ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 631-2 ลูกเห็นพ่อยังไม่สิ้นจึงลับมีดแผล็บๆ แล้วฟันลงบนตัว (2)
บทที่ 631 ลูกเห็นพ่อยังไม่สิ้นจึงลับมีดแผล็บๆ แล้วฟันลงบนตัว (2)
จีเสวียนมองดูเงาหลังสวี่ผิงเฟิงทีหนึ่ง เห็นว่าเขาไม่ได้ขัดขวางและไม่ได้เอ่ยปากจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“น้องหญิง นี่คือแผนการที่สองของท่านราชครู ช่วยข้าบรรลุขั้นสาม ทำให้เมืองเฉียนหลงมีทายาทสายตรงระดับเหนือมนุษย์”
สวี่หยวนไหวยากจะปิดบังสีหน้าอิจฉาไว้ได้
สวี่หยวนซวงมีสถานะเป็นโหร พอได้ยินเช่นนี้คิ้วงามก็ขมวดมุ่น
“อาศัยปราณมังกรเล็กน้อยแค่นี้หรือ”
จีเสวียนหรี่ตายิ้มน้อยยิ้มใหญ่กล่าว
“ไม่ใช่ว่ายังมีคนข้างล่างหรือ สวี่ชีอันก็แค่ลูกธนูที่สุดแรงบินเท่านั้น เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ เขากับผู้อาวุโสกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็ต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจภายใต้ฝ่ามือของร่างธรรมเทพอารักษ์ บอกเจ้าตามตรงแล้วกัน การท่องยุทธภพในครั้งนี้ เป้าหมายแท้จริงของท่านราชครูคือให้ข้าอาศัยปราณมังกรทะลวงระดับเหนือมนุษย์ ตอนนี้สวี่ชีอันเป็นเต่าในอ่างไปแล้ว ข้าก็ควรเตรียมเลื่อนขั้นล่วงหน้า”
ในมือเขาถือกล่องใบหนึ่ง พอเปิดออก พลังโลหิตเข้มข้นก็ปะทะเข้ามา
แม้ไม่เคยเห็นยาโลหิตมาก่อน แต่สองพี่น้องก็รู้ได้ในทันที
สวี่หยวนไหวกล่าวเบาๆ
“เจ้าแย่งโอกาสของเขา เหยียบเขาเพื่อเลื่อนขึ้นขั้นสาม…”
จีเสวียนยิ้มอย่างอบอุ่น และมองญาติผู้น้องพร้อมกับกล่าวหยอกล้อ
“ทำไม ทำใจดูพี่ชายแท้ๆ ตายไม่ได้หรือ ตอนที่เขาตีเจ้าที่อวิ๋นโจว ไม่เห็นจะยั้งมือนี่ บทบาทในการถือกำเนิดของเขาก็คือเป็นเครื่องมือบรรจุโชคชะตา ในเมื่อเป็นเครื่องมือ ควรใช้ก็ใช้ ควรทิ้งก็ทิ้ง หยวนไหว เขาตายแล้วเจ้าก็จะเป็นบุตรคนโตของท่านราชครู เจ้าจะสืบทอดทุกอย่างของท่านราชครูรวมถึงสวี่โจวด้วย”
สวี่หยวนไหวกล่าวเหยียดหยาม “นอกจากวิทยายุทธ์ ลาภยศสรรเสริญสำหรับข้าแล้วเป็นแค่เมฆที่ล่องลอยกลางอากาศเท่านั้น”
หยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ตอนที่อยู่ยงโจว หากเขาไม่ยั้งมือข้าคงตายไปนานแล้ว”
พูดประโยคนี้จบ เขารีบเบนหัวข้อสนทนา
“ท่านพ่อเคยบอกว่า ทุกเรื่องล้วนต้องใช้สองมือตระเตรียม หากมุ่งไปแต่เป้าหมายเดียวล่ะก็ ทำให้ตนเองตกสู่ทางตันได้ง่าย หากการไม่สำเร็จเจ้าจะปฏิบัติอย่างไร”
จีเสวียนกำลังจะตอบ สวี่หยวนไหวกลับตกใจกับเสียงดัง เขาไม่ฟังอีกต่อไป และก้มมองการต่อสู้ทันที
‘เคร้ง!’
เจดีย์พุทธะถูกมีดพระฟันอีกครั้งจนเกิดเสียวครวญครางแสบแก้วหู
ปรากฏรอยมีดตื้นๆ เส้นหนึ่งบนตัวเจดีย์
ขณะที่มีดพระฟันโดยตัวเจดีย์ กระบี่เทพที่มีแสงสีดำลอยวนเป็นเกลียวก็ยื่นออกมา ‘เคร้ง’ เสียงแหลมคมดังขึ้น ปลายกระบี่แทงลงบนประตูเจดีย์พุทธะ ทำให้เกิดรอยแยกเล็กๆ บนประตูเจดีย์
ประเดี๋ยวเดียว กระบอง ไม้พลอง สากและอาวุธอื่นๆ ของเทพอารักษ์ก็ร่วงลงมา โจมตีจนเจดีย์พุทธะส่งเสียงดัง ‘เคร้งๆ’ ไม่ขาดสาย
ชายชรากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ใช้วิธีมดแดงอาจหาญขย่มต้นไม้ใหญ่แทรกเข้าไประหว่างทั้งสอง ขี่ปราณดาบพุ่งชนระหว่างคิ้วของร่างธรรมเทพอารักษ์
‘เพล้ง!’
ร่างธรรมเทพอารักษ์หงายหลังทันที โซซัดโซเซถอยไปหลายเก้า สีทองที่เคลือบอยู่ระหว่างคิ้วมีสีอื่นแทรกซึมอยู่
เขาไม่อาจโจมตีชายชราได้ก่อนเช่นกัน
เจดีย์พุทธะได้พักหายใจ ตัวเจดีย์หมุนวนสั่นสะเทือนพลังชั้นที่สองออกมา ด้านหนึ่งกำราบร่างธรรมเทพอารักษ์ อีกด้านก็แสดง ‘ร่างธรรมแห่งปัญญา’ ที่มีแสงทรงกลดหมุนวน
ร่างธรรมเทพอารักษ์หยุดชะงักอีกครั้ง
ชายชราถือโอกาสนี้บินวนรอบร่างธรรมเทพอารักษ์ ดาบในมือตวัดไปมา แสงดาบแต่ละลำทำให้อากาศบิดเบี้ยว เสียงผ่าฟัน ‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง’ ดังขึ้นบนตัวร่างธรรมเทพอารักษ์
สะเก็ดแสงสีทองกระเด็นขึ้นมา
ปราณดาบที่สามารถทะลวงกายเนื้อเทพอารักษ์ขั้นสามได้อย่างง่ายดายนั้น ไม่มีทางทำอะไรร่างธรรมอันน่ากลัวนี้ได้เลย
เทคนิคการขูดผิวหนังเพื่อเสาะหาพิษของผู้อาวุโสอยู่ในระดับที่เชี่ยวชาญมาก…สวี่ชีอันเสวยสุขท่ามกลางความทุกข์ ใช้วิธีการค่อนแคะมาคลายความกดดันในใจ
วิธีลดสติปัญญาของ ‘ร่างธรรมแห่งปัญญา’ อย่างมากก็ส่งผลเพียงชั่วครู่ ไม่ถึงสองอึดใจเสียด้วยซ้ำ ร่างธรรมเทพอารักษ์ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอาการงงงวย แขนทั้งยี่สิบสี่โจมตีพร้อมกัน
มองดูแล้วคล้ายๆ กับคนที่มียี่สิบสี่แขนกำลังตบแมลงวันอยู่ แมลงวันอาศัยท่าร่างที่ว่องไวเคลื่อนย้ายพลิกไปพลิกมาท่ามกลางสายฝนกระบี่หอกดาบ บางครั้งก็บินขึ้นสูง บางครั้งก็แฉลบลงต่ำ
ถือโอกาสในขณะที่ชายชราก่อกวนร่างธรรมเทพอารักษ์อยู่นั้น สวี่ชีอันที่แช่อยู่ในร่างธรรมหมอยาก็ประสานติดต่อกับถ่าหลิง
“ไต้ซือ ท่านไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นไร ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าจะเป็นเหมือนกับกระจกเทพฮุ่นเทียน”
ภิกษุชราถ่าหลิงตอบกลับ
หากข้าเชี่ยวชาญวิชาพุทธะก็คงจะดี สามารถควบคุมเจดีย์พุทธะได้…ความกังวลของสวี่ชีอันเพิ่มขึ้นฉับพลัน
แม้เจดีย์พุทธะจะเป็นของวิเศษของพระโพธิสัตว์ แต่ตัวของวิเศษเองก็ต้องการคนมาใช้สอยเช่นกัน
ก็เหมือนกับกระบี่คุ้มเมือง สวี่ชีอันสามารถใช้มันฟันเทพอารักษ์ได้ แต่หากให้กระบี่คุ้มเมืองทำการสังหารศัตรูด้วยตนเอง อย่าพูดว่าฟันเทพอารักษ์เลย ก็เหมือนกับการเอาซาลาเปาเนื้อไปตีสุนัข ให้ไปแล้วยากจะได้คืน
เจดีย์พุทธะก็เฉกเช่นเดียวกัน
สวี่ชีอันไม่บำเพ็ญวิชาพุทธะ ไม่มีคุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ ไม่อาจใช้สอยเจดีย์พุทธะได้โดยสิ้นเชิง
ล้วนอาศัยภิกษุชราส่งกระแสไฟฟ้าให้ด้วยความรัก
“ขอไต้ซือตั้งใจรักษาอาการบาดเจ็บให้ข้า ฟื้นฟูเส้นลมปราณและจุดชี่ไห่ของข้า”
ที่เขาต้องช่วงชิงในตอนนี้คือเวลา
หอกสายฟ้าของน่าหลันเทียนลู่ทำลายพลังชีวิตของเขา แน่นอนว่าทำลายเส้นลมปราณและจุดชี่ไห่ด้วย หากไม่อาจฟื้นฟูจุดชี่ไห่กับเส้นลมปราณได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็ใช้ไพ่ตายไม่ได้
‘แปล๊บๆ’
สายฟ้ารัดพันสากของเทพอารักษ์ ระเบิดประกายไฟฟ้าออกมานับไม่ถ้วน พวกมันทอสลับประสานกันไปมาจนกลายเป็นตาข่ายไฟฟ้าปกคลุมอากาศบริเวณนั้นไว้
พอชายชราสัมผัสกับตาข่ายไฟฟ้าที่ครอบคลุมทุกตารางนิ้วกลางอากาศ ร่างกายที่ว่องไวก็แข็งทื่อและหยุดชะงักทันที ต่อมาก็ระเบิดพลังปราณขับไล่กระแสไฟฟ้า
การหยุดชะงักเล็กน้อยจนไม่อาจสังเกตได้นี้ ในสายตาของยอดฝีมือระดับนี้ ถือว่าเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่
กระบองยาวห่อหุ้มด้วยอานุภาพประดุจอสนีบาตฟาดเปรี้ยงๆ ทุบลงตรงหัว เสียงระเบิดดังก้องจนหูแทบหนวก
ชายชราพลิกหมุนตัวไปมากลางอากาศ และกระโจนไปด้านหน้าจนทิ้งระยะห่างได้ช่วงหนึ่ง
‘ฟู่!’
ไม้พลองทองแดงฟาดผ่านเท้าทั้งคู่ของเขา พริบตาเดียวร่างกายท่อนล่างก็เต็มไปด้วยเลือด เผยให้เห็นกระดูกสีขาวโพลน
ภายใต้การโจมตีของพลังอันน่าหวาดกลัว ชายชราร่วงลงมาราวกับเครื่องบินตก
มีดพระกับกระบี่เทพเข้ามาโจมตีเสริมอย่างรวดเร็ว
‘เคร้งๆ!’
มือซ้ายขวาของชายชราต่างก็ตวัดดาบออกมา พยายามเบี่ยงเบนวิถีของมีดพระกับกระบี่เทพ โอกาสในชั่วพริบตานี้ บาดแผลท่อนล่างของเขาฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว
ท่าร่างฟื้นคืนความว่องไว หลบหลีกการโจมตีชุดหลังของอาวุธอื่นๆ ได้
เฉาชิงหยางและคนอื่นๆ ที่มุงดูอยู่ไกลๆ ถึงกับต้องปาดเหงื่อเย็น
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ชายชราเองก็แอบเหงื่อตกที่หลัง ร่างธรรมเทพอารักษ์ต่อสู้กับเขา ก็เหมือนกับเขาที่ต่อสู้กับเทพอารักษ์พิทักษ์กฎสององค์ในเมื่อก่อน
พอคว้าโอกาสได้ ก็สามารถตายติดต่อกันได้
แน่นอน เขาที่เลื่อนขั้นถึงขั้นสองมันไม่ง่ายที่จะตัดขาดพลังชีวิตของเขา แม้พลังต่อสู้ของร่างธรรมเทพอารักษ์องค์นี้พอจะเทียบกับขั้นหนึ่งได้ แต่ไม่สามารถสังหารทหารขั้นสองที่มีชื่อเสียงเรื่องพลังชีวิตเปี่ยมล้นได้ในฉับพลัน
แต่พอถูกแยกร่างและผนึก จุดจบสุดท้ายก็มีแค่ความตายแล้ว
ขณะนี้ แสงสว่างเปล่งประกายขึ้นจากใต้เท้าร่างธรรมเทพอารักษ์ เงาร่างใหญ่สูงตระหง่านหายไป
สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ ชายชราที่มีประสบการณ์มาก่อนก็ถลาลงด้านล่างทันที ทำเช่นนี้สามารถป้องกันการโจมตีของร่างธรรมเทพอารักษ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทิศทางที่เขาปรากฏก็เป็นเพียงทิศเหนือออกตกใต้ทั้งสี่ทิศเท่านั้น ถลาลงด้วยความเร็วสูง สามารถป้องกันการโจมตีของอาวุธเวทที่แขนทั้งยี่สิบสี่ถืออยู่ได้
บินสูงเกินไปกลับกลายเป็นเป้าได้ง่าย
ขณะนี้ลางสังหรณ์วิกฤตของชายชราก็เกิดการตอบสนอง ศัตรูมาจากทางทิศใต้
ร่างธรรมเทพอารักษ์ปรากฏตัวทางทิศใต้จริงๆ
‘หืม?’
‘ลางสังหรณ์วิกฤตหรือ?’
‘เคร้ง…’
ทันใดนั้น ชายชราที่กำลังพุ่งลงมาชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง คือเทพอารักษ์อสูรที่มีรูปร่างอัปลักษณ์
ครู่ต่อมา ชายชราก็ถูกฝ่ายตรงข้ามรัดไว้แน่นหนา
เขาไม่รับรู้ถึงการเข้าใกล้ของเทพอารักษ์อสูรเลย ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะกำบังกลิ่นอายของตนเองไว้
พริบตานั้น ชายชราเข้าใจแล้ว…
‘ฟู่!’
ร่างธรรมเทพอารักษ์ปรากฏตัว กระบี่ฟันศีรษะของชายชราอย่างแม่นยำจนกระเด็นออกไป โดยไม่โดนเทพอารักษ์อสูรเลย
สำหรับทหารสลายแรงแล้ว นี่เป็นการกระทำขั้นพื้นฐานสุด
พริบตาที่ศีรษะกระเด็นขึ้นไปนั้น ภารกิจของเทพอารักษ์อสูรก็เสร็จสิ้น จึงผ่อนคลายมือเท้าปล่อยให้ตัวเองตกลงไปอย่างอิสระ
เกือบจะในขณะเดียวกัน ปลายสากของเทพอารักษ์ก็ปล่อยแท่งสายฟ้าโจมตีศีรษะและลำตัว โจมตีจนร่างของชายชราแข็งทื่อในฉับพลัน
จากนั้นระฆังทองปกคลุมศีรษะไว้ เจดีย์ทองสยบลำตัว
บนเรืออวี่เฟิง จีเสวียนลุกขึ้นฉับพลัน เขากับสองพี่น้องตระกูลสวี่จ้องมองระฆังทองกับเจดีย์ทองไม่วางตา
ระฆังทองกับเจดีย์ทองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แต่ขณะที่ร่างธรรมเทพอารักษ์แทงมีดพระกับกระบี่เทพเข้าไปในระฆังและเจดีย์ ทุกอย่างต่างก็สงบลง
“สำเร็จแล้ว!”
จีเสวียนเผยสีหน้าดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง น้อยมากที่เขาจะมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างฮึกเหิมเช่นนี้
“ร้ายกาจ อาศัยการเคลื่อนย้ายอำพรางตัว แอบส่งอาวุธเวทของฝ่ายเทียนกู่ให้กับเทพอารักษ์อสูร สมกับเป็นเทพอารักษ์สำนักพุทธที่มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าพวกเขาชอบใช้พลังมากกว่าสมองเสียอีก คิดดูแล้วศัตรูส่วนมากบนโลกล้วนไม่คู่ควรให้พวกเขาใช้สมอง”
‘สิ้นสุดแล้ว…’ สวี่หยวนซวงมองไปทางน้องชาย พบกว่าน้องชายก็มองนางเช่นกัน
สองพี่น้องสบตากันไม่พูดอะไร
ลำดับต่อไป เพียงให้ร่างธรรมเทพอารักษ์ใช้พลังที่เหลือผนึกชายชรานำกลับไปอวิ๋นโจว เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
สวี่ผิงเฟิงมีสีหน้าสงบ ดูเหมือนจะไม่ประหลาดใจเลย ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุม
ทางด้านพันธมิตรจอมยุทธ์โดยมีเฉาชิงหยางเป็นหัวหน้า แต่ละคนล้วนหน้าซีดราวกับสีของดิน ราวกับไม่เคยเจอพระอาทิตย์เลย
ในป่า หลี่หลิงซู่คว้าเหมียวโหย่วฟ่างขึ้นมา เท้าเหยียบกระบี่บิน ทั้งสองต่างมีสีหน้าซีดขาว
เตรียมพร้อมหนีตลอดเวลา
และห่างจากพวกเขาไปไม่ไกล ไป๋หู่ที่เสียเท้าขวาส่วนหน้าไปก็ขี่วายุเตรียมไล่ฆ่าตลอดเวลา
เหตุที่ไม่เคลื่อนไหวเพราะยังมีบุคคลสำคัญอยู่คนหนึ่ง ซึ่งบทสรุปของเขายังไม่แน่นอน
“หนีสิ รีบควบคุมเจดีย์พุทธะหนีสิ…”
หลี่หลิงซู่ตะโกนในใจอย่างบ้าคลั่ง
“สวี่ ฆ้องเงินสวี่…”
ในกลุ่มคนพันธมิตรจอมยุทธ์ มีคนเรียกชื่อนี้ออกมาอย่างเงอะงะ
เจดีย์พุทธะลอยขึ้นอย่างเงียบๆ ทั้งไม่หนีและไม่ช่วยคน ขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นของวิเศษหรือว่าคนที่แช่อยู่ในร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถล้วนเงียบสงบอย่างหาที่เปรียบมิได้
สวี่ชีอันเปลี่ยนจากท่านั่งขัดสมาธิเป็นยืนขึ้น จากนั้นก็ก้าวออกจากวงปกป้องของเจดีย์พุทธะ
เขาเดินเหยียบอากาศ สายตาไม่ได้พุ่งไปที่ร่างธรรมเทพอารักษ์ แต่เป็นสวี่ผิงเฟิงที่อยู่บนเรืออวี่เฟิง
สองพ่อลูกมองหน้ากันผ่านอากาศ
“ท่านคิดผิดแล้ว!”
สวี่ชีอันยื่นแขนออก กระบี่คุ้มเมืองแผดเสียงเข้ามา และส่งตัวเองเข้าไปในมือของเขา
“ระหว่างข้ากับท่าน ไม่ใช่ว่าท่านจะยินดียอมรับข้าและเหลือทางรอดให้ข้าหรือไม่”
สวี่ชีอันนำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา เขาแหงนหน้ามองสวี่ผิงเฟิงที่อยู่บนที่สูง และค่อยๆ กล่าวทีละคำทีละประโยค
“เป็นข้าต่างหากที่ไม่ยอมปล่อยท่าน!”
‘ติ๊ง!’
เมื่องอนิ้วดีดชิ้นส่วนหนังสือปฐพี กระจกหยกเล็กๆ ก็พลิกหมุนบินขึ้นไป มังกรยักษ์สีทองที่ดูราวกับเป็นธาตุแท้แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งออกจากกระจก
จากนั้นเขาควักแผ่นกระดาษที่เตรียมไว้นานแล้วออกมา พอสะบัดมือมันก็ติดไฟ
ขณะที่ขี้เถ้ากระดาษกำลังลุกไหม้อยู่ มังกรยักษ์สีทองก็พุ่งเข้าไปในร่างเขา
แสงสีทองอร่ามเปล่งประกายออกจากดวงตาทั้งคู่ของสวี่ชีอัน เขาที่ร่างแบกชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งไว้รับปราณมังกรเข้ามา มือถือกระบี่คุ้มเมือง และตะโกนเสียงสูง
“อัญ เชิญ จักรพรรดิ เกา จู่”
ดวงตาคู่หนึ่งเบิกโพลงขึ้นท่ามกลางสวรรค์และโลก
………………………………………
Comments