ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 628 ทะลวงระดับ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 628 ทะลวงระดับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 628 ทะลวงระดับ

สายฝนชุกหลังแล้งมานาน…อาจจะเป็นคำอธิบายสภาพของสวี่ชีอันในขณะนี้ได้ดีที่สุด

พูดตามตรง เมื่อครู่เขาตายไปแล้วจริงๆ ในชั่วพริบตาที่หอกอสนีบาตกำลังปะทุออกภายในร่างของเขา พลังอสนีบาตและธาตุทั้งห้าอาละวาด ปราณชีวิตขาดหาย สองวิญญาณแห่งฟ้าดินออกจากร่าง

น่าหลันเทียนลู่ฝืนระเบิดตับ จ่ายค่าตอบแทประมาณหนึ่งเพื่อฟื้นคืนจุดสูงสุดของขั้นสองในเวลาสั้นๆ พลังของหอกอสนีบาตเกินขีดจำกัดที่จอมยุทธ์ขั้นสามจะรับได้

โชคดีที่ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถในเจดีย์พุทธะชุบชีวิตคนตายได้

นี่เป็นสาเหตุที่สวี่ชีอันกล้าเดิมพันชีวิตกับน่าหลันเทียนลู่

“ระดับของข้าในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากระดับแรกเริ่มของขั้นสาม น่าหลันเทียนลู่ที่ระเบิดตับก็อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นสอง เหนือกว่าหนึ่งขั้น โชคดีที่ข้าทำให้หอกอสนีบาตอ่อนแอลงด้วยดาบเดียวตัดฟ้าดินกับร่างแห่งปราณของลัทธิขงจื๊อ”

สวี่ชีอันหวาดผวาอยู่ในใจ

หลังจากสังเกตเห็น ‘หยกสลาย’ มีช่องโหว่ สวี่ชีอันก็เก็บไพ่ตายใหญ่ที่สุดเอาไว้ เปลี่ยนไปเดิมพันชีวิตกับน่าหลันเทียนลู่ด้วยหยกสลายแทน

เขาสื่อสารกับถ่าหลิงพลางยืนยันว่าถ่าหลิงภิกษุเฒ่าช่วยเหลือได้ทันเวลาโดนไม่มีอุปสรรค ดังนั้นจึงเพิ่มการป้องกันสองทางเพื่อรับประกันอัตรารอดชีวิต ทางแรกคือ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ อีกทางหนึ่งคือร่างแห่งปราณอันยิ่งใหญ่ของลัทธิขงจื๊อ

ใช้ตัดกำลังของหอกอสนีบาต

เขาชนะเดิมพันแล้ว รอดชีวิตมาได้ในท้ายที่สุด ไม่สิ พูดให้ถูกคือถูกช่วยชีวิตสำเร็จ

นี่คือโชคชะตาเสริมร่าง

“น่าเสียดายที่หยกสลายของข้าเพิ่งจะมีช่องโหว่ มิอาจส่งคืนความเสียหายให้ฝ่ายตรงข้ามได้เต็มที่ มิเช่นนั้นน่าหลันเทียนลู่อาจจะเป็นเถ้าธุลีมลายหายไปตรงนั้น”

สวี่ชีอันทอดมองตงฟางหว่านหรงที่กรีดร้องอย่างเศร้าสลดก็สงสารอยู่พักหนึ่ง

การส่งคืนความเสียหายของหยกสลายหายไประดับหนึ่ง ตอนนี้เขาคืนความเสียหายได้ประมาณร้อยละหกสิบ

พนันได้เลยว่าใครจะดวงแข็งกว่ากัน

อันที่จริงตงฟางหว่านหรงได้รับผลกระทบเพียงเท่านั้น เป้าหมายส่งคืนความเสียหายของหยกสลายคือน่าหลันเทียนลู่ ไม่ใช่ตงฟางหว่านหรง

สาเหตุที่นางเศร้าสลดเช่นนี้ก็เพราะน่าหลันเทียนลู่อาศัยอยู่ภายในร่างของนาง จึงโดนลูกหลงไปด้วย

หากส่งคืนนางโดยตรง ด้วยระดับแค่ขั้นสี่ นางก็คงกลายเป็นเถ้าธุลีไปนานแล้ว

หลี่หลิงซู่ลอยอยู่ในอากาศไม่ไกล ไม่ได้เข้าไปใกล้แต่ก็ไม่ได้ออกห่าง ป้องกันไม่ให้มีคนฉวยโอกาสซ้ำเติม

ทว่าสายตาของเขาไม่ได้อยู่บนร่างของสวี่ชีอัน แต่สังเกตสภาพการณ์ของตงฟางหว่านหรงอย่างใกล้ชิด เทพบุตรขมวดคิ้วแน่น ในใจก็กังวลสภาพการณ์ของอดีตคนรัก

เหมียวโหย่วฟางหยุดฝีเท้าลงเช่นกัน ปีนต้นไม้ใหญ่ที่เหี่ยวแห้ง ได้แต่เกลียดตัวเองที่บินไม่ได้

“ตาต่อตา ฟันต่อฟันหรือ”

“ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ!!”

สองเทพารักษ์ตู้ฝานและตู้หนานส่งเสียงออกมาพร้อมกัน ทั้งตกใจและเดือดดาล

ตกใจที่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตงฟางหว่านหรงถึงถูกแว้งกัด แล้วโดนโจมตีเฉกเช่นเดียวกับสวี่ชีอัน

ไม่เคยได้ยินวิธีการนี้มาก่อน

เดือดดาลที่รักษาชีวิตของสวี่ชีอันได้มากกว่าครึ่งทันทีที่ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถปรากฏตัว

พระพุทธเจ้าสร้างร่างธรรมทั้งเก้าแห่งสำนักพุทธขึ้น ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาสูงสุด ทุกร่างธรรมมีความสามารถที่ใครก็คาดเดาไม่ได้

หมอยาไม่มีพลังโจมตี แต่ชุบชีวิตคนจากความตายได้ เปลี่ยนชะตากรรม ทำลายกฎธรรมชาติ

การกวาดล้างปีศาจหกสิบปีในตอนนั้น พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้แสดงร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถช่วยชีวิตเทพารักษ์และศิษย์สำนักพุทธนับไม่ถ้วน

นอกเสียจากวิธีพิเศษบางอย่างหรือวิญญาณกระเจิงตรงนั้น ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถก็ช่วยชีวิตได้ทั้งสิ้น

ตอนนี้ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถแสดงตัว แม้สวี่ชีอันจะเพิ่งตายไปก็ช่วยกลับมาได้เป็นส่วนใหญ่

เสื้อสีดำไหม้เกรียมบนร่างของตงฟางหว่านหรงถูกประกายไฟฟ้าไหม้เป็นรูไม่น้อย นางพยุงร่างขึ้นนั่งขัดสมาธิอย่างยากลำบาก

แสงเลือดเบาบางลอยขึ้นมาจากภายในร่างของนาง ส่องแสงดุจเทียนกลางสายลม

บัดนี้หมอกดำที่ปกคลุมภูเขาเฉวี่ยนหรงเริ่มจางหาย พายุเปลี่ยนเป็นฝนปรอย ฝนพายุที่สูญเสียพลังค้ำจุนจากเจ้าแห่งวัสสานถอยกลับไปในที่สุด

“ปรมาจารย์น่าหลันอวี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

เทพอารักษ์ตู้หนานสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า

ตงฟางหว่านหรงนิ่งเงียบไม่เอื้อนเอ่ย คล้ายกับไม่หลงเหลือแม้แต่แรงจะพูด

น่าหลันเทียนลู่กระตุ้นศักยภาพร่างกายของศิษย์ด้วยวิชาวิญญาณโลหิต ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ทว่าร่างกายนี้เป็นคันศรสิ้นแรง วิชาวิญญาณโลหิตจะปั้นน้ำเป็นตัวไม่ได้เช่นกัน

ดังนั้นผลการฟื้นฟูจึงมีจำกัด

“ท่านพี่!”

เสียงสนั่นฟ้าดังขึ้น ตงฟางหว่านชิงลอยกลับมาจากฟ้า นางมองท่าทางน่าเวทนาของตงฟางหว่านหรง สีหน้าก็ซีดขาว ดวงตาทั้งตระหนกและร้อนใจ

“ยาอายุวัฒนะ…”

เสียงอ่อนเพลียของน่าหลันเทียนลู่ดังมาจากภายในร่างของตงฟางหว่านหรง

ตงฟางหว่านชิงหยิบยาอายุวัฒนะรักษาบาดแผลออกมาอย่างรวดเร็ว ง้างปากของตงฟางหว่านหรงและยัดเข้าไป

แสงสีเลือดที่ลอยล่องก็หนาแน่นขึ้นเล็กน้อยในชั่วเวลาอันสั้น

“ไม่พอ! ”

เสียงของน่าหลันเทียนลู่แหบแห้งและอ่อนแรง

ร่างกายของพ่อมดช่างบอบบางเหลือเกิน ไม่ได้ทรหดและพลังล้นเหลือแบบจอมยุทธ์ พลังรักษาตนเองก็ไม่เพียงพอ

“มะ ไม่มีแล้ว…”

ตงฟางหว่านชิงเอ่ยเสียงสะอื้น

นางไม่ใช่ทั้งโหรและนักพรต จะเอายาอายุวัฒนะมาจากไหนมากมาย

“ไต้ซือทั้งสอง พะ พวกท่านมียาอายุวัฒนะอีกหรือไม่”

ตงฟางหว่านชิงเม้มปาก ขอความช่วยเหลือจากตู้หนานและตู้ฝาน

“อมิตตาพุทธ อาตมาไม่ได้พกยาอายุวัฒนะติดตัว”

เทพารักษ์ทั้งสองส่ายหน้า

แม้พลังรักษาตนเองของเทพารักษ์จะไม่เท่าจอมยุทธ์ขั้นสาม ทว่าก็แกร่งกว่ายาอายุวัฒนะรักษาบาดแผลส่วนใหญ่บนโลกแน่นอน

นอกเสียจากยาอายุวัฒนะชั้นยอดที่ท่านโหราจารย์กลั่นขึ้น มิเช่นนั้นที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะรักษาบาดแผลก็คงไม่มีค่าอะไรสำหรับเทพารักษ์

ตงฟางหว่านชิงก้มหน้ามองเรืออวี่เฟิง นางรู้ว่าบนร่างจีเสวียนมียาอายุวัฒนะ

ทว่าเรืออวี่เฟิงสูงเกินไป นางมิอาจบินขึ้นได้

บนเรืออวี่เฟิงเงียบสงบ จีเสวียนคล้ายกับไม่อยากช่วยตงฟางหว่านหรง

เสียงคำรามดังขึ้นจากด้านหลัง กระบี่ด้ามเล็กที่ห้อยถุงหอมบินเข้ามา แล้วปักอยู่ข้างเท้าของตงฟางหว่านชิง

นางปรายตามองถุงหอม แล้วหันหน้ามองหลี่หลิงซู่ที่ยืนอยู่ในอากาศไกลออกไป

ตงฟางหว่านชิงเปิดถุงหอม หยิบขวดลายครามหลายขวดออกมาจากด้านใน จ่อไปที่จมูกพร้อมสูดกลิ่นเพื่อแยกแยะคุณสมบัติของยาอายุวัฒนะ

เลือกยาอายุวัฒนะที่มีกลิ่นรักษาบาดแผล แล้วป้อนให้ตงฟางหว่านหรง

อาการบาดเจ็บของท่านพี่จึงสงบลง

น่าหลันเทียนลู่ผ่อนลมหายใจพร้อมเอ่ยช้าๆ

“ข้าไร้แรงสู้อีกต่อไป ไต้ซือทั้งสองเชิญตามสบายเถิด”

การฝืนเลื่อนระดับก็ทำลายรากฐานเสียหาย ถูกพลังของหอกอสนีบาตแว้งกัดต่ออีก เขาจึงอ่อนแอสุดขีด

ทางเคี้ยวคดบนยอดเขา!

ขณะที่สถานการณ์สำหรับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ตกลงก้นเหว ทันใดนั้นก็กลับตาลปัตร แล้วพุ่งตรงขึ้นสู่ขอบฟ้า

พลิกผันครั้งใหญ่และรวดเร็ว ทำให้สมองของพวกเขาอยู่ในสภาวะสับสน

ไม่นานนักเสียงกรีดร้องและเสียงโห่ร้องยินดีก็ดังขึ้น ผสมกับเสียงร้องไห้ดีใจของหญิงสาว

คุณชายหลิ่วสูดหายใจลึก มองไปรอบๆ ก็ยังเห็นความหวาดกลัวและความเศร้าโศกหลงเหลืออยู่บนใบหน้าของคนส่วนใหญ่ ทว่าปากของพวกเขากลับโห่ร้องยินดี ไม่ก็ร้องเสียงแหลมสูงที่ไร้ความหมาย

ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างคิดว่าฆ้องเงินสวี่ไม่มีทางรอดแน่นอน

วินาทีต่อมาสถานการณ์กลับตาลปัตร หญิงสาวที่ราวกับเทพพลันได้รับบาดเจ็บสาหัส ฆ้องเงินสวี่บัดนี้ลอยอยู่บนอากาศ เจดีย์พุทธเหนือศีรษะสาดแสงสีทองออกมาปกป้องเขา

“ฆ้องเงินสวี่ชนะแล้ว”

“ทำข้าตกใจหมด…”

“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว สมกับเป็นพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดในคนรุ่นใหม่ของประเทศข้า”

“เมื่อครู่เขาใช้วิธีอะไร เหตุใดเจ้าแห่งวัสสานถึงบาดเจ็บสาหัสโดยพลัน”

หลังจากระบายอารมณ์เสร็จ ทุกคนต่างแย่งกันออกความเห็น

เขาเอาชนะเจ้าแห่งวัสสานขั้นสองได้ด้วย…คุณชายหลิ่วรู้จักตัวตนของหญิงสาวผู้นั้นจากปากเฉาเหมิงจู่และผู้อาวุโสคนอื่น

เจ้าแห่งวัสสานขั้นสองแห่งสำนักพ่อมด

ขั้นสอง ในสายตาของเขานี่คือเทพเซียน

“ผู้ดูแลหอพูดถูก ฆ้องเงินสวี่ไม่เคยแพ้ ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน…”

คุณชายหลิ่วได้ยินเสียงร้องของหรงหรง จึงมองตามเสียง นางกำลังจับมือของท่านอาจารย์ แล้วเอ่ยด้วยอารมณ์ฮึกเหิม ใบหน้ายังหลงเหลือคราบน้ำตา

คุณชายหลิ่วเบนสายตามองไปที่แผ่นหลังงดงามไร้ที่ติดุจเทพธิดา นางหันหลังให้คนเฝ้าประตูหอหมื่นบุปผา แล้วยืนอยู่ริมผา ไม่เคลื่อนสายตาออกจากร่างฆ้องเงินสวี่ตั้งแต่ต้นจนจบ

คุณชายหลิ่วขมวดคิ้วเอ่ย

“ทว่ายังมีสองเทพารักษ์จากสำนักพุทธอยู่มิใช่หรือ อีกอย่างฆ้องเงินสวี่เหมือนจะสู้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว…”

ประโยคนี้ช่างคล้ายกับถังน้ำเย็นเทลงบนศีรษะของทุกคนดัง ‘ซ่า’ สาดความยินดีและความฮึกเหิมของพวกเขาหายไป

สถานการณ์เงียบลงในชั่วพริบตา

ทุกคนต่างมองเขา

“อาตมาเข้าใจ”

อสูรเทพอารักษ์ปรายตามองตู้หนาน บ่งบอกเขาว่าอย่าเพิ่งวู่วามพร้อมเอ่ย “จงอย่าใช้มันหากไม่ถึงคราจำเป็น”

ตู้หนานพยักหน้า

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ประทานแก่นโลหิตหยดหนึ่งให้พวกเขา แก่นโลหิตหยดนี้ที่แฝงด้วยพลังของร่างธรรมเทพารักษ์จะถูกใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย

ที่เรียกว่าแก่นโลหิตไม่ใช่เลือดธรรมดา ทว่ากลั่นพลังของเทพารักษ์เข้าไปในเลือด

สวี่ชีอันก็มอบแก่นโลหิตที่คล้ายกันให้เฉาชิงหยาง

พลังของร่างธรรมเทพารักษ์ร้ายแรงเกินไป แม้จะเป็นเทพารักษ์ขั้นสามก็มิอาจควบคุมมันให้ดีได้

หากบุ่มบ่ามใช้ก็อาจจะถูกพลังของร่างธรรมเทพารักษ์ระเบิดกายเนื้อได้ ไม่ก็หลงเหลือบาดแผลซ่อนเร้นที่กำจัดได้ยาก

นอกจากนี้ หากกำจัดพุทธบุตรและกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์โดยไม่ใช้แก่นโลหิตของพระโพธิสัตว์ได้ เช่นนั้นพวกเขาก็จะเก็บแก่นโลหิตหยดนี้เอาไว้ใช้เอง ใช้อย่างช้าๆ บรรลุร่างธรรมเทพารักษ์ในนั้น

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มอบแก่นโลหิตให้พวกเขาโดยไม่ขอคืนอีก

“ถึงแม้เจ้าแห่งวัสสานจะรักษาบาดแผล แต่เขาก็มอบให้อาตมา”

อสูรเทพอารักษ์สาวเท้าเดินไปหาสวี่ชีอัน ไม่นานเขาก็เดินมาถึงริมผา เท้าย่ำอยู่บนอากาศราวกับเหยียบพื้นราบอยู่

“สวี่ชีอัน ความอดทนของสำนักพุทธมีขีดจำกัด เจ้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักพุทธครั้งแล้วครั้งเล่า ร่วมมือกับลั่วอวี้เหิงจับพระอรหันต์ตู้ฉิงเป็นเชลย ในเมื่ออาตมาจะปกป้องเทพารักษ์ก็ควรฆ่าคนชั่วเพื่อสำนักพุทธ”

เขาดูจะเดินอย่างเชื่องช้า อันที่จริงสะสมพลังรอจู่โจม เล็งสวี่ชีอันอย่างแน่นหนา

เป้าหมายของสำนักพุทธก็คือสวี่ชีอัน ไม่ว่าจะฆ่าเขาก็ดีหรือช่วยเขาก็ตาม

เมื่อเปรียบเทียบกัน นอกจากทุกคนในเมืองเฉียนหลงที่คิดจะกำจัดกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ลำดับความสำคัญในใจของน่าหลันเทียนลู่กับสองเทพารักษ์คือ

สวี่ชีอัน ปราณมังกร และกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์!

สวี่ชีอันไม่มา พวกเขาก็จะเก็บปราณมังกรและทำลายกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

หากสวี่ชีอันสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เขาจะกลายเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของทั้งสองฝ่าย

อาการบาดเจ็บของสวี่ชีอันในขณะนี้เริ่มคงที่แล้ว ผิวหนังที่ไหม้เกรียมก็งอกผิวอ่อนวัยออกมาใหม่ ปราณชีวิตภายในร่างฟื้นตัว

เขาทอดมองอสูรเทพอารักษ์ที่อยากสังหารทุกย่างก้าว แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ผ่านมาสิบห้านาทีแล้ว”

อะไรนะ อสูรเทพอารักษ์ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด

‘ตูม!’

ทันใดนั้นประตูหินที่ถูกหินฝังกลบก็ระเบิดออกอย่างไร้สัญญาณเตือน หินนับไม่ถ้วนปลิวว่อน

แสงดาบอันเจิดจ้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหารพุ่งออกมาจากประตูหิน แล้วฟันใส่อสูรเทพอารักษ์

ชายชราจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์หรือ ลางสังหรณ์ของอสูรเทพอารักษ์ทำให้เขาหลบออกมาก่อน หลีกเลี่ยงแสงดาบอันทรงพลัง

หลังจากแสงดาบพุ่งใส่อากาศก็หนีเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

อสูรเทพอารักษ์พลันหันข้าง วินาทีต่อมาแสงดาบที่ฟันลงมาจากความว่างเปล่าเหนือศีรษะก็แฉลบผ่านร่างของเขาไป

จากนั้นก็หนีเข้าไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง

หากไม่โดนศัตรูก็จะไม่หายไปอย่างนั้นหรือ

อสูรเทพอารักษ์เลิกคิ้วหนา สัมผัสได้ถึงอันตรายจากทางซ้าย เขาไม่ได้หลบอีกต่อไป กำปั้นเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าและชกออกไปในทันใด

กระแทกแสงดาบที่จู่โจมมาจากทางซ้ายเข้าพอดี

อสูรเทพอารักษ์กลิ้งลอยออกไปท่ามกลางเสียงระเบิดคล้ายอสนีบาต เขาก้มหน้าอย่างตื่นตะลึง มองหมัดขวาที่เปื้อนเลือดเนื้อ

จิตดาบนี้ทะลวงร่างเทพารักษ์ของเขาได้ด้วยหรือ

เกือบทุกคนต่างมองไปที่ถ้ำ ร่างหนึ่งเดินออกมาจากถ้ำหินที่มืดมิด

ผมสีขาวของเขาดึงดูดสายตามากที่สุด ผมสีขาวคล้ายผ้าห่มกระทบหลังและลากอยู่บนพื้น

คิ้วทั้งสองห้อยลงที่สองข้างแก้ม เคราย้อยลงมาถึงหน้าอก

เขาเปลือยกายไร้อาภรณ์ปกปิด ไม่เห็นแสงแดดมาตลอดปีทำให้ร่างกายของเขาคล้ายหยกขาวอันงดงาม กล้ามเนื้อเป็นมัด สูงใหญ่กำยำ

โฉมนอกของเขาราวกับชายชราวัยห้าสิบปี มีริ้วรอยเล็กน้อยบนใบหน้า แต่ดูไม่แก่สักนิด

องค์ประกอบใบหน้าราวกับรูปปั้น ท่าทางช่วงวัยหนุ่มคงเป็นชายที่อาจหาญน่าดู

“ท่านบรรพชน?!”

เฉาชิงหยางพึมพำ

ชาวยุทธจักรกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ด้านหลังทุกคนต่างสับสนและตื่นตระหนกเฉกเช่นเดียวกัน เสริมด้วยความกลัดกลุ้ม

“นี่คือท่านบรรพชนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของพวกเราหรือ”

“ใช่ นี่คือท่านบรรพชน ช่างคลับคล้ายกับในรูปภาพ”

หลังจากมึนงงชั่วขณะก็ค่อยๆ จำชายชราที่ผนึกตนเองนานร้อยปีได้ว่าตรงกับภาพวาดที่แขวนอยู่ในโถงบรรพบุรุษ

“เหตุใดท่านบรรพชนทะลวงระดับในเวลานี้ สะ สภาพเขาย่ำแย่มากไม่ใช่หรือ”

ฟู่จิงเหมินเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อยพร้อมเอ่ย

“คงไม่ใช่เพราะเห็นฆ้องเงินสวี่ตกที่นั่งลำบากจึงพยายามทะลวงระดับหรอกใช่ไหม”

เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก หากเป็นเช่นนี้ก็จินตนาการได้ถึงราคาที่ท่านบรรพชนพยายามทะลวงระดับออกมาได้

หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ เสาค้ำฟ้าของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็พังทลาย นี่เป็นความเสียหายที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มิอาจทนได้

“นะ นี่…” บ้างก็สั่นเทาจนพูดไม่ออก

เรื่องของรากบัวเก้าสีมีเพียงเฉาชิงหยางผู้นำพันธมิตรเพียงคนเดียวที่รู้ เขากำลังจะอธิบายก็ได้ยินสวี่ชีอันหัวเราะลั่นพร้อมเอ่ย

“ท่านผู้อาวุโส ในที่สุดท่านก็ออกมาเสียที หากท่านยังไม่ทะลวงระดับอีก ข้าจะหันหลังจากไปเสีย”

แล้วเดินหลบเข้าไปในเจดีย์พุทธะ

ชายชราหัวเราะชอบใจ

“ขอบคุณรากบัวเก้าสีของฆ้องเงินสวี่ช่วยให้ข้าทะลวงระดับได้ ข้าเลื่อนระดับเป็นขั้นสองแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่ดีหลังจากผ่านพ้นเรื่องร้าย! ”

น้ำเสียงเริงร่า สดชื่นกังวาน

…………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด