ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 751 คืนกลับ (1)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter บทที่ 751 คืนกลับ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 751 คืนกลับ (1)

‘เพียงแค่ควบคุมสนามพลังคุ้มกันก็สามารถฝ่าทะลวงมาได้สบายๆ ไม่เจอพลังโต้ตอบแม้แต่น้อย’ ลู่เซิ่งแสดง สีหน้านิ่งเฉย แต่ในใจกลับสัมผัสระดับความแข็งแกร่งของตนที่มีอยู่ได้มากกว่าเดิม

ตูม!

เขายกมือขึ้นอีกครั้ง ความจริงไม่ต้องออกแรง เพียงแค่เหยียดยื่นพลังงานคุ้มกันทางธรรมชาติบนตัวออกไป ก็ทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่สัมผัสได้แล้ว

สัตว์ประหลาดหางตะขาบที่ใส่เกราะหนักสีดำฝูงหนึ่งระเบิดกลายเป็นเนื้อบดกระจัดกระจายลงบนพื้นด้านหน้าเขานับไม่ถ้วนอีกครั้ง

ตู้ดๆๆ!

เสียงเตือนภัยเสียดหูสะท้อนกลางอากาศในบริเวณนี้ ลู่เซิ่งมุ่งหน้าไปยังศูนย์กลางโดยไม่หยุดยั้ง

“รีบถอย! รีบถอยเร็ว!”

“พวกมันมาแล้ว!”

“มีกี่คน!”

“มีแค่สองคนเหรอ!”

“สองคน!?”

เสียงตะโกนเบาๆ ดังทะลุกำแพงเนื้อออกมาอย่างต่อเนื่อง

ลู่เซิ่งเหลียวมองไปรอบๆ ขณะกำลังจะเดินต่อ กำแพงเนื้อกลุ่มหนึ่งก็หล่นลงมาด้านหน้าเขา

เปรี้ยง!

กำแพงเนื้อขยับขยุกขยิกหมายจะขวางทางเขาไว้

ตูม!

ลู่เซิ่งทิ่มนิ้วออกไป สนามพลังไร้รูปร่างอีกสายระเบิดออกอย่างฉับพลัน กำแพงเนื้อด้านหน้าปรากฏเส้นทางกว้างขวางเส้นหนึ่งขึ้นในพริบตา

สองฟากของเส้นทางคือเนื้อสีเลือดที่เน่าเปื่อยเหมือนบาดแผล สัตว์ประหลาดหัวสามเหลี่ยมรูปร่างสูงใหญ่หลายตัวซึ่งอยู่อีกด้านจ้องมองมาทางนี้ด้วยสองตาสีแดงฉาน

“ปลดปล่อยสัญชาตญาณ!” สัตว์ประหลาดเหล่านี้คำรามออกมาขณะร่างกายพองขยาย พริบตาเดียวจากรูปร่างขนาดหนึ่งหมี่กว่าๆ ก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่เหมือนกับมังกรซึ่งกว้างถึงสามหมี่และสูงสองหมี่กว่าๆ

“ฆ่า!”

สัตว์ประหลาดสองตัวพุ่งเข้ามา แสงสีรุ้งนับไม่ถ้วนทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ สว่างขึ้นบนร่าง เห็นอักขระสามเหลี่ยมอันหมายถึงอาวุธเทพได้อย่างเลือนรางจากแสงสีรุ้ง

“เป็นการดิ้นรนที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี” ลู่เซิ่งสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ม่านตากลายเป็นสีทองแวบหนึ่ง

สัตว์ประหลาดทั้งสองตัวหยุดชะงักในท่าโถมตัว ทั้งตัวเหมือนกับจมลงในโคลน ความเร็วลดลงอย่างมาก การเคลื่อนไหวก็เชื่องช้างุ่มง่ามถึงขีดสุดเช่นกัน

กรรซ์!

พวกมันขู่คำราม หมายจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของสนามพลังชนิดนี้ แต่ก็ไร้ความหมาย

โผละ!

ไม่นานนัก สัตว์ประหลาดทั้งสองตัวก็ระเบิดกลายเป็นเนื้อบดสองก้อน มีจุดจบเช่นเดียวกับเหล่าผู้ลอบโจมตีก่อนหน้า

สัตว์ประหลาดอีกสองตัวที่เหลืออยู่ เพิ่งจะเปลี่ยนร่างเสร็จ พอเห็นเหตุการณ์นี้ก็ตกใจจนหมุนตัวหนีไป

ตอนนี้ท่ามกลางความว่างเปล่าด้านนอกมีเงาคนกึ่งโปร่งแสงสองสายค่อยๆ หลุดออกจากก้อนเนื้อ พวกเขาสวมชุดคลุมป้องกันที่ใช้อำพรางกลิ่นอาย ลอบมุดเข้าไปในของขลังทรงกลมที่รออยู่ด้านข้าง

“เร็วหน่อยๆ!” ราชาผู้ใช้วิชาชั่วร้ายอาเอ๋อร์ถ่าเอ่ยเสียงกดดันเร่ง

ข่งซารีบมุดตามเขาเข้าไปในของขลัง จากนั้นของขลังทรงจานกลมก็หมุนช้าๆ และเปล่งแสงสีเงิน ขณะกำลังจะพุ่งไปยังที่ไกลนั่นเอง

ครืน!

ทันใดนั้น กลางก้อนเนื้อที่เหมือนกับปลาหมึกก็เกิดเสียงดังตูม ระลอกคลื่นที่เหมือนกับคมดาบสีเหลืองกระจ่างสายหนึ่งระเบิดออกมาจากด้านใน

ระลอกคลื่นเฉือนก้อนเนื้อทั้งก้อนแล้วกระจายออกมาอย่างรวดเร็ว แบ่งก้อนเนื้อจากหนึ่งออกเป็นสอง

ตรงใจกลาง ลู่เซิ่งเหยียบอยู่บนก้อนเนื้อที่เหลืออยู่พร้อมกับมองดูอาเอ๋อร์ถ่าที่กำลังหนี ขณะที่กำลังจะลงมือนั้นเอง

อยู่ๆ ก็เจ็บแปลบขึ้นมาน้อยๆ ที่หลังมือของเขาแล้วก็หายไป

“ช่างมัน ไปกันเถิด” เขากล่าวอย่างราบเรียบก่อนจะชักมือกลับ

“หือ? ไม่ตามไปหรือขอรับ” ตอนนี้โอวหยางหลิงค่อยได้สติกลับมา เมื่อครู่ตอนที่เขายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ยิ่งใหญ่พลันหันหลังกลับแล้วลงมืออย่างฉับพลัน ระเบิดฐานที่มั่นทั้งหมดโดยสิ้นเชิง

รอจนเห็นข่งซากับอาเอ๋อร์ถ่าหลบหนีไปในของขลังแล้ว เขาจึงค่อยรู้สึกตัว เตรียมจะไล่ล่าบุคคลสำคัญทั้งสองนี้

ทว่าในขณะที่ใกล้จะจับได้ กลับ…

“เจ้าหนู!”

อยู่ๆ ระลอกคลื่นโปร่งแสงที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ปรากฏกลางความว่างเปล่า คลื่นสีแดงดุจโลหิตกลุ่มใหญ่สั่นสะเทือนขึ้นด้านหลังคนทั้งสอง

หางขนาดยักษ์สีดำสนิทเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากระลอกคลื่นดังซ่า ปลายหางเปิดออกเป็นชั้นๆ เผยให้เห็นฟันที่น่ากลัวและแหลมคมนับไม่ถ้วนอยู่ด้านใน ไล่งับใส่คนทั้งสอง

ตูม!

ม่านตาของลู่เซิ่งขยับอย่างรวดเร็ว สนามพลังที่ยิ่งใหญ่ยื่นออกมาจากผิวหนัง

สนามพลังปะทะกับหางอย่างรุนแรง อนุภาคพลังงานสีแดงกึ่งโปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดขึ้นกลางอากาศเหมือนกับเป็นละอองเลือด

“ไปเถิด”

ลู่เซิ่งคว้าไหล่ของโอวหลางหลิงไว้แล้วสะกิดปลายเท้ากระโจนร่างไปยังที่ไกลเหมือนกับจรวด จากนั้นก็มุดเข้าไปในเรือเหาะขนาดเล็กลำหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป

เรือเหาะพลันพร่ามัว พริบตาเดียวก็ถูกค่ายกลส่งข้ามมิติหายไป

กรรซ์!

หางยักษ์ถูกกระแทกกระเด็นถอยหลังไป แต่ไม่ถึงสองอึดใจ ก็พุ่งออกจากระลอกคลื่นอีกครั้ง

ถัดจากนั้นเจ้าของหางก็พุ่งออกมา เป็นสตรีผมดำท่าทางดุร้ายรูปร่างสูงกว่ากว่าร้อยหมี่

สองนัยน์ตาของนางเป็นสีขาวโพลนไร้ซึ่งม่านตา สองขาคือหนามแหลมสองแท่ง ไม่มีเค้าโครงของส่วนเท้าแม้แต่น้อย

นางมองฐานทัพที่ถูกทำลายจนกลายเป็นซาก หลอดเลือดและเส้นเอ็นมากมายปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“กรี๊ด!”

นางพลันเงยหน้ากรีดร้อง คลื่นเสียงหลายกลุ่มกลายเป็นระลอกคลื่นโปร่งแสงกระจายออกไปรอบๆ

ในเรือเหาะ

ลู่เซิ่งยืนอยู่ในห้องควบคุม เอามือไพล่หลังขณะมองดูคลื่นเสียงหลายสายที่กระจายออกมากลางอากาศ

“นั่นคือหนึ่งในผู้ช่วยที่พึ่งพาได้มากที่สุดของมารดาแห่งความเจ็บปวด เจ้าลัทธิแห่งลัทธิเสียงทมิฬฝูไหลลา” โอวหลางหลิงข่มความหวาดผวาในใจ กลืนน้ำลายเอ่ยแนะนำ

“ฝูไหลลาหรือ” ลู่เซิ่งเพิ่งได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก

“ว่ากันว่าผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงท่านนี้มาจากโลกที่ไม่มีแสงสว่าง ที่นั่น นางอาศัยพรสวรรค์คลื่นเสียงที่หาได้ยากของตัวเองสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทิ้ง จากนั้นก็ยกระดับตัวเองมาถึงโลกมารสวรรค์ สุดท้ายหลังจากฝึกฝนเป็นเวลาหลายแสนปี นางก็สำเร็จเป็นมายาพิศวง…” โอวหยางหลิงอธิบายเบาๆ

ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อครู่ก่อนจะจากมา เขาได้ปะทะกับฝูไหลลาคนนั้น รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไรนัก ถ้าสู้กันจริงๆ ใช้เวลานิดเดียวก็กำจัดทิ้งได้ เพียงแต่ที่นี่อยู่ใกล้กับถิ่นของมารดาแห่งความเจ็บปวดเกินไป เกิดถูกถ่วงเวลาไว้ก็อาจจะโดนรุมโจมตีได้

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจถอนตัวอย่างแน่วแน่

เขามาสร้างผลงานและบารมี ไม่ได้มาต่อสู้กับมายาพิศวงของอีกฝ่ายเพราะอยู่ว่าง

“จอมมรรคา ตอนนี้พวกเราจะไปไหนหรือขอรับ” โอวหยางหลีรู้สึกว่านี่เป็นการเดินทางที่เร้าใจ ชวนเลือดลม พุ่งพล่านอย่างถึงที่สุดในชีวิต การคอยสังเกตผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงลงมืออยู่ใกล้ๆ แค่นี้ ขอแค่พลาดพลั้งไปนิดเดียว เขาก็อาจจะต้องหยุดอยู่ที่นี่ตลอดกาล กลายเป็นทาสจิตที่ถูกมารดาแห่งความเจ็บปวดควบคุม

“ตอนนี้มายาพิศวงฝั่งพวกมันไล่ตามมาแล้ว สลัดให้หลุดก่อนค่อยว่ากัน” ลู่เซิ่งดีดนิ้ว สายฟ้าสีเหลืองอ่อนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากปลายนิ้ว

“ภาพทมิฬสารทิศสวรรค์!” ทันใดนั้นก็มีตาข่ายขนาดยักษ์สีแดงเข้มปรากฏจากความมืดด้านหน้าเรือเหาะ

มีผู้ใช้วิชาชั่วร้ายมากกว่าร้อยคนลอยอยู่รอบๆ ตาข่ายสีดำ ใยแมงมุมสีทองเข้มที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่าพันหมี่ฝังอยู่ตรงกลางตาข่าย

ผู้ใช้คันฉ่องวิญญาณจำนวนมากคำรามพร้อมกันขณะเติมปราณแหล่งกำเนิดความเจ็บปวดให้แก่ตาข่ายยักษ์ ขับเคลื่อนมันให้คลุมลงมาหาเรือเหาะอย่างมืดฟ้ามัวดิน

แต่พริบตาเดียวสายฟ้าสีเหลืองนับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกมาจากผิวของเรือเหาะ สายฟ้าส่งเสียงเปรี๊ยะๆ พร้อมกับพุ่งไปโดนผิวของตาข่ายยักษ์ ก่อนจะไหลตามตาข่ายไปยังร่างของผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องทั้งหมด

เปรี๊ยะๆๆ…!

เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องทั้งหมดก็กลายเป็นฝุ่นผง

แมงมุมสีทองเข้มตัวเขื่องตรงกลางตาข่ายพลันแห้งเหี่ยวเป็นตอตะโกอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นเถ้าถ่านปลิวโปรยปราย ถูกเรือเหาะพุ่งชนกลายเป็นเถ้าถ่านมากมาย

ลู่เซิ่งชักมือกลับมาด้วยสีหน้านิ่งเฉย

หลังจากสำเร็จเป็นมายาพิศวง เขาก็มีทักษะการควบคุมต่อพลังงานทั่วไปที่อยู่ต่ำกว่าระดับปฐมชนิดนี้ ที่เกือบจะใกล้เคียงกับสัญชาตญาณแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อครั้งจุติเป็นมังกรสีรุ้ง เขาได้ฝึกฝนอย่างหนักและไต่ระดับไปตามอาชีพจอมเวทจนถึงระดับตำนานและระดับศักดิ์สิทธิ์ การควบคุมพลังงานทุกชนิดจึงเหนือกว่าผู้บำเพ็ญทั่วไป

หลังจากฝึกมนตราคาถามหาเทพเก้าสิบเก้าชนิดสำเร็จ การควบคุมพลังงานธาตุชนิดนี้ก็กลายเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานไปแล้ว

ง่ายดายราวกับหายใจ

แม้ตอนกลับถึงโลกมารสวรรค์จะไม่มีอนุภาคพลังงานของธาตุในความว่างเปล่าอีกแล้ว แต่หลักการพื้นฐานก็เป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกัน

หลังจากฆ่าแมงมุมที่ขวางทางตัวนั้นไป ก็ไม่มีศัตรูคนใดกล้ามาขัดขวางอีก ทางมารดาแห่งความเจ็บปวดคล้ายกับรู้แล้วว่า ส่งคนอื่นมากี่คนๆ ก็เปล่าประโยชน์ นอกเสียจากจะส่งผู้เข้มแข็งระดับมายาพิศวงออกมา

ถ้าเป็นมายาพิศวงทั่วไป อาจจะยังใช้ประโยชน์จากค่ายกลและระดับลวงตาสักสองคนมาปะทะซึ่งหน้าได้

ทว่าลู่เซิ่งไม่ใช่มายาพิศวงธรรมดา หากเป็นมารสวรรค์มายาพิศวง

มีแต่มารสวรรค์มายาพิศวงเท่านั้นถึงจะรับมือมารสวรรค์มายาพิศวงด้วยกันได้

อย่างเช่นมารดาแห่งความเจ็บปวดก็เป็นมารสวรรค์มายาพิศวงเช่นกัน นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้นางยังคงรักษาขุมกำลังที่ใหญ่โตมาได้หลายปี

มายาพิศวงไม่ใช่ว่าจะไร้คู่ต่อกร ทว่ามารสวรรค์มายาพิศวงกลับอาศัยร่างที่เกือบเป็นอมตะอยู่ในสถานะที่ไม่พ่ายแพ้ได้ตลอดกาล

เรือเหาะกลับถึงเขตคุ้มกันของสำนักนทีครามอย่างปลอดภัยและเงียบเชียบ จากนั้นก็ใช้ค่ายกลส่งตัวข้ามมิติไปยังดาวภูผาเขียว

ไม่นานนัก ข่าวที่จักรพรรดิมารชุ่นอิ่งลู่เซิ่งเดินทางข้ามเขตดาวผืนใหญ่ไปตลบหลังฐานทัพของมารดาแห่งความเจ็บปวด ก็ถูกป่าวประกาศไปทั่วเขตดาวในเวลาอันสั้น

ว่ากันว่าตอนนั้นทางฝั่งมารดาแห่งความเจ็บปวดมีผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงลงมือขัดขวางเช่นกัน แต่กลับคว้าน้ำเหลวกลับไป

ชื่อเสียงบารมีของลู่เซิ่งขจรขจายไปทั่วทุกหนแห่งในเวลาสั้นๆ อยู่ชั่วขณะ

ลู่เซิ่งฉวยโอกาสนี้ส่งคนไปเชิญตระกูลของถูจินมายังดาวภูผาเขียว แต่ก็ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธ

ถูจินเพียงอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบในนครตราชั่งเท่านั้น ทั้งยังสั่งห้ามไม่ให้ลูกสาวและศิษย์ของตัวเองติดต่อกับลู่เซิ่งอย่างเด็ดขาด

ลู่เซิ่งเองก็คาดเดาความคิดของเขาได้เช่นกัน

เขาผงาดขึ้นเร็วเกินไป ตำแหน่งที่ยืนอยู่เองก็อยู่สูงเกินไปเช่นกัน พวกเต๋ออวิ๋นอยู่ในตำแหน่งต่ำต้อย ขืนมาข้องเกี่ยวกับเขา เกิดว่าทางเขามีการเปลี่ยนแปลงอะไรนิดหน่อย พวกเต๋ออวิ๋นไม่มีพลังพอจะรับไว้ได้ รังแต่จะเจอปัญหา

เช่นนี้ไม่สู้ใช้ชีวิตของใครของมันเหมือนตอนเริ่มแรกดีกว่า

ด้วยความจนปัญญา ลู่เซิ่งได้แต่ใช้เส้นสายของสำนักนทีครามส่งคนไปคอยดูแลพวกถูจินอย่างลับๆ เรื่องนี้จึงนับว่าจบลง บางทีได้แต่รอเขาลงหลักปักฐานเรียบร้อยแล้ว ค่อยไปหาผู้เป็นอาจารย์ใหม่อีกครั้ง

ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลังจากสร้างบารมีขึ้นแล้ว ลู่ซิ่งก็ได้ชูธงขึ้นในสำนักนทีคราม นับเป็นผู้นำคนที่สี่นอกจากมายาพิศวงอีกสามคน

และหลังจากทำลายฐานทัพของมารดาแห่งความเจ็บปวด กองทัพของโลกแห่งความเจ็บปวดก็ได้แต่ถอยร่น สำนักนทีครามขยับแนวป้องกันส่วนหนึ่งไปด้านหน้า ทั้งสองฝ่ายฟื้นคืนสันติภาพจอมปลอมเช่นก่อนหน้ากลับมา

กระนั้นคนมีหัวคิดสักหน่อยก็ต่างมองออกว่า มารดาแห่งความเจ็บปวดกำลังรอคอยโอกาสตลบหลังเพื่อเอาคืนการลอบโจมตีของลู่เซิ่งอยู่

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด