[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง 80 ไฟล์ 9 : ตัวตนของยามาโนเกะ [6.2]

Now you are reading [นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง Chapter 80 ไฟล์ 9 : ตัวตนของยามาโนเกะ [6.2] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉันโดนยามาโนเกะสิงจนได้ อย่างน้อย นั่นก็คือสิ่งที่ฉันอยากจะบอกโทริโกะนะ แต่ปากของฉันมันก็เอาแต่พูดอยู่ได้ว่า “เข้ามาแล้ว” ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นแหละ

ในหัวของฉันมันเบลอไปหมดยังกับว่าดื่มเข้าไปเยอะเกิน เหมือนภาพที่ฉันมองเห็นจะแคบลงไปเรื่อยๆ เหมือนตัวตนของฉันค่อยๆ หายไป เริ่มจากขอบสายตาก่อนเลย

แล้วในเวลาเดียวกันนั่น ก็มีความรู้สึกใหม่ตัดแทรกเข้ามา ตัวของโทริโกะที่ฮยู่ตรงหน้าของฉันเริ่มจะบิดเบี้ยวไป สมดุลของแขนขาของเธอก็เริ่มดูจะผิดเพี้ยนไป ลำตัวของเธอบิดไปมา แล้วฉันก็เริ่มจะมองไม่ออกแล้วว่าบนหน้าของเธอมีอะไรอยู่บ้าง พอก้มลงมามอง แขนของของฉันเองก็บิดไปจนเละเทะไม่ต่างกัน แถมมันยิ่งมองยากขึ้นทุกทีๆ แล้วว่าสิ่งที่ฉันมองเห็นอยู่นี่มันใช้อวัยวะของฉันแน่หรือเปล่า

อวัยวะส่วนที่ดูเหมือนมือ ตรงปลายมันแยกออก แล้วก็ตกกระแทกกับพื้นเสียงดัง พอเห็นร่างกายของตัวเองแยกออกเป็นชิ้นๆ แบบนี้ ฉันก็กรี๊ดออกมาเลย

 

“เข้ามาแล้วเข้ามาแล้วเข้ามาแล้วเข้ามาแล้วเข้ามาแล้ว!”
“โซราโอะ! เป็นอะไรไปน่ะ!?”

 

ของใหญ่ๆ นุ่มๆ ไหวๆ สีทองเข้ามาโอบรอบฉัน

 

“ตั้งสติไว้ก่อนสิ! โซราโอะ!”

 

เสียงนั่น กลิ่นนั่น กระชากสติของฉันที่เกือบจะจมลงไปในความบ้าคลั่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำได้อีกรอบนึง ฉันเข้าไปเกาะตัวของโทริโกะเอาไว้ แล้วก็พูดออกมาอย่างสุดแรง

 

“มือฉัน มือฉันหลุดไป”
“มือ? เปล่านะ เธอแค่ทำปืนหล่นเท่านั้นเอง”

 

พอฉันมองดูดีๆ ก็เห็นว่าที่หล่นลงกับพื้นนั่นน่ะไม่ใช่มือของฉันซักหน่อย เป็น M4 กับไฟฉายต่างหาก

 

“เป็นอะไรมั้ย? ที่เธอว่า ‘เข้ามาแล้ว’ นี่หมายความว่ายังไงน่ะ?”
“ฉ- ฉันโดนสิง―ยามาโนเกะสิง!”

 

ตอนที่ฉันเดินฝ่าหนองน้ำไปพร้อมกับคุณโคซากุระ ตอนนั้น ฉันก็เห็นตัวเองจากมุมมองของคุเนะคุเนะด้วย ในทำนองเดียวกันนั่น ครั้งนี้ก็เป็นมุมมองของยามาโนเกะที่แทรกเข้ามาในการรับรู้ของฉันเอง แบบนี้น่ะมันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนนั้นอีก ยามาโนเกะมันอยู่ในตัวฉันเลย

ใช้ตาขวาของฉันจ้องเอาไว้ แล้วก็เอาปืนยิงใส่มันซะ นั่นก็คือวิธีการที่พวกเราจัดการสัตว์ประหลาดในโลกเบื้องหลังมาตลอด ถ้าเกิดมันเข้ามาอยู่ในตัวฉันแบบนี้ พวกเราก็ทำแบบนั้นไม่ได้แล้วสิ

 

“โอเค งั้นเราจะทำยังไงกันดี?”

 

ฉันคิดถึงเรื่องคำถามของโทริโกะ แล้วฉันจะมองที่ยามาโนเกะที่อยู่ในตัวฉันยังไงล่ะ… มองดูที่ตัวเอง…

 

“ข- ขึ้น”
“ฮะ?”
“กลับไป ขึ้น กลับไป”

 

ฉัยพยายามจะหันกลับไปที่หอชมวิว แต่เท้าของฉันมันไว้ใจไม่ได้เลย จนตัวเซเกือบจะล้มอยู่แล้ว

 

“อยากให้ฉันพาเธอกลับขึ้นไปบนนั้นสินะ? เดี๋ยวฉันส่งปืนให้เธอแล้วกัน ถือไหวมั้ย?”

 

ฉันพยายามจะพยักหน้าตอบ แต่ฉันไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองทำสำเร็จหรือเปล่า

ระหว่างที่ฉันโดนพาตัวไป ความรู้สึกของฉันก็กลับมาที่ร่างกายของฉันแล้ว ถึงจะมาแบบกะท่อนกะแท่นก็เถอะ โทริโกะให้ฉันโอบบ่า แล้วก็กึ่งๆ ลากฉันเข้าไปในตัวตึก

พวกเราเดินลอดประตูทางเข้ามา แล้วก็หยุดกึก

ภาพข้างในมันต้องเปลี่ยนไปแน่เลย ตรงที่เคยเป็นพื้นคอนกรีตเปล่าๆ ตอนนี้ก็กลายเป็นพื้นเสื่อทาทามิไปแล้ว กำแพงรอบๆ ก็กลายเป็นประตูโชจิ อีกฝั่งนึงของขื่อประตูที่หรูหรา มันก็ดูเหมือนจะมีห้องกั้นแยกอื่นๆ อีก ที่ตรงกลางตึกสไตล์ญี่ปุ่น มีอะไรซักอย่างแปลกๆ ตั้งอยู่โดยมีเสาสีแดงสดอยู่ข้างหลัง ดูเหมือนงานศิลปะที่เป็นกองของป้ายบรรพบุรุษ เชิงเทียน กระดิ่ง แล้วก็ของอื่นๆ ที่อยู่บนแท่นบูชาทางศาสนาพุทธสูงประมาณ 3 เมตร แล้วก็มีปลาที่สร้างจากไม้เก่าๆ ชิ้นนึงวางไว้บนสุดของกองนั่นด้วย

 

“พวกโยมไปทำอะไรมาเนี่ย!?”

 

จู่ๆ กองนั่นก็ตะโกนออกมา

โทริโกะเองก็พึมพำด้วยน้ำเสียงงุนงงไปหมด

 

“พ- พระเหรอ…?”

 

โทริโกะเห็นเป็นแบบนั้นงั้นเหรอ?

ฉันเริ่มจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้วล่ะ

ในเรื่องราวของยามาโนเกะ คนพ่อได้รีบเข้าไปในวัดเพื่อช่วยลูกสาวของเขาที่ถูกสิง แล้วคำแรกที่เจ้าอาวาสพูดออกมาก็คือ ‘พวกโยมไปทำอะไรมาเนี่ย!?’ด้วย

ผู้เล่าเรื่องที่ไปเจอกับเรื่องน่ากลัวเข้าก็ถูกหลวงปู่ด่าซะยกใหญ่เลย―ถ้าไม่ใช่พระสงฆ์ของพุทธก็คงเป็นพระชินโตนั่นแหละ―หลวงปู่คนนั้นที่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ก็บอกว่า ‘โยมทำเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้เสียแล้วล่ะ’ ทำให้พ่อเขากลัวยิ่งเข้าไปอีก เป็นเรื่องผีตามมาตรฐานเลยนะเนี่ย ดูท่าโทริโกะจะเห็นเป็นพระสินะ แต่ทั้งหมดที่ฉันเห็นตอนนี้เนี่ย ก็เป็นแค่กองขยะเท่านั้นเองนะ ฉันไม่ได้เพ่งดูที่ตาขวาด้วย แล้วทำไมถึงเห็นเป็นแบบนี้ล่ะเนี่ย?

 

อ้อ เข้าใจละ

ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ฉันก็ไม่เห็นมนุษย์แล้วรับรู้ว่านั่นคือมนุษย์เลยนี่นา เจ้ายามาโนเกะที่สิงอยู่ในตัวฉันไปป่วนความสามารถในสมองของฉันในการรับรู้ถึงร่างกายของมนุษย์ ตรงข้ามกับเจ้าพวกตัวประหลาดที่สถานีคิซารากิเลยที่ใช้ปรากฏการณ์ซิมมูลาครา ทำให้คนเข้าใจผิดว่าลวดลายบนตัวของมันเป็นหน้าของมนุษย์

ฉันมั่นใจเลยว่ามันก็เหมือนระบบปฏิบัติการของมนุษย์ที่มีกลไกการรับรู้ใบหน้าอยู่ มันต้องมาพร้อมกับกลไกการรับรู้ร่างกายของมนุษย์แน่นอน และยามาโนเกะก็เข้าไปยุ่งกับตรงนั้นนั่นแหละ เพราะแบบนั้น สิ่งที่ดูบิดเบี้ยวไปก็เลยไม่ใช่แค่ร่างกายของฉันเอง แต่รวมถึงร่างกายของโทริโกะด้วย

แล้วนั่นก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมในสายตาฉัน ‘เจ้าอาวาส’ คนนี้ถึงได้ดูไม่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์เลยซักนิดเดียว ฉันเห็นเป็นแค่งานศิลปะร่วมสมัยอะไรซักอย่างเท่านั้นเอง

ฉันเพ่งสมาธิไปที่สัมผัสตรงฝ่ามือของตัวเอง ดูเหมือนฉันจะยังกำด้ามจับของ M4 อยู่นะ มันรู้สึกหนักมากขนาดที่แค่พยายามใช้มือข้างเดียวยกปืนขึ้นมาก็ทำให้ฉันเซล้มได้แล้ว ฉันพยายามยกปากกระบอกปืนขึ้นมาจนชี้ตรงไปที่เจ้ากองของนั่นจนได้ แล้วฉันก็กดลั่นไกออกไป

ปากกระบอกปืนสะบัดไปพร้อมกับที่สาดกระสุนออกมารัวๆ กองของอันนั้นก็โดนห่ากระสุนซัดเข้าใส่จนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะกระเด็นกระดานออกไปทั่วเสื่อทาทามิพร้อมกับเสียงที่ดังสนั่น

 

“…นั่นไม่ใช่มนุษย์สินะ?”

 

โทริโกะถามขึ้นด้วยเสียงแข็งๆ แต่ฉันไม่มีสติเหลือพอจะตอบเธอได้ ฉันก็เลยทำแค่พยักหน้าอย่างขึงขังเท่านั้นเอง มันไม่มีทางจะมีคนสติดีที่ไหนมาอยู่ในแถวๅ นี้อยู่แล้วล่ะ

โทริโกะช่วยพยุงตัวฉัน ค่อยๆ ไต่บันไดวนขึ้นไปกัน พวกเราทั้งคู่ดูยับเยินสุดๆ ยังกับรูปปั้นดินน้ำมันรูปร่างมนุษย์ที่โดนใครที่ไหนไม่รู้มาป่วนจนเละไปหมดเลย ถ้าฉันเสียสมาธิไปล่ะก็ ฉันคงจะแยกไม่ออกเลยระหว่างเสื้อผ้าของตัวเองกับพวกของบนกำแพง บันได กับราวมือจับรอบๆ พวกเราน่ะ

พอพวกเราตะเกียกตะกายจนไปถึงห้องชมวิวได้ซักที ฉันก็ล้มคะมำลงกับพื้นเลย

ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วก็มองไปที่หน้าต่าง พยายามจะมองไปที่ภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ภายใต้แสงสลัวๆ ของไฟฉาย ฉันเห็นก้อนเนื้อน่าขยะแขยงก้อนนึงกำลังคืบคลานเป็นลูกคลื่นอยู่บนพื้น… นั่นคือฉันสินะ

เพื่อจะได้เห็นร่างมนุษย์ของตัวเองอีกครั้งนึง ฉันก็เพ่งตาขวาไปที่ภาพของตัวเอง แล้วฉันก็ต้องตะลึงไปเลย

ไม่ไหว ไม่ว่าจะใช้ตาขวาเพ่งไปขนาดไหน ภาพตัวฉันที่ฉันมองเห็นก็ไม่เปลี่ยนไปเลยซักนิด

ถ้าเกิดระบบปฏิบัติการของฉัน―ถ้ากลไกในสมองของฉันที่ใช้ในการรับรู้ลักษณะร่างกายของมนุษย์โดนควบคุมอยู่ นี่แปลว่าฉันทำอะไรไม่ได้แล้วงั้นเหรอ?

ฉันหลับตาปี๋ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอาจจะโดนขยี้จากความกลัวที่ก่อตัวอยู่ข้างในฉันยังไงยังงั้นเลย

ยามาโนเกะน่ะจะเข้าสิงสู่ผู้คน ในบัญชีที่ฉันเข้าไปอ่านก็ไม่มีเขียนถึงเรื่องเกี่ยวกับเรื่องของคนที่ถูกสิงเลย แต่ตอนนี้ฉันพอจะจินตนาการได้แล้วล่ะ ฉันคงไม่รอดแล้ว ตัวตนจริงๆ ของฉันน่ะ เมื่อไหร่ที่ฉันแยกไม่ออกแล้วว่าอะไรคือร่างกายของฉันเอง อะไรที่มันไม่ใช่ ตอนนั้นฉันก็คงจะไม่เหลือความรู้สึกเป็นตัวของตัวเองแล้ว

ตัวของฉันมันเหลวเละไปหมด จนหายไปแล้ว ผิวหนังเลือนหายไป ร่างกายแยกส่วนออกเป็นชิ้นๆ ทั้งหมดที่เหลืออยู่ ก็มีแต่ความกลัวที่ทุกอย่างของฉันมันจะถูกกลืนเข้ากันจนกลายเป็นก้อนโคลนเหลวที่วิปริตเลย

 

แล้ว―จู่ๆ สติของฉันก็ถูกกระชากกลับมา มีอะไรนิ่มๆ อุ่นๆ มาโดนที่ผิวนอกของฉันด้วย มันไล่ไปตามโครงร่างของร่างกายฉัน เหมือนจะลากเส้นกั้นขอบเขตของพื้นกับพื้นที่รอบๆ ตัว ฉันยึดสัมผัสที่รู้สึกได้นั่นเอาไว้แน่น แล้วจุดสัมผัสที่แขนกับขาของตัวเองก็ค่อยๆ กลับมามากขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกว่าตัวฉันเองก็กลับมาเป็นรูปเป็นร่างแล้วด้วย เหมือนชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่ประกอบเข้าด้วยกันเป็นชิ้นเดียวอย่างช้าๆ

อะไรไม่รู้ที่ลูบไปตามตัวของฉัน… คือมือของโทริโกะ

 

“โซราโอะ ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า? โอเค หายใจเข้าช้าๆ นะ ได้ยินเสียงฉันมั้ย?”

 

โทริโกะกระซิบบอกกับฉันด้วยน้ำเสียงใจเย็น

 

“ท- โทริ โกะ?”
“อื้อ ไม่เป็นไรแล้วนะ โอเคมั้ย? ไม่ต้องเร่งหรอก”

 

สิ่งที่สัมผัสตัวฉันอยู่คือมือซ้ายของโทริโกะ มือใสๆ ของเธอที่ถอดถุงมือออกไปแล้วลูบไปตามหัวของฉัน แตะไปที่หน้าของฉัน ไล่ไปตามคอตามแขน ก่อนจะค่อยๆ ไล่ลงมาเหมือนกำลังนวดอยู่เลย ตรงที่เธอใช้มือซ้ายจับตัวของฉันก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างของมนุษย์แล้ว

 

“โทริโกะ อะไร― ได้ยังไง?”
“ฉันคิดว่าฉันน่าจะทำแบบที่ปกติเธอจะทำได้ด้วยตาขวาของเธอได้เหมือนกันน่ะ”

 

ระหว่างที่เธอพูด เธอก็ยังใช้มือทั้ง 2 ข้างลูบหลังของฉันต่อ ไม่ใช่แค่มือซ้ายข้างเดียวแล้ว แล้วมือของเธอก็หยุดอยู่ตรงนั้น เธอลองแตะไปตามหลังของฉันตรงนู้นตรงนี้ ดูเหมือนพยายามหาอะไรที่หลังของฉันด้วยฝ่ามือทั้งสองของเธออยู่เลย

 

“มีอะไรอยู่ตรงนี้ด้วย…”

 

โทริโกะพูดด้วยเสียงกดต่ำ พร้อมกับกำลังตั้งสมาธิเต็มที่เลย

 

“แป๊บนะ”

 

เธอพูดเอาไว้แบบนั้น แล้วไม่ทันไร เธอก็ม้วนเสื้อของฉันขึ้น เปิดหลังของฉันออกมา

 

“เอ๋!! เดี๋ยว!?”
“ขอโทษ ฉันต้องแตะตัวเธอซักหน่อยนะ”

 

มือซ้ายของโทริโกะลูบไปบนผิวที่หลังของฉัน โดยไม่สนใจฉันที่ร้องจนเสียงหลงอยู่นี่เลย

เย็นจัง

ตอนนี้ พอมาลองคิดดูแล้วเนี่ย ฉันแทบไม่เคยแตะมือซ้ายเปล่าๆ ของโทริโกะตรงๆ เลยนี่นา ส่วนนึงก็เพราะเธอใส่ถุงมือปิดเอาไว้ตลอดเลยด้วยนั่นแหละ แต่บางที อาจจะเพราะเธอเอาใจใส่กับเรื่องนั้นด้วยก็ได้มั้ง

มือซ้ายที่ลูบบนหลังของฉัน ตอนนี้ก็หยุดสนิทแล้ว

 

“เจอแล้ว”
“เอ๊ะ?”

 

ก่อนที่ฉันจะทันได้ตอบโต้อะไรไป มันก็มีแรงกระแทกที่หลังของฉัน ทำเอาหัวโยกไปข้างหลังเลย

 

“กุอั๊ก!?”

 

*เพี้ยะ!* แรงกระแทกมันมาอีกแล้ว นี่โทริโกะใช้มือเปล่าๆ ตบที่หลังของฉันเลยนี่นา

 

“โอ้ย! มันเจ็บนะ!”
“กัดฟันไว้ก่อนนะ”

 

แล้วเธอก็ตบไปที่หลังของฉันรัวๆ อย่างไร้ปรานีเลย

 

“ดื้อด้านจริงๆ เลยให้ตายสิ…”
“ทำอะไรข―อ๊า! ย- หยุดได้แล้ว!”

 

โทริโกะไม่สนใจเสียงกรีดร้องของฉันเลย เธอก็ยังตบต่อไปอยู่ดี

เธอจริงจังกับเรื่องนี้สุดๆ ไปเลย เธอหวดมือลงมาเต็มแรง แล้วฉันก็คุมเสียงร้องของตัวเองไม่ได้เลยด้วย นี่เธอสนุกที่ทำแบบนี้หรือไงเนี่ย? ฉันที่น้ำตาเอ่อท่วมทั้ง 2 ข้างเริ่มจะสงสัยแบบนั้นแล้ว แล้วระหว่างที่หายใจหอบโรยริน โทริโกะก็ตะโกนออกมา

 

“จะ… เอายังไงเล่า!?”

 

*เพี้ยะ!* การตบที่แรงที่สุดและเจ็บที่สุดกระแทกตรงกลางหลังฉันยังกับระเบิด แรงอัดกระแทกที่ฉันโดนนั่นมันทำเอาฉันหายใจไม่ออกเลย แล้วพอฉันไอสำลักออกมา ก็มีอะไรไม่รู้ออกมาจากทางปากของฉันด้วย

ตัวอะไรไม่รู้สีขาวๆ คล้ายกับทากร่วงลงบนพื้นคอนกรีตพร้อมกับเสียงดังแปะ มันมีระยางค์ 2 ข้างคล้ายแขนที่ตรงปลายแตกออกคล้ายกิ่งก้าน แล้วตรงปลายข้างนึงก็มีอะไรคล้ายๆ หางที่บิดเป็นเกลียวเหมือนก้นหอยด้วย

ไอ้แมลงบ้านี่…!

ฉันใช้ตาขวาของตัวเองจ้องเขม้งไปที่เจ้าทากเผือกตัวนั้น ก่อนจะควานมือไปหาปืนของตัวเอง…

แต่ก่อนที่ฉันจะได้ทำแบบนั้น เท้าของโทริโกะก็กระทืบลงไปที่เจ้าทากตัวนั้นต่อหน้าต่อตาฉันเลย

 

“เอ๊ะ…?”
“อ๊ะ! โทษที เผลอไปน่ะ…”

 

พอโทริโกะค่อยๆ ยกเท้าขึ้นมาช้าๆ เจ้าทากตัวนั้นที่โดนเหยียบจนแบนก็ชักกระตุกอยู่บนพื้นคอนกรีตแล้ว

ความรู้สึกกลับมาที่แขนกับขาของฉันแล้ว หลังจากที่ฉันจัดเสื้อผ้าให้มันเข้าที่เข้าทางเรียบร้อย ฉันก็กลับมายืนได้ ก่อนที่จะสูดน้ำมูก เช็ดน้ำตา แล้วในที่สุด ฉันถึงพูดกับโทริโกะได้ซักที

 

“เฮ้อ… ขอบใจนะโทริโกะ”
“โล่งอกไปทีที่ได้ผล”

 

โทริโกะตอบกลับมาพร้อมกับโบกมือให้

เจ็บแปลบๆ ไปทั้งหลังเลย ถ้ามีกระจกให้ดูตอนนี้ล่ะก็ จะต้องมีรอยมือแดงๆ ขึ้นไปทั่วหลังของฉันแหงๆ เลย

 

“พอจะมีอะไรเป็นเชื้อไฟหรือเปล่า?”

 

ฉันถามโทริโกะ ก่อนจะควักเอากลักไม้ขีดไฟออกมาจากกระเป๋าเป้

 

TN: ฟิ่ว… เกือบไปแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด