มู่หนานจือบทที่ 348 ทันที
ระหว่างพ่อสามีกับสะใภ้ต้องหลีกเลี่ยงการเป็นที่น่าสงสัย
เรื่องแบบนี้ควรให้ฮูหยินเหอเป็นคนบอกหลี่ฉางชิงไม่ใช่หรือ?
เจียงเซี่ยนมองสายตาที่กระตือรือร้นของฮูหยินเหอ แล้วอยากลูบหน้าผากกับถอนหายใจยาวมาก
แต่นางทำไม่ได้
ฮูหยินเหอกลัวหลี่ฉางชิงราวกับประทับอยู่ในกระดูกแล้ว ให้นางไปบอกเรื่องนี้ อาจจะแย่กว่าไม่บอกเสียอีก
นางเอ่ยว่า “ข้าจะให้ท่านแม่ทัพไปบอกใต้เท้า”
ฮูหยินเหอถอนหายใจยาวเหยียดทันที
เจียงเซี่ยนปลอบใจหลี่ตงจื้อเรียบร้อยแล้ว พอกลับถึงเรือนตะวันตกก็ให้คนไปเชิญหลี่เชียนกลับมา
ตอนที่หลี่เชียนได้ข่าวจากคนรับใช้นั้น เขากำลังปรึกษาเรื่องที่ไปเสฉวนกับหลี่ฉางชิงอยู่
พวกผู้ช่วยอย่างเกาฝูอวี้ หลิ่วหลี และเซี่ยหยวนซีต่างก็อยู่
ตามความคิดของเกาฝูอวี้ เวลากัวหย่งกู้เจรจากับคนอื่นจะวางตัวแข็งกร้าวมาก ดังนั้นคิดหาทางร่วมมือกับเหวินหมิงผู้ว่าราชการมณฑลเสฉวนดีกว่า “ข้ามีเพื่อนร่วมสำนักคนหนึ่งเคยเป็นคนที่สอบขุนนางผ่านรุ่นเดียวกันกับเหวินหมิง คนๆ นี้ดื้อรั้นและทะนงตนมาก ขอเพียงจับจุดอ่อนนี้ของเขาได้และลงมือ ก็เป็นไปได้มากว่าจะสำเร็จ”
ก่อนที่หลิ่วหลีจะเป็นผู้ช่วยให้หลี่ฉางชิงนั้น เขาเป็นเพียงซิ่วไฉที่สอบตกครั้งแล้วครั้งเล่าและใช้ทรัพย์สินของตระกูลจนหมดสิ้น อยู่ข้างกายหลี่ฉางชิงส่วนใหญ่ก็ทำพวกงานราชการที่ติดต่อกันทางเอกสาร เขาถนัดงานประเภทนี้มาก และละเอียดรอบคอบ แม้แต่เกาฝูอวี้ก็จำเป็นต้องยอมรับว่าหลิ่วหลีเหมาะที่จะทำงานประเภทนี้มากกว่าตนเอง หลิ่วหลีจึงถูกหลี่ฉางชิงพึ่งพามากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าอาจจะเพราะได้รับความรู้จำกัด ถึงแม้เขาจะสนใจงานประเภทนี้ แต่กลับไม่เคยมีความคิดที่ดีเลย หลี่ฉางชิงให้เขามีส่วนร่วมต่อไป เพราะคิดว่าในเมื่อเขารับผิดชอบการติดต่อกันทางเอกสารของงานราชการของเขา ก็ควรจะต้องรู้ว่าตระกูลหลี่กำลังทำอะไรอยู่ ถึงจะเขียนสาส์นได้ดีขึ้น
เหมือนเช่นเคย หลิ่วหลีเพียงแค่พยักหน้า แล้วยิ้มพลางชมเกาฝูอวี้ว่ามีเพื่อนมากมาย และไม่แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้
ทว่าเซี่ยหยวนซีกลับหลุบตาลง พลางดื่มชาอย่างเงียบๆ แล้วถึงจะเอ่ยว่า “ทางพวกเราคิดหาทางติดต่อกับคนที่สอบขุนนางผ่านรุ่นเดียวกันกับกัวหย่งกู้ ตอนนี้กำลังรอข่าวอยู่ แต่ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเกินไป ถึงแม้หาอีกหลายคนจะค่อนข้างปลอดภัย ทว่าในวงการาชการก็ห้ามเหยียบเรือหลายลำเช่นกัน หาคนนี้แล้วหาคนนั้นอีก งานสำเร็จแล้วเป็นความดีความชอบของใคร? สุดท้ายปัดภาระกัน งานที่เดิมทีสามารถทำได้ก็ทำไม่ได้แล้ว!”
เรื่องแบบนี้คนที่นั่งอยู่ต่างก็รู้
แต่เดิมเรื่องที่ไปเสฉวนหลี่เชียนก็เป็นคนยืนกราน เขาตกลงก็เพื่อฝึกฝนหลี่เชียนเช่นกัน ในเมื่อคนของหลี่เชียนบอกแบบนี้ หลี่ฉางชิงก็ย่อมไม่มีความคิดเห็นอะไร
หัวข้อสนทนาของเขาจึงเปลี่ยนไปที่เรื่องหลบร้อนที่ภูเขามังกรเมฆ “…เจ้าเลือกวันมงคลสักวัน อยู่เป็นเพื่อนท่านหญิง แล้วพาพวกฮูหยินเหอ หลี่หลิน และหลี่จวีไปด้วย ข้าจะอยู่ที่ไท่หยวน”
ไม่ว่าอย่างไรหลี่ฉางชิงก็เป็นขุนนางตำแหน่งสูงระดับสาม งานราชการและงานเลี้ยงต่างก็มาก จึงไม่สามารถไปจากกองบัญชาการได้นาน
หลี่เชียนนึกถึงเหงื่อที่หน้าผากของเจียงเซี่ยน และเขาทำได้เพียงตื่นขึ้นมาเช็ดเหงื่อกับพัดให้นางกลางดึก แล้วก็รู้สึกปวดใจ
ร่างกายของเจียงเซี่ยนอ่อนแอเกินไป ถึงแม้จะบำรุงมาตลอดหลายปีนี้ และนางก็มักจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่นางกลัวร้อนแบบนี้ ก็อธิบายสภาพร่างกายแล้ว ร่างกายแบบนี้ของนาง เกรงว่าถึงฤดูหนาวยังอาจจะกลัวหนาวอีก ปีนี้ต้องเตรียมพวกถ่านไม้ชั้นดีเพิ่มถึงจะใช้ได้
เขาขานรับอย่างจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
ดังนั้นตอนที่เขาได้ยินว่าเจียงเซี่ยนเชิญเขากลับไป จึงตกใจมาก
เจียงเซี่ยนเกิดที่จวนเจิ้นกั๋วกง เติบโตที่พระราชวังต้องห้าม นางไม่ใช่ผู้หญิงที่จะรบกวนสามีเวลาทำงานสำคัญ
หลี่เชียนยังเคยกังวลเรื่องนี้เล็กน้อยว่าเจียงเซี่ยนจะเห็นงานของเขาสำคัญมาก จนนางมีเรื่องอะไรก็อดทนไว้หมด
เขาลุกขึ้นยืนและรีบบอกหลี่ฉางชิงแล้วจะตามเด็กรับใช้ไป
ในสายตาของหลี่ฉางชิง เจียงเซี่ยนเป็นสะใภ้ที่มีเหตุผลมาก นางรีบมาหาหลี่เชียนแบบนี้ แสดงว่าเกิดเรื่องใหญ่
เขาอยากตามไปฟังมาก ทว่าติดที่ฐานะของพ่อสามี จึงทำได้เพียงสั่งหลี่เชียนว่ามีอะไรก็ส่งคนมาบอกทันที และปล่อยหลี่เชียนกลับเรือนด้านใน
แต่เจียงเซี่ยนในเวลานี้กลับได้รับข่าวดี
จั่วอี่หมิงตอบจดหมายนางแล้ว ไม่เพียงแต่เขียนจดหมายแนะนำให้หลี่เชียน ทว่ายังส่งเทียบขอพบของตนเองมาด้วย และบอกในจดหมายว่า นางแต่งงานมาอยู่ไกลถึงซานซี ต่อไปจะต้องมีเรื่องที่ไม่สะดวกมากมายอย่างแน่นอน หากเขาสามารถช่วยเหลือได้ ขอให้นางมาหาเขาได้เลย แถมยังเชิญหลี่เชียน หากเข้าเมืองหลวง ต้องบอกเขา เขาจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้หลี่เชียน
ไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องภาพวาดนั้นอย่างเด็ดขาด
จะเห็นได้ว่ามอบภาพวาดให้บัณฑิตเหล่านี้ ยังดีกว่าที่จ้าวอี้มอบเงินให้โดยตรงเสียอีก
นางยังไม่ทันพับจดหมายใหม่ให้เรียบร้อยและใส่เข้าไปในซองจดหมาย หลี่เชียนก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้ว
เขาสีหน้าเคร่งขรึม ไม่มีรอยยิ้มอย่างมีความสุขเช่นปกติ กลับมีความน่าเกรงขามแผ่ออกมาจากตัวเขาอย่างเบาบาง ทำให้เขาแลดูค่อนข้างเย็นชา เด็ดเดี่ยว และหนักแน่น
นี่ถึงจะเป็นหน้าตาที่แท้จริงของหลี่เชียนกระมัง?
เจียงเซี่ยนใจลอย พลางนึกถึงภาพตอนที่หลี่เชียนโต้คำรมกับเหล่าขุนนางในตำหนักจินหลวน
ก็เหมือนกับตอนนี้มาก
นางอดไม่ได้ที่จะเม้มปากยิ้มและยื่นจดหมายของจั่วอี่หมิงให้หลี่เชียนทันที โดยไม่รอให้เขาเอ่ยปาก
“มีข่าวดี!” นางเลิกคิ้วพลางเอ่ย เพราะความสุขที่ทอประกายอยู่ในสายตา ทำให้ดวงตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับ เหมือนอัญมณีที่หายาก “มีสิ่งนี้ กัวหย่งกู้ก็น่าจะไม่ปิดประตูใหญ่ใส่เจ้าแล้ว”
แต่หลี่เชียนกลับสับสนเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตนเองเหมือนแมลงเม่าที่กระโจนเข้าใส่กองไฟ และเจียงเซี่ยนก็เป็นเปลวไฟในใจเขา เสฉวนกับกัวหย่งกู้พลันกลายเป็นอยู่ไกลจากเขามากในทันใด เขาอยากแต่จะกระโจนเข้าไปในกองไฟนั้น ไปเสวยสุขกับความอบอุ่นและความสว่างของเปลวไฟ
และการกระทำของเขาก็เร็วมากกว่าสมองของเขา เขาเดินไปตามสัญชาตญาณ และกอดเจียงเซี่ยนที่นั่งอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างอย่างอ่อนโยน แล้วจูบบนศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา ถึงจะเอ่ยว่า “เจ้าเรียกข้ามาเพราะเรื่องนี้หรือ?”
แอบโล่งอก
เจียงเซี่ยนรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่ผ่อนคลายลงของเขา ก็เข้าใจความคิดของหลี่เชียนในชั่วพริบตา
ขอบตาของนางชื้นเล็กน้อย
หลี่เชียนเห็นความรู้สึกของนางสำคัญมากกว่าจดหมายแนะนำของจั่วอี่หมิง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสได้ว่าตนเองสำคัญมากกว่าความทะเยอทะยานของหลี่เชียน
ถึงแม้จะเป็นเพียงเรื่องที่เล็กมากๆ และไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ทว่าหลี่เชียนเลือกนางแล้ว เช่นนี้จะเข้าใจได้หรือไม่ว่า ชาติก่อนนางกับหลี่เชียนรู้จักกันช้าเกินไป…
เจียงเซี่ยนกอดเอวของหลี่เชียนแน่น และฝังหน้าลงไปในอ้อมกอดของเขา
กลิ่นอันอบอุ่นของหลี่เชียนวนเวียนอยู่ตรงปลายจมูก
ทำให้นางสบายใจและรู้สึกสงบ
เป็นครั้งแรกที่เจียงเซี่ยนตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ต่อให้ชาติก่อนหลี่เชียนทำกับนางเกินไปมากขนาดนั้น นางก็ยังชอบหลี่เชียนอยู่ดี
ชอบมาก
ชอบจนตีตราเขาไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจของนางอย่างลึกๆ ตนเองยอมถูกโชคชะตาทรมาน แต่จะไม่ยอมเห็นเขาถูกโชคชะตาทำร้าย
นางกอดหลี่เชียนแน่นขึ้น
ทว่าหลี่เชียนกลับกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที
เขามั่นใจมากว่าเจียงเซี่ยนไม่ได้เชิญเขากลับมาเพราะจดหมายแนะนำของจั่วอี่หมิง แต่มีเรื่องเกิดขึ้นแล้ว
จดหมายแนะนำของจั่วอี่หมิง เพียงแค่มาได้ประจวบเหมาะพอดีเท่านั้น
หลี่เชียนมองเจียงเซี่ยนที่แทบจะมุดเข้าไปในอ้อมกอดของตนเอง และอดที่จะเดาไม่ได้ หรือว่าใครในตระกูลหลี่กลั่นแกล้งนางอย่างนั้นหรือ?
เขาอดไม่ได้ที่จะลูบผมสีดำของเจียงเซี่ยนเบาๆ และเอ่ยเสียงเบาว่า “มีเรื่องจะคุยกับข้าไม่ใช่หรือ? ทำไมพอเจอข้าก็ไม่มีเรื่องจะคุยแล้ว?”
น้ำเสียงที่เหมือนปลอบเด็กนั้นทำให้เจียงเซี่ยนหัวเราะออกมา
เจ้าคนสารเลวนี่มักจะเป็นแบบนี้เสมอ ปลอบเหมือนนางเป็นเด็ก…
เมื่อก่อน...นางรู้สึกว่าเขากำลังทำกับนางอย่างขอไปที
ทว่าเวลานี้…นางรู้สึกว่าถูกประคบประหงม
สถานการณ์ไม่เหมือนกันแล้ว ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกันตามไปด้วยหรือเปล่า!
นางอดที่จะเงยหน้าไม่ได้ และมองเขาด้วยนัยน์ตาแฝงความเจ้าเล่ห์ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าเชิญเจ้ากลับมาทำไม?”
Comments