ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]บทที่ 443: ตุลาการนรกที่แท้จริง
บทที่ 443: ตุลาการนรกที่แท้จริง
ฉินเย่เดินตามอาร์ทิสไปตามทางเดิน วนเวียนอยู่รอบๆนางราวกับแมลงวันที่ไม่ย่อท้อ “เจ้ากำลังจะไปที่ใด? มาเร็ว สู้กันสักตั้ง… ตอนนี้ปฏิกิริยาตอบสนองของข้าเยี่ยมยอดมาก... ข้าแทบจะสามารถพังทลายผืนดินได้ด้วยฝ่ามือเดียว เจ้าอาจจะไม่สามารถลุกขึ้นได้สามวันสามคืนเลยด้วยซ้ำ…”
แต่อาร์ทิสกลับเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจกับสิ่งที่ฉินเย่เอ่ยออกมาเลยสักนิด
ฉินเย่ตะโกน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคิดว่ามันแตกต่างไปจากนี้มากแค่ไหน? อย่างน้อยเจ้าก็ช่วยแก้ความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ได้หรือ? จะว่าไป เจ้าไม่ตระหนักเลยหรือว่าข้าเพิ่งได้ก่อตั้งเมืองแห่งใหม่ขึ้นมา? เหตุใดจึงไม่มอบความดีความชอบเรื่องนี้ให้กับข้าสักนิดเล่า? เดียวก่อน–… เจ้าช่วยเดินช้าๆหน่อยได้หรือไม่?! หรือหรือเปล่าว่ามันรู้สึกอย่างไรกับการที่มีพลังแต่กลับไม่สามารถต่อต้านปีศาจร้ายเช่นเจ้าได้? นี่มันแทนจะทนไม่ไหวแล้วนะ…”
“เช่นนั้นก็อดทนต่อไป” อาร์ทิสตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“…นี่ข้ากำลังจะระเบิดแล้วนะ! เจ้าควรจะขอบคุณข้าด้วยซ้ำที่ไม่มัดร่างของเจ้าเอาไว้แล้วเฆี่ยน–… ขออภัย ที่ข้าต้องการจะบอกก็คือชีวิตของข้าดูเหมือนว่าจะขาดอะไรไปเมื่อปราศจากการต่อสู้หรือแลกเปลี่ยนคำชี้แนะกับเจ้า…”
แอ๊ดดดดด… ประตูไม้บนใหญ่ถูกเปิดออก ฉินเย่ยอมรับในที่สุดว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางยอมรับคำขอในการต่อสู้ของตน ด้วยเหตุนี้ พร้อมกับการถอนหายใจยาวเหยียด เขาเดินตามนางออกไป
ภายในใจนั้นต้องการ...แต่ร่างกายนั้นอ่อนแอ
สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก แม้แต่ความรู้สึกถูกคุกคามและหวาดกลัวที่มีต่ออาร์ทิสก็ลดลงอย่างมาก ดังนั้นนางจะเดินหนีไปโดยไม่เอ่ยอะไรเลยได้อย่างไร? นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
หลังจากทำงานอย่างหนักมาเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน เขาก็เตรียมตัวที่จะระบายสิ่งที่สะสมมาทั้งหมดลงกับการต่อสู้กับอาร์ทิส แต่ตอนนี้ เขากลับไม่มีที่ให้ระบายเลยสักนิด
ไม่… เขาจะต้องหาที่ระบายให้ได้… ฉินเย่มองไปรอบๆด้วยแววตาชั่วร้าย และเขาก็มองเห็นหวังหนึ่งหางยืนอยู่ที่นอกประตู
หวังเฉิงห่าวถูกพาตัวมาที่นี่พร้อมกับคนอื่นๆโดยใช้วิชาเคลื่อนย้ายจักรวาล มันมีหลายๆอย่างที่ฉินเย่ต้องทำในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา รวมถึงการจัดการกับทหารวิญญาณที่ยอมจำนนต่อยมโลก นี่คือเรื่องที่จะปล่อยให้เป็นฝีมือของบุคคลภายนอกไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นฉินเย่จึงต้องเรียกกำลังเสริมมาเพื่อช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้
“ท่านพี่ฉิน” หวังเฉิงห่าวในเวลานี้สวมแว่นตาคู่หนึ่ง และชุดสูทที่ทำให้เขาดูเท่ห์สุดๆ
“จากสัญญาณที่เราได้รับมาจากพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา วิญญาณส่วนใหญ่เริ่มออกมาจากบ้านของตนและมารวมตัวกันที่ลานกว้างที่จัตุรัสกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เหลือเวลาอยู่อีก 40 นาทีก่อนที่การถ่ายทอดสดจะเริ่มต้นขึ้น พี่จะให้พวกเราเริ่มเตรียมการเลยหรือไม่?”
ฉินเย่ไม่สนใจคำถามของอีกฝ่าย กลับกัน เขาเดินเข้าไปหาหวังหนึ่งหางก่อนจะเอ่ยว่า “แตะมาที่ไหล่ข้า”
เสาอากาศบนศีรษะของหวังหนึ่งหางชี้ขึ้นทันที สั่นอย่างรุนแรงราวกับเครื่องเตือนภัย
“ทำเร็วๆ มันจะมีอะไรนักหนากัน?” ฉินเย่หัวเราะเบาๆขณะที่เขาจับมือของอีกฝ่าย จากนั้น ด้วยความหวาดกลัวของเด็กหนุ่ม ฉินเย่ก็บังคับให้หวังเฉิงห่าววางมือบนไหล่ตน
และทันทีที่เขาทำเช่นนั้น สีหน้าของฉินเย่ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและจริงจัง “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงทำเช่นนี้?!”
ตุบ! เสียงอู้อี้ดังขึ้น เสี้ยววินาทีต่อมา พร้อมกับสีหน้าเหลือเชื่อ หวังหนึ่งหางพบว่าตนเองกระเด็นออกไปหลายสิบเมตรและกระแทกเข้ากับประตูไม้ด้านหลังเสียดัง
อาร์ทิสเอนหลังกำแพงที่อยู่ด้านข้างและอ้าปากหาวเบาๆ
ร่างของฉินเย่ชะงักค้างอยู่ในท่าเตะ หลังจากนั้น โซ่จำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกจากแขนเสื้อของเขาและตรงไปที่ร่างของหวังเฉิงห่าวราวกับกระแสน้ำที่รุนแรง
โซ่เหล่านี้แตกต่างไปจากโซ่ตรวนวิญญาณที่ฉินเย่เคยใช้ก่อนหน้านี้ในตอนที่เขาอยู่ขั้นยมเทพ ประการแรก จำนวนสายโซ่ที่ใช้เพิ่มขึ้นมาก ประการที่สอง สายโซ่เงินแต่ละเส้นจะมีตะขอสีแดงเข้มอยู่ที่ส่วนปลายของมัน แทบจะเหมือนกับว่าพวกมันคือกรงเล็บของปีศาจที่พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของยมโลก การพุ่งออกมาของพวกมันมาพร้อมกับเสียงร้องอันโหยหวนของวิญญาณที่ดังก้องไปทั่วทั้งอาคาร
เคร้ง เคร้ง! พวกมันพุ่งออกไปในทุกทิศทาง ราวกับใยแมงมุมขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกัน ดวงตาของฉินเย่กลายเป็นสีดำสนิท
ตอนนี้เขามองเห็นหวังเฉิงห่าวตัวสั่นเทาอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ในสายตาของฉินเย่ ข้อมูลจำนวนมากปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของหวังเฉิงห่าวทันที
“ชื่อ : หวัง เฉิวห่าว
เพศ : ชาย
มรณะ : X วัน X เดือน 20XX X นาฬิกา X นาที [1]
อายุ : 18+
สาเหตุการตาย : ผีสิง
อาชีพ : ยมเทพ
ความสามารถพิเศษ : หน้าตาดี”
ฉินเย่พูดอะไรไม่ออก
เขาสามารถยอมรับรายละเอียดก่อนหน้านี้ของหวังเฉิงห่าวได้ แต่…ไม่ใช่ว่าข้อมูลส่วนหลังมันมีบางอย่างผิดปกติไปหรอกหรือ?
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเลยสำหรับตอนนี้ เขาอ่านเนื้อหามากมายที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของหวังเฉิงห่าวด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก ตลอดเดือนที่ผ่านมาก เขาค่อนข้างประหลาดใจมากที่ตัวเองสามารถรับรู้ถึงข้อมูลของวิญญารที่อยู่รอบตัวของตนเองได้ตามที่ใจต้องการ รวมถึงวันตาย อาชีพ และสาเหตุการตาย
เขาอยากจะถามอาร์ทิสเกี่ยวกับความสามารถใหม่นี้มาโดยตลอด แต่ว่ายังไม่มีเวลา และที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิมก็คือเขาถูกขัดขวางโดยบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญกว่าขณะที่เขากำลังจะถามคำถามออกไป
แต่ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็มีเวลาเสียที ฉินเย่หันไปจ้องอาร์ทิส
“ชื่อ : อรากษส
เพศ : หญิง
มรณะ : 24 มีนาคม 1542 13:23 น.
อายุ : 572
สาเหตุการตาย : ถูกวิญญาณร้ายสิงสู่ เกิดใหม่ในฐานะของอรากษสหลังจากเสียชีวิต
อาชีพ : ตุลาการนรกในนาม
ความสามารถพิเศษ: LoL. ตำแหน่ง: จังเกอร์”
ไม่มีทาง… ดวงตา ช่วยมองเห็นข้อมูลที่เป็นจริงหน่อยได้ไหม?!!
สิ่งนี้มันเรียกว่าความสามารถพิเศษได้อย่างไร?! มันเกี่ยวข้องอะไรกับอาชีพของนาง?
“ข้ากำลังตั้งใจที่จะได้ขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด เข้าใจหรือไม่?” อาร์ทิสขมวดคิ้ว “เอาล่ะ ได้เวลาหลับตาแล้ว”
“แล้วนั่นหมายความว่าอย่างไรกัน?”
อาร์ทิสไม่ได้ตอบออกไปโดยตรง นางเพียงพูดว่า “หากพูดกันตามตรง ท่านสามารถใช้มันกับตัวเองได้”
มันสามารถทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรือ?
ฉินเย่แน่นิ่งไป เขาจะต้องทำอย่างไร? แต่ในขณะที่เขาเริ่มคิด ตัวอักษรสีแดงก็ปรากฏขึ้นให้เห็นอีกครั้ง
“ชื่อ: ฉินเย่ (ชื่อเล่น – โก่วต้าน)
เพศ : ชาย
เกิด: 1 ตุลาคม 1938
มรณะ: –
อายุ: …”
เขามองข้ามส่วนที่ไม่สำคัญจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่รายละเอียดเฉพาะบางอย่าง
“อาชีพ: ตุลาการนรกที่แท้จริง
ความสามารถพิเศษ: น่ารังเกียจ”
… … … ฉินเย่กลอกตาและละสายตาจากความสามารถพิเศษของตัวเอง – มันจะต้องมีอะไรผิดพลาดเกี่ยวกับส่วนนี้แน่ๆ…
“เหตุใดข้าถึงเป็นตุลาการนรกที่แท้จริง ในขณะที่ท่านเป็นตุลาการนรกในนามกัน?”
อาร์ทิสประสานมือเป็นสัญลักษณ์มากมาย และนาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง นางมองไปที่มันก่อนที่จะเก็บมันไปอย่างรวดเร็ว จากนั้น นางจึงหันไปหาฉินเย่ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมกว่าเดิม “ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ท่านถึงไม่สามารถสู้ข้าได้?”
“เจ้าพูดบ้าอะไรกัน? ข้าเพียงแค่ปล่อยให้เจ้าชนะเพราะข้าใจดีก็เท่านั้น เจ้าไม่รู้หรือว่าเราควรจะแสดงความเคารพผู้ที่อาวุโสกว่า?” ฉินเย่ตอบกลับอย่างไม่พอใจนัก นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน? เจ้าควรระวังคำพูดของตัวเองมากกว่านี้หากเจ้ายังอยากที่จะได้รับตำแหน่งสูงๆในยมโลก
อาร์ทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ “ข้าสามารถเดิมพันได้เลยว่าความสามารถพิเศษของท่านคือ ‘การทำตัวน่ารังเกียจ’!”
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสนทนากับคนที่รู้จักเขาดีเกินไป…ฉินเย่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง “รีบเข้าประเด็นสักที!”
“ข้าจะเข้าประเด็นได้อย่างไรหากท่านยังคงเอ่ยแทรกข้าแบบนี้?!” อาร์ทิสส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเหยียดหยามก่อนจะหันหน้าหนีขณะที่อธิายต่อ “ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ของความสามารถของเราอยู่ที่ทักษะวิชาที่เราใช้ รองลงมาก็คือพลังหยิน”
“หากอธิบายโดยสรุปย่อก็คือ ยมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลาย และกฏของบังคับของมันก็ไม่ได้ถูกบังคับใช้อีกต่อไป สาเหตุเดียวที่ข้ายังสามารถเข้าถึงทักษะวิชาของยมโลกแห่งเก่าได้ก็เพราะว่าข้านั้นมีตราประทับของยมโลกแห่งเก่า แต่ท่าน ซึ่งเป็นยมทูตมือใหม่ ท่านไม่มีทางเข้าถึงพลังอำนาจของยมโลกแห่งเก่าได้ ซึ่งนั่นก็นำไปสู่ประเด็นที่สอง ซึ่งก็คือการใช้พลังหยินของท่าน…ถูกจำกัดมาโดยตลอด”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“นั่นคือความแตกต่างระหว่างยมทูตที่แท้จริงและยมทูตในนาม” อาร์ทิสอธิบายอย่างละเอียด “ท่านสามารถนึกเปรียบเทียบกับการปกครองของราชสำนักในอดีต ในตอนที่มีทั้งข้าราชการตัวจริงและพวกที่อยู่ตำแหน่งสำรองก็ได้ เมื่อในยมโลกมีจำนวนเจ้าหน้าที่มากเกินไป พวกที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการก็จะนับว่าเป็นยมทูตในนาม อีกความหมายหนึ่งก็คือ ต่อให้ระดับการบ่มเพราะของท่านจะแข็งแกร่งมากพอ ท่านก็จะไม่ถูกนับว่าเป็นขั้นตุลาการนรกจนกว่าท่านจะได้ปกครองมณฑลทั้งมณฑล และพลังหยินที่ท่านสามารถใช้ได้ก็จะถูกจำกัดจนกว่าเงื่อนไขทุกอย่างจะตรงตามที่กำหนด”
ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทวนสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ “หรือก็คือ ในตอนนี้ที่ข้าได้ปกครองมณฑลทั้งมณฑลแล้ว ข้าจึงได้กลายเป็นตุลาการนรกที่แท้จริง? และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้ข้าสามารถเข้าถึง…พลังอำนาจนี้ได้ในที่สุด?”
อาร์ทิสพยักหน้า “ท่านจะพูดอย่างนั้นก็ได้ หรือว่าท่านจะเถียงอีกว่าทั้งมณฑลซานตงมีนครอยู่ทั้งสิ้น 17 นครและเมืองใหญ่อีกสามเมือง ในขณะที่พวกเราเพียงแค่ได้ครอบครองหนึ่งในนครเหล่านั้นเท่านั้น? ไม่ นั่นไม่ใช่วิธีในการคำนวณมัน”
“สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ…ท่านสามารถรวบรวมวิญญาณของทั้งมณฑลได้หรือไม่”
ดวงตาของฉินเย่วาววาบขึ้นในขณะที่เขาเริ่มลูบคางของตัวเอง “ข้าเข้าใจแล้ว การต่อสู้ที่นครชฺวีฟู่ได้รวมไปถึงจำนวนวิญญาณกว่าล้านตนที่ได้อาศัยอยู่ที่มณฑลซานตงมาตลอดระยะเวลาร้อยปี นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงได้รับตำแหน่งตุลาการนรกที่แท้จริง”
“นั่นนับว่าเป็นแง่มุมหนึ่งของมัน อีกแง่มุมหนึ่งก็คือการที่สวรรค์ได้ตัดสินว่าพลังหยินในส่วนอื่นๆของมณฑลซานตงไม่สามารถเทียบได้กับพลังหยินที่รวมตัวกันอยู่ที่นครชฺวีฟู่เลยแม้แต่นิดเดียว และด้วยตอนนี้ที่นครชฺวีฟู่ตกอยู่ในมือของเรา ท่านก็สมควรที่จะได้เป็นตุลาการนรกที่ปกครองทั้งมณฑลโดยไม่จำเป็นต้องยึดครองพื้นที่อื่นๆมา”
นางถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “ในอดีต ยมโลกเคยมีตุลาการนรก 1,200 ตน ซึ่งสองในสามนั้นเป็นเพียงตัวสำรองหรือตุลาการนรกในนามเท่านั้น ความแตกต่างระหว่างตุลาการนรกที่แท้จริงและตุลาการนรกในนามนั้นมีมากมายมหาศาล ข้ามั่นใจว่าท่านสามารถเข้าใจถึงเหตุผลของมันได้ด้วยตัวเอง เพราะอย่างไรแล้ว การปกครองวิญญาณทั้งมณฑลก็เป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ นี่ยังไม่นับรวมถึงหน้าที่อื่นๆในราชสำนัก สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ตุลาการนรกในนามไม่สามารถจัดการได้”
อย่างนี้นี่เอง
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆขณะที่ก้มมองดูมือทั้งสองข้างของตน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร่างกายของเขาถึงรู้สึกแตกต่างออกไปจากเดิมในตอนที่ต้องรับมือกับการโจมตีอันรุนแรงของหลายจวิ่นเฉินในตอนนั้น นั่นคือตอนที่สวรรค์ได้ตัดสินว่าเขาคือผู้ที่ได้รับชัยชนะอย่างนั้นหรือ? นั่นคือวินาทีที่เขาได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นตุลาการนรกที่แท้จริงอย่างเป็นทางการอย่างนั้นหรือ?
เจ้าหน้าที่ที่แท้จริงและในนาม… พวกเขาเปรียบเสมือนกับประธานและรองประธานขององค์กร… ไม่ ตุลาการนรกในนามไม่สามารถแม้แต่จะเทียบกับตุลาการนรกที่แท้จริงได้ด้วยซ้ำ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาร์ทิสถึงเอ่ยยอมรับความพ่ายแพ้ก่อนที่จะลงแรงสู้เสียอีก
นี่คือ… มาตรฐานทางอำนาจของเขาอย่างนั้นหรือ?
“ข้าควรจะเรียกมันว่าอะไร?” ฉินเย่ชี้ไปตาของตัวเอง จากนั้นจึงชี้ไปที่สายโซ่ซึ่งยังแพร่กระจายออกไปราวกับใยแมงมุม
อาร์ทิสเรียกนาฬิกาทรายออกมาอีกรอบหนึ่งและมองไปที่มัน “เรายังเหลือเวลาอีกประมาณ 20 นาที มันน่าจะมากพอที่จะทำให้ทดลองและเรียนรู้ทักษะใหม่เหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ท่านรู้หรือไม่ว่ามันไม่มีผู้ใดมาสอนสิ่งเหล่านี้กับข้าเลยในตอนนั้น? ท่านควรนับว่าตัวเองโชคดีมากนะ”
นางเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะอธิบายต่อ “ตุลาการนรกที่แท้จริงจะได้รับความสามารถห้าอย่าง อย่างแรกก็คือดวงตา”
นางสูดหายใจเข้าช้าๆ “มันเรียกว่า…ดวงตาตุลาการ”
“การมองเพียงครั้งเดียวสามารถทำให้ท่านมองเห็นถึงความเป็นความตายของคนๆนั้นได้ ไม่มีวิญญาณตนใดที่สามารถปกปิดข้อมูลของพวกเขาจากท่าน นอกจากนี้ ตราบใดที่วิญญาณไม่มีวิธีการปกปิดตัวตน หรือร่างวิญญาณที่พิเศษไปกว่าวิญญาณทั่วไป ท่านก็จะสามารถรับรู้รายละเอียดของวิญญาณและภูตผีภายในรัศมี 1,000 ไมล์ได้ ยิ่งกว่านั้น…”
นางหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “มันสามารถใช้ได้แม้กระทั่งในแดนมนุษย์”
นั่นมันเจ๋งไปเลย!
ฉินเย่กระพริบตาปริบ นี่หมายความว่า…ตราบใดที่เขาจับจ้องไปที่เป้าหมาย มันก็ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างนั้นหรือ?
“ท่านคิดจริงๆหรือว่ามันจะทรงพลังน้อยกว่านี้?” อาร์ทิสเอ่ยเย้ย “โอ้ ชายผู้น่าสงสาร... นี่ท่านคิดว่าตำแหน่งตุลาการนรกนั้นมีเพียงเพื่อโอ้อวดอย่างนั้นหรือ? อ่า…ดูสิ… นี่ท่านรู้บ้างหรือไม่ว่าขั้นตุลาการนรกคือตัวตนที่อยู่ใกล้กับวิญญาณระดับสูงมากที่สุด? [2] พวกเขาคือผู้ที่ปกครองทั้งมณฑล! เราจะแต่งตั้งพวกเขาขึ้นมาทำไมหากพวกเขาไม่สามารถจับกุมวิญญาณร้ายได้แม้แต่ตนเดียว?”
นางชี้ไปยังสายโซ่ที่พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของฉินเย่ “โซ่เหล่านี้เรียกว่าสายลากสวรรค์ ระยะทางสูงสุดของมันครอบคลุมถึง 200 กิโลเมตร น่ากลัวใช่หรือไม่? แต่นั่นยังไม่หมด สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ—…”
นางเม้มปาก “ท่านรู้หรือไม่ว่าใยแมงมุมคืออะไร?”
โดยไม่เว้นจังหวะ นางเอ่ยต่อ “เมื่อโซ่เหล่านี้ถูกใช้ มันจะทำหน้าที่เช่นเดียวกับใยแมงมุม ตราบใดที่ท่านมองเห็นเป้าหมาย ท่านก็จะสามารถลากมันกลับมาได้ และหากเป้าหมายพยายามที่จะหลบหนี ท่านก็สามารถรับรู้ถึงทุกกลายเคลื่อนไหวได้จากจุดกึ่งกลางของใยแมงมุม รวมถึงรายละเอียดของทิศทางที่เป้าหมายหลบหนีอีกด้วย…”
ทันใดนั้นเอง สายลากสวรรค์ก็สั่นระริก
อาร์ทิสชะงักไปทันที และขั้นตุลาการนรกทั้งสองก็พบว่าสายโซ่กระทบกันอย่างดุเดือดขณะที่มันค่อยๆขยับไปทางทิศตะวันออกราวกับว่ากระแสน้ำ
โอ้ เพื่อนร่วมชั้นผู้น่าสงสารของเขา หวังหนึ่งหาง… ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนและกระดิกนิ้ว ทันใดนั้น หวังหนึ่งหางก็กรีดร้องออกมาเสียงดังขณะที่ถูกลากกลับมาจากจุดที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ขณะที่โซ่กระตุก เด็กหนุ่มก็ถูกลากกลับมาอยู่ตรงหน้าของฉินเย่ภายในชั่วพริบตา!
ตะขอสีแดงที่ส่วนปลายของโซ่ดูราวกับมีชีวิตเป็นของมันเอง ลอยอยู่รอบๆหวังหนึ่งหางอย่างน่ากลัว ราวกับว่าพวกมันคืออสรพิษ สีหน้าของหวังเฉิงห่าวซีดเผือด และร่างสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ฉินเย่และอาร์ทิสสบตากันอย่างรู้ความหมาย
อ่า… ไม่ใช่ว่านี่คือภาพที่สมบูรณ์แบบสำหรับพวก SM หรอกหรือ? พวกเขามีแส้แล้ว…และเทียนก็อยู่ไม่ห่างออกไปเช่นกัน…
[1] ทางผู้แปลไม่แน่ใจนักว่าทำไมมันถึงขึ้นเป็น X บางทีอาจจะเป็นข้อบังคับเกี่ยวกัข้อมูลส่วนตัว
[2] หมายถึงขั้นฝู่จวินและพระยม
Comments