนาดนั้นด้วย”

คนอื่นไม่เข้าใจเช่นกัน

หยวนจงกล่าวเย็นชา “เช่นนั้นพวกเจ้าสังเกตเห็นไหม ข่าวพวกนั้นบอกว่าหลินสวินไม่เพียงเผยร่องรอย ยังกำลังรีบเร่งมาทางสำนักเซียนจงอางแดงนี้ด้วย”

“นี่…”

ทุกคนต่างแววตาไหววูบ

“ข้าน้อยคิดว่าทุกอย่างนี้ล้วนสื่อความนัย ว่าตอนนี้หลินสวินมีโอกาสสูงว่าจะครองพลังที่สามารถต่อกรกับระดับอมตะได้แล้ว ถึงกล้าบุกมาหาด้วยตัวเองเช่นนี้”

เถียนรั่วจิ้งที่ยืนอยู่ข้างกายหยวนจงพลันเอ่ย “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ระวังหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องร้าย”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนระดับอมตะพวกนั้นคงไม่เห็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเถียนรั่วจิ้งในสายตา

แต่ตอนนี้ต่างออกไป พวกเขารู้ว่าหยวนจงให้ความสำคัญกับเถียนรั่วจิ้งมาก ช่วงนี้มีนางติดตามข้างกายตลอด

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไร” หยวนจงกล่าว

เถียนรั่วจิ้งกล่าวครุ่นคิด “เฝ้ารอเขามาหาถึงที่ เช่นนี้จึงจะรวบรวมกำลังพลทั้งหมดมากำจัดเขาได้ แน่นอนว่าข้าสงสัยนักว่าเขาจะกล้าบุกมาจริงหรือไม่ ถึงอย่างไรที่นี่ก็มีผู้อาวุโสทุกท่านบัญชาการอยู่ หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงไม่ทำเรื่องโง่เขลารนหาที่ตายเช่นนี้”

หยวนจงกล่าว “การเฝ้ารอที่นี่ตรงกับความคิดข้า แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังไม่เข้าใจว่าผู้แปรมรรคคืออะไร ยิ่งไม่รู้ถึงความอันตรายของหลินสวินด้วย”

เขากล่าวพึมพำราวทอดถอนใจ “หากเป็นผู้แปรมรรคทั่วไป มีหรือจะทำให้พวกเราทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนให้ความสำคัญเช่นนี้ ทำไมต้องระดมพลทุกขุมอำนาจใหญ่ทั่วหล้าไปจับเขาเล่า”

เขาพูดถึงตรงนี้ก่อนกวาดสายตามองทุกคน กล่าวว่า “ขอพูดอย่างไม่เกรงใจสักประโยค ยามเขายังไม่ก้าวสู่มรรคาอมตะ พวกเจ้าถึงมีโอกาสกำจัดเขาได้ หากเขาก้าวสู่มรรคาอมตะ พวกเจ้า… ล้วนไม่พอให้เขาสังหาร!”

ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีทันที

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด