กระบี่จงมา 925.5 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (ห้า)

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 925.5 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (ห้า) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลานี้​เฉิน​ผิง​อัน​พก​ดาบ​คู่​ไว้​ตรง​เอว​ ฝ่ามือ​ดัน​ด้าม​ดาบ​ กระบี่​ยาว​เย่​โหย​ว​ลอย​อยู่​ข้าง​กาย​ ก้มหน้า​ลง​มอง​บุคคล​เก่าแก่​ที่​เรือน​กาย​ก็​คือ​หอ​สยบ​ปีศาจ​ผู้​นั้น​

จำได้​ว่า​ก่อนหน้านี้​อยู่​ใน​ใต้​หล้า​เปลี่ยว​ร้าง​ เคย​อาศัย​ยันต์​สามภูเขา​เดิน​ทางผ่าน​มหา​บรรพต​ชิงซาน​ ดูเหมือนว่า​รูปลักษณ์​ของ​ซาน​จวิน​ผู้​นั้น​จะเหมือนกับ​คน​ตรงหน้า​นี้​อยู่​เจ็ด​แปด​ส่วน​

ซาน​จวิน​มหา​บรรพต​ที่​มีฉายา​ว่า​ปี้​อู๋​ มีดวง​ตาดำ​สองชั้น​สาด​ประกาย​แปด​สี สวม​ผ้าคลุม​ ชุด​สีแดงก่ำ​ เท้า​สวม​รอง​เท้าสาน​ แผ่​กลิ่นอาย​โบราณ​เก่าแก่​

เพียงแต่​ไม่รู้​ว่า​ซาน​จวิน​ปี้​ถงผู้​นั้น​มีความเกี่ยวข้อง​อะไร​กับ​ต้น​อู๋ถง​ต้น​นี้​

ตาม​บันทึก​ใน​ช่วง​แรกเริ่ม​สุด​ของ​ศาล​บุ๋น​ มีการ​เปรียบเทียบ​ที่​ค่อนข้าง​เรียบง่าย​ ช่วงต้น​ของ​ปฏิทิน​เหลือง​เก่าแก่​ทั้งหลาย​ได้​มีการ​แบ่ง​บุคคล​บางส่วน​ที่อยู่​ระหว่าง​ฟ้าดิน​อย่าง​ไว้​หยาบ​ๆ โดย​แบ่ง​ออก​เป็น​สอง​ชนิด​ได้แก่​ ‘เทพเจ้า​’ และ​ ‘ตัว​ประหลาด​’

เสี่ยว​โม่บิด​หมุน​ไม้เท้า​เดินป่า​สีเขียว​ใน​มือเบา​ๆ ยิ้ม​บาง​ๆ เอ่ย​ว่า​ “สหาย​มีมรรค​กถา​สูงถึงเพียงนี้​ ทำเอา​ข้า​ที่​ได้​เห็น​ต้อง​แหงน​มอง​จน​ปวด​คอ​เลย​ทีเดียว​”

การ​เดินทาง​หา​ประสบการณ์​ครั้งนี้​ก็​เป็น​เพราะ​ติดตาม​อยู่​ข้าง​กาย​คุณชาย​ เสี่ยว​โม่ถึงได้​พูด​ง่าย​เช่นนี้​ หาก​เป็น​เมื่อ​หมื่น​ปีก่อน​ ป่านนี้​คง​ลอง​สืบเสาะ​ให้​รู้​ดำ​รู้​แดง​กัน​ไป​แล้ว​

ใน​ยุค​บรรพกาล​ฟ้าสูงแผ่นดิน​กว้างใหญ่​ อาณาเขต​กว้างไกล​ถึงเพียงใด​ ใต้​หล้า​ห้า​แห่ง​ของ​ทุกวันนี้​รวมกัน​แล้ว​ อาณาเขต​ก็​ยังอยู่​ไกล​เกิน​กว่า​จะเทียบ​ขนาด​ของ​ใน​อดีต​ได้​ติด​ จำนวน​ของ​เผ่า​มนุษย์​ ใน​ช่วง​แรกเริ่ม​ไม่มีค่า​พอให้​พูดถึง​ด้วยซ้ำ​ คำ​ว่าการ​สืบ​พันธ์​แตก​กิ่งก้านสาขา​ก็​เป็น​แค่​การมีชีวิตอยู่รอด​ไป​วัน​ๆ อย่าง​ถูไถเท่านั้น​ รอ​กระทั่ง​เวท​คาถา​ประหนึ่ง​สายฝน​พร่าง​พรม​ลง​มายัง​โลก​มนุษย์​ ผู้ฝึก​ตน​ประเภท​ต่างๆ​ ประหนึ่ง​หญ้า​ป่า​ที่​ขยาย​แผ่​ลาม​ออก​ไป​ และ​ใน​ฐานะ​ผู้นำ​ของ​หมื่น​สรรพสิ่ง​ที่เกิด​มาก็​เหมาะ​แก่​การ​ฝึก​ตน​ที่สุด​ เผ่า​มนุษย์​ก็​ราวกับ​เป็น​ ‘นักพรต​แต่กำเนิด​’ อย่างไร​อย่างนั้น​ เป็นเหตุให้​เผ่า​พันธ์​ทั้งหลาย​ที่​หาก​คิด​อยาก​จะเป็น​เซียน​ดิน​ อาศัย​หอ​บิน​ทะยาน​สอง​แห่ง​ หมาย​จะเป็น​อมตะ​ไม่เสื่อมสลาย​ ล้วน​จำเป็นต้อง​หลอม​ร่าง​เป็น​มนุษย์​ให้​ได้เสีย​ก่อน​ถึงจะเดิน​ไป​บน​เส้นทาง​ของ​การ​ฝึก​ตน​ได้​สูงและ​ไกล​ยิ่งกว่า​เดิม​

แต่​เสี่ยว​โม่ที่​มีชาติกำเนิด​มาจาก​เผ่า​ปีศาจ​ สุดท้าย​ก็​ยัง​เป็นหนึ่ง​ใน​ ‘นักพรต​’ จำนวน​น้อย​นิด​ที่​สามารถ​ยืน​อยู่​บน​จุด​ที่สูง​ที่สุด​บน​พื้นดิน​ของ​โลก​มนุษย์​ได้​

มัน​หัวเราะ​ หด​ย่อ​เรือน​กาย​ให้​เล็ก​ลง​จน​ขนาด​ร่าง​เท่ากับ​แขก​ผู้​ไม่ได้​รับเชิญ​ทั้งสอง​ ดวงตา​ทั้งคู่​ก็​กลับคืน​มาเป็นปกติ​ สวม​ชุด​คลุม​อาคม​สีเขียว​มรกต​ มีเพียง​ชาย​แขน​เสื้อ​สอง​ข้าง​ที่​ยาว​มาก​ มัน​ก้าวเดิน​ออกมา​หนึ่ง​ก้าว​ ชาย​แขน​เสื้อ​สอง​ด้าน​ก็​ยาว​ลา​กระ​พื้น​ ตรง​ดิ่งไป​ยัง​ริม​ชอบ​อาณาเขต​ที่​ใบไม้​สีทอง​หล่น​ร่วง​ลง​แล้วก็​ไม่ขยับ​เดินหน้า​ไป​อีก​แม้แต่​ครึ่ง​ก้าว​ ชาย​แขน​เสื้อ​ทั้งสอง​ทิ้งตัว​ดิ่ง​เป็น​เส้นตรง​ เอ่ย​แนะนำ​ตัวเอง​ว่า​ “ฉายา​ชิงถง”

มัน​เห็น​เพียง​ว่า​ผู้ฝึก​กระบี่​ขอบเขต​บิน​ทะยาน​ขั้นสูงสุด​ที่​สวม​หมวก​เหลือง​รองเท้า​เขียว​ผู้​นั้น​หรี่ตา​เอ่ย​ “เสี่ยว​โม่ ฉายา​สี่จู๋”

ชิงถงมอง​ชุด​คลุม​อาคม​สีแดงสด​แวบ​หนึ่ง​ นอกจาก​กระบี่​ยาว​ที่​ลอย​อยู่​กลางอากาศ​แล้ว​ยังมี​ยันต์​แผ่น​นั้น​ เนื่องจาก​ใน​ฟ้าดิน​มายา​แห่ง​สุดท้าย​ เฉิน​ผิง​อัน​หยุด​อยู่​นาน​ที่สุด​ ยันต์​จึงถูก​ผลาญ​ไป​สิบเอ็ด​แผ่น​แล้ว​

ชิงถงเอ่ย​อย่าง​สะท้อนใจ​ว่า​ “หลาย​ปี​มาแล้ว​ที่​ไม่ได้​เห็น​ ‘ยันต์​ฉับพลัน​’ ประเภท​นี้​”

เฉิน​ผิง​อัน​กล่าว​ “ยันต์​ฉับพลัน​? ชื่อ​ดี​”

ตาม​บันทึก​ใน​ ‘มหัศจรรย์​ที่​แท้จริง​ตำ​ราสี​ชาด​’ มีชื่อ​เรียก​ว่า​ยันต์​ม้าขาว​ควบ​ผ่าน​ช่องแคบ​ อีก​ชื่อ​คือ​ยันต์​จันทรา​

ยาม​ที่​ยันต์​ทุก​แผ่น​เผาไหม้​จน​หมดสิ้น​ก็​จะมีม้าขาว​ตัว​หนึ่ง​กระโดด​พุ่ง​ผ่าน​ไป​

ชิงถงพยักหน้า​ “ยันต์​นี้​เป็น​เจ้าลัทธิ​ลู่​ที่​เป็น​ผู้คิดค้น​ มีต้นกำเนิด​มาจาก​ยันต์​ใหญ่​ ‘สะพาน​หมื่น​ปี​’ ของ​มรรคา​จารย์​เต๋า​ ปี​นั้น​ถูก​เจ้าลัทธิ​ลู่​ตั้งชื่อ​ให้​ว่า​ ‘ยันต์​ฉับพลัน​’”

ปี​นั้น​ลู่​เฉิน​ยัง​ไม่ได้​เดินทางไกล​ไป​เยือน​ใต้​หล้า​มืด​สลัว​ ยิ่ง​ยัง​ไม่ได้​เป็น​เจ้าลัทธิ​สามแห่ง​ป๋า​ยอ​วี้​จิงอะไร​ เขา​ล่องเรือ​ออก​ทะเล​นาน​หลาย​ปี​ เคย​ขึ้นฝั่ง​ที่​ใบ​ถงทวีป​เพื่อ​ไป​เยี่ยมชม​หอ​สยบ​ปีศาจ​โดยเฉพาะ​ เป็นการ​ ‘เที่ยวเล่น​ขุนเขา​สายน้ำ​’ ไม่ต่าง​จาก​เฉิน​ผิง​อัน​ ระหว่าง​ที่​เดินทาง​ ลู่​เฉิน​อยู่​ว่าง​ไม่มีอะไร​ทำ​ก็​วาด​ยันต์​ฉับพลัน​แผ่น​นี้​ขึ้น​มา เพียงแต่ว่า​วัสดุ​ที่​นำมา​ทำเป็น​แผ่น​ยันต์​หา​ได้​ยาก​มาก​ ตอนนั้น​ลู่​เฉิน​วัก​น้ำ​มาวาด​ยันต์​ น้ำ​ที่​วัก​มาก​็คือ​น้ำ​ใน​แม่น้ำ​แห่ง​กาลเวลา​ ธรณีประตู​ของ​ยันต์​ฉับพลัน​นี้​สูงแค่​ไหน​ แค่​คิด​ก็​พอ​จะรู้​ได้​

ยันต์​ที่​หยุด​ลอย​อยู่​ข้าง​กาย​เฉิน​ผิง​อัน​แผ่น​นี้​ เห็นได้ชัด​ว่า​ถูก​ยอด​ฝีมือ​ดัดแปลง​ให้​ง่าย​ลง​ การ​ที่​ชิงถงมั่นใจ​ว่า​ไม่ใช่ฝีมือ​ของ​ลู่​เฉิน​ก็​เพราะ​ชิงถงมองเห็น​ปณิธาน​ของ​มรรค​กถา​อีก​อย่างหนึ่ง​บน​ยันต์​

ใน​ยุค​บรรพกาล​ นก​ชิงเหนี่ยว​โผ​ผิน​ มีคำ​เรียกขาน​ที่​ไพเราะ​ว่า​ ‘หลัง​แบก​ฟ้าคราม​’ ไปมา​อยู่​ระหว่าง​ฟ้าและ​ดิน​ คอย​ส่งหนังสือ​คำสั่ง​จาก​สรวงสวรรค์​ ทว่า​ม้าขาว​ควบ​ผ่าน​ช่องแคบ​กลับ​เพียงแค่​ท่อง​อยู่​ใน​แม่น้ำ​แห่ง​กาลเวลา​เท่านั้น​

ชิงถงยิ้ม​ถาม “เจ้าเจอ​หา​ตัว​ข้า​เจอ​ได้​อย่างไร​?”

ก่อนหน้านี้​ตอนที่​เฉิน​ผิง​อัน​กับ​เสี่ยว​โม่เพิ่งจะ​เข้ามา​ใน​หอ​สยบ​ปีศาจ​ เสี่ยว​โม่เงยหน้า​มอง​ฟ้า ทว่า​เซียน​กระบี่​ชุด​เขียว​ที่​เดิน​อยู่​ด้านหลัง​เสี่ยว​โม่กลับ​ก้มหน้า​มอง​พื้น​ ถึงขั้น​ที่ว่า​ยัง​เหยียบ​พื้น​ด้วย​

อันที่จริง​สายตา​ของ​คน​ทั้งสอง​ต่าง​ก็​ไม่ได้​ผิด​

คน​หนึ่ง​เงยหน้า​มอง​ที่ตั้ง​ร่าง​จริง​ของ​ต้น​อู๋ถง​ อีก​คน​หนึ่ง​กลับ​ก้มหน้า​ลง​มอง​ไป​ ราวกับว่า​ใช้การ​ ‘สบตา​’ พูดคุย​กับ​นักพรต​ที่​มีอายุขัย​ยาวนาน​ตรงหน้า​ผู้​นี้​

น้ำเสียง​ของ​เฉิน​ผิง​อัน​แหบ​พร่า​ แฝงไว้​ด้วย​แวว​เยาะ​หยัน​อยู่​หลาย​ส่วน​ “ใน​เมื่อ​เจ้าเดา​ตัวตน​ของ​ข้า​ได้​ ยัง​จะกล้า​ลืมตา​หลุบ​มอง​ลง​ต่ำ​อีก​หรือ​?”

ชิงถงเริ่ม​ขยับ​เท้า​ แต่กลับ​เบี่ยง​ตัว​เดิน​อยู่​บน​เส้น​อาณาเขต​ที่​เชื่อมต่อ​ระหว่าง​ใบไม้​ร่วง​สีทอง​กับ​ดินแดน​ไท่ซ​วี​อยู่​ตลอด​ ถามอย่าง​ใคร่รู้​ว่า​ “เจ้ารู้เรื่อง​นี้​ได้​อย่างไร​?”

“รู้เรื่อง​นี้​ได้​อย่างไร​?”

เฉิน​ผิง​อัน​หัวเราะ​หยัน​ “นี่​ไม่ใช่คำถาม​ที่​ข้า​ควร​ถามเจ้าหรอก​หรือ​?”

ผู้ฝึก​ตน​ที่​ ‘มั่นใจ​ใน​เรื่อง​นี้​’ นอกจาก​บรรพ​จารย์​สามลัทธิ​ที่​จับมือ​กัน​ไป​เยือน​เมือง​เล็ก​บ้านเกิด​แล้ว​ เกรง​ว่า​คง​มีแค่​ลู่​เฉิน​และ​โจว​จื่อ​เท่านั้น​

โจว​จื่อ​ต้อง​ไม่อยาก​ให้​เกิด​ปัญหา​แทรกซ้อน​ ส่วน​ลู่​เฉิน​หลังจากที่​ออก​มาจาก​กำแพงเมือง​ปราณ​กระบี่​ก็​ไม่เคย​มาเยือน​ใบ​ถงทวีป​ มีแต่​จะไป​ที่​แจกัน​สมบัติ​ทวีป​และ​อุตรกุรุทวีป​

เสี่ยว​โม่ฟังด้วย​ความ​มึนงง​สงสัย​ ตัวตน​? คุณชาย​ยังมี​ตัวตน​อะไร​อีก​ที่​ทำให้​ชิงถงหวาดเกรง​ถึงเพียงนี้​? ก่อนหน้า​นั้น​ฟังจาก​น้ำเสียง​ของ​เจ้าชิงถงผู้​นี้​ เขา​พูดจา​วางโต​ยิ่งกว่า​แผ่น​ฟ้าเสีย​อีก​ เห็นได้ชัด​ว่า​ไม่เห็น​ตัวตน​อิ่น​กวาน​แห่ง​กำแพงเมือง​ปราณ​กระบี่​อยู่​ใน​สายตา​ หรือว่า​จะเกี่ยวข้อง​กับ​ท่าน​ผู้​นั้น​? แต่​ก็​ไม่ถูกสิ​ หาก​เกี่ยวข้อง​กับ​ท่าน​ผู้​นั้น​จริงๆ​ ชิงถงยัง​จะกล้า​ขัดขวาง​ซ้ำแล้วซ้ำเล่า​ แสร้ง​ทำเป็น​ลึกลับซับซ้อน​เช่นนี้​หรือ​? ป่านนี้​ก็​ไม่ควรจะ​คุกเข่า​โขก​หัว​ให้​จบเรื่อง​กัน​ไป​แล้ว​หรือ​ไร​?

หนึ่ง​ใน​ห้า​เทพ​สูงสุด​อย่าง​ผู้​ครอง​กระบี่​

ต้น​อู๋ถง​ต้น​หนึ่ง​จะนับ​เป็น​อะไร​ได้​?

เอา​มาผ่า​ทำเป็น​ฟืน​ไว้​ใช้ทำกับข้าว​หรือ​?

ถ้าอย่างนั้น​ก็​ต้อง​ดู​ว่า​จะคู่ควร​หรือไม่​

เฉิน​ผิง​อัน​ยิ้ม​กล่าว​ “ชิงถงเดา​ว่า​ข้า​คือ​ผู้​ครอง​สรวงสวรรค์​บรรพกาล​ หรือ​ก็​คือ​ ‘หนึ่ง​’ นั้น​ที่​ขนาด​บรรพ​จารย์​สามลัทธิ​ก็​ยัง​กริ่งเกรง​อย่าง​มาก​ เป็นเหตุให้​มรรคา​จารย์​เต๋า​ยัง​ตั้งใจ​ไป​เยือน​เมือง​เล็ก​เพื่อ​พูดคุย​กับ​ข้า​โดยเฉพาะ​”

เรื่อง​นี้​ เป็นครั้งแรก​ที่​เขา​บอก​กับ​เสี่ยว​โม่

เสี่ยว​โม่ได้ยิน​แล้วก็​เงียบ​ไป​พัก​หนึ่ง​ “นั่น​ก็​ปกติ​ ไม่ถูกสิ​ ต้อง​บอ​กว่า​เป็น​แบบนี้​ถึงจะถูก​”

เฉิน​ผิง​อัน​เอง​ก็​คิดไม่ถึง​ว่า​เสี่ยว​โม่จะตอบ​กลับมา​เช่นนี้​

เสี่ยว​โม่อยู่​ใน​ภูเขา​ลั่วพั่ว​ได้​อย่าง​เจริญรุ่งเรือง​ ก็​ใช่ว่า​จะไม่มีเหตุผล​

เพียงแค่​ประโยค​นี้​ก็​สามารถ​ติด​สามอันดับ​แรก​ได้​อย่าง​มั่นคง​แล้ว​ มาก​พอ​จะขึ้น​เวที​ประลอง​กับ​ประโยค​ ‘ขอบเขต​ของ​อาจารย์​พ่อ​ไม่ใช่ว่า​ต้อง​คิด​คำนวณ​โดย​เพิ่ม​ไป​อีก​เท่าตัว​หรอก​หรือ​’ ของ​เผย​เฉียน​ผู้​เป็น​ลูกศิษย์​ใหญ่​ได้​เลย​ทีเดียว​

เจ้าขุนเขา​หนุ่ม​ท่าน​นี้​ใส่ร้าย​ผู้​ถวายงาน​เสี่ยว​โม่เสียแล้ว​

หลังจากที่​เสี่ยว​โม่ ‘ปิดผนึก​’ ความทรงจำ​และ​ความรู้สึก​ส่วนหนึ่ง​ของ​ตัวเอง​เอาไว้​ ตลอดทาง​ที่​ติดตาม​เฉิน​ผิง​อัน​มา ยกตัวอย่างเช่น​ตอน​อยู่​ใน​เมืองหลวง​ต้า​หลี​ เสี่ยว​โม่ก็​มีความรู้สึก​ทำนอง​นี้​นาน​แล้ว​

ตอนนั้น​ก็​รู้สึก​แล้ว​ว่า​คุณชาย​ที่อยู่​ข้าง​กาย​เหมือนกับ​ ‘คน’​ ผู้​นั้น​ที่​เขา​เคย​เห็น​กับ​ตา​มาก่อน​อย่าง​มาก​

แล้ว​ก็เพราะว่า​เหมือน​มาก​ ก่อนหน้านี้​เสี่ยว​โม่ถึงได้​รู้สึก​ว่า​ไม่มีทาง​เป็นไปได้​ เหมือน​จะใช่แต่​ไม่ใช่ คน​ เรื่องราว​และ​วัตถุ​ทั้งหลาย​ที่​มีความคล้ายคลึง​กัน​ แน่นอน​ว่า​ล้วน​ไม่ใช่ของจริง​ทั้งหมด​

แต่​หาก​คุณชาย​ที่อยู่​ข้าง​กาย​คือ​ ‘คน​ผู้​นั้น​’ จริงๆ​ เสี่ยว​โม่ก็​ไม่คิด​อะไร​มาก​ ถึงขั้น​ที่ว่า​ยัง​คาดหวัง​รอคอย​อย่างยิ่ง​ด้วย​

เมื่อ​หมื่น​ปีก่อน​ ศึก​เดิน​ขึ้น​สวรรค์​ครั้งนั้น​ เนื่องจาก​ความสัมพันธ์​ใน​เรื่อง​ระบบ​การสืบทอด​สาย​เวท​กระบี่​ของ​เสี่ยว​โม่ บวก​กับ​ผู้​มีพระคุณ​บางคน​ ทำให้​เขา​ไม่ได้​ส่งกระบี่​ออก​ไป​ สุดท้าย​จึงเลือก​ติดตาม​เจ้าแห่ง​ถ้ำปี้​เซียว​

สหาย​ผู้​นั้น​ก็​พอๆ กับ​เสี่ยว​โม่ที่​นิ่งดูดาย​อยู่​ตั้ง​แต่ต้นจนจบ​ หาก​จะบอ​กว่า​หมื่น​ปี​ให้หลัง​เป็นการ​เดิน​ขึ้น​สวรรค์​อีกครั้ง​ เสี่ยว​โม่ก็​ยินดี​ติดตาม​คน​ข้าง​กาย​เดิน​ขึ้น​สู่ที่สูง​ไป​ด้วยกัน​

หลังจาก​มีความคิด​นี้​ สีหน้า​ของ​เสี่ยว​โม่พลัน​สดใส​มีชีวิตชีวา​ ไม่สู้เอา​ต้น​อู๋ถง​ที่​เมื่อ​หมื่น​ปีก่อน​เป็น​เพียง​ต้นไม้​ธรรมดา​สามัญมาฝึกปรือ​ฝีมือดี​ไหม​?

แต่​เสี่ยว​โม่ไม่ได้​เห็น​ ‘ชิงถง’ ผู้​นี้​อยู่​ใน​สายตา​แม้แต่น้อย​ ดังนั้น​ความคิด​ที่​มาก​ยิ่งกว่านั้น​จึงยังอยู่​ที่​การ​ฝ่าทะลุ​ขอบเขต​ จำเป็นต้อง​รีบ​ฝ่าทะลุ​ขอบเขต​โดยเร็ว​ ไม่เลื่อน​เป็น​ขอบเขต​สิบ​สี่ ตบะ​แค่นี้​ก็​ไม่มาก​พอ​เลย​จริงๆ​

ตอนนั้น​เพียงแค่​หย่า​งจื่อ​กับ​จูเยี่ยน​ก็​ทำให้​ตน​เหมือน​โดน​มัด​มือ​มัด​เท้า​ได้​แล้ว​ ต้อง​กลับ​ไป​มือเปล่า​ แล้ว​นับประสาอะไร​กับ​ที่​หมื่น​ปี​ให้หลัง​ จำนวน​ของ​ผู้ฝึก​ตน​ขอบเขต​สิบ​สี่ในเวลานี้​ หลาย​ใต้​หล้า​รวมกัน​ก็​ยัง​พูด​ได้​แค่​ว่า​มีเพียง​หยิบมือ​ ทว่า​รอ​กระทั่ง​บรรพ​จารย์​สามลัทธิ​สลาย​มรรคา​ก็​จะมีเพิ่มมากขึ้น​ เพราะ​นั่น​จะเป็น​ ‘ฝน​มรรค​กถา​พร่าง​พรม​’ ที่​ใหญ่​ที่สุด​อย่าง​ที่​ไม่เคย​มีปราก​ฎมาก่อน​ใน​ประวัติศาสตร์​และ​ในอนาคต​ก็​จะไม่มีเกิดขึ้น​อีก​

“เคย​ได้ยิน​คำทำนาย​ประโยค​นั้น​ของ​โจว​จื่อ​หรือ​?”

ชิงถงถามเอง​ตอบ​เอง​ “ย่อม​ต้อง​เคย​ได้ยิน​อยู่แล้ว​ อีก​ทั้ง​ยัง​เคย​ครุ่นคิด​อย่าง​ละเอียด​มาก่อน​ ด้วย​นิสัย​ที่​ระมัดระวัง​รอบคอบ​จน​เคยชิน​ของ​เจ้า ต้อง​มีการ​เตรียมตัว​มาก่อน​แน่​”

คำทำนาย​ที่​แพร่​แค่​เฉพาะ​บน​ยอดเขา​ประโยค​นั้น​

หงส์​ร่อน​ถลา​ไป​ตาม​ลม​ เกาะ​กิ่ง​อู๋ถง​สูง ท้อ​หลี​ลม​วสันต์​วัน​ดอกไม้​บาน​ หงส์​ตาย​ใบไม้​ร่วงโรย​ ความเรียบง่าย​เปลี่ยนไป​สู่ความสงบ​บริสุทธิ์​ มองเห็น​คนโบราณ​

เฉิน​ผิง​อัน​เอ่ย​อย่าง​เฉยเมย​ว่า​ “ก็​แค่​ไม่คิด​เป็นจริงเป็นจัง​”

นี่​คือ​ประโยค​ที่​เจิ้งจวี​จงเคย​เอ่ย​มาก่อน​ เอา​มาใช้กับ​สถานที่​นี้​ในเวลานี้​ เหมาะกับ​สถานการณ์​อย่าง​มาก​

ดูเหมือน​ชิงถงจะคิดไม่ถึง​ว่า​จะได้​คำตอบ​เช่นนี้​ จึงเอียง​ศีรษะ​ลง​น้อย​ๆ มอง​ประเมิน​คน​ชุด​เขียว​ที่​มีชื่อเสียง​โด่งดัง​ไป​หลาย​ใต้​หล้า​ผู้​นี้​

ไพศาล​ เปลี่ยว​ร้าง​ มืด​สลัว​ บงกช​ ห้า​สี

ล้วน​รู้​นาม​ของ​คน​ผู้​นี้​

ชิงถงหยุด​เดิน​ หันหน้า​มาถาม “ข้า​ตอบคำถาม​แล้ว​ ถึงคราว​เจ้าแล้ว​”

เฉิน​ผิง​อัน​กล่าว​ “ขี่​ลา​หา​ลา​ คือ​การ​เตือน​ที่​ชัดเจน​จน​ชัดเจน​ไป​มากกว่า​นี้​ไม่ได้​อีกแล้ว​”

แรกเริ่ม​สุด​ชิงถงได้​จัด​ลา​สอง​ตัว​ไว้​ให้​กับ​แขก​ชั่วร้าย​ที่มา​เยือน​ถึงบ้าน​ ให้​พวกเขา​ขี่​ลา​ชมภูเขา​สายน้ำ​

ตอนนั้น​เฉิน​ผิง​อัน​พูด​กับ​เสี่ยว​โม่เหมือน​ไม่ใส่ใจว่า​ ‘ใน​เมื่อ​มาถึงแล้วก็​อยู่​ให้​เป็นสุข​’

มาถึงสถานที่​อะไร​?

ยกตัวอย่าง​เช่นเคย​มีบุคคล​ชั้น​สูงสุด​บางท่าน​ที่​บางครั้ง​ก็​เดิน​เหยียบ​ลง​บันได​ของ​หอ​บิน​ทะยาน​สอง​แห่ง​ มาเยือน​โลก​มนุษย์​

และ​ฟ้าดิน​แห่ง​นี้​ อันที่จริง​ก็​คือ​ ‘ทางลาด​เนิน​’ ที่​ถูก​เก็บ​ซ่อน​อำพราง​ไว้​เป็น​อย่าง​ดี​เส้น​หนึ่ง​

หลังจากนั้น​ก็​มี ‘ใบไม้​บังตา​’ มากมาย​ เมื่อ​เทียบ​กับ​เรื่อง​นี้​แล้วก็​เรียก​ได้​ว่า​เป็นเรื่อง​เด็ก​ๆ เท่านั้น​

ต้น​อู๋ถง​ยินดี​คาดเดา​เช่นนี้​ ตอนนั้น​เฉิน​ผิง​อัน​จึงขี่​ลา​เดินลง​เนิน​ ยินดี​ที่จะ​อาศัย​เนิน​ลาด​ลง​จากลา​ (เปรียบเปรย​ว่า​ใช้ประโยชน์​จาก​เงื่อนไข​ที่​เอื้ออำนวย​)

ด้าน​หนึ่ง​เสี่ยว​โม่ก็​ตกตะลึง​กับ​ความคิด​รอบคอบ​ของ​คุณชาย​ อีก​ด้าน​หนึ่ง​ก็​อด​นินทา​ใน​ใจไม่ได้​ ต้น​อู๋ถง​อย่าง​เจ้า ฝึก​ตน​มานาน​หมื่น​ปี​ ได้​ยันต์​คุ้มกัน​กาย​มาจาก​ศาล​บุ๋น​ ทั้ง​ไม่มีศัตรู​ทางธรรมชาติ​ แล้วก็​ไม่มีเรื่อง​ใดๆ​ ให้​ต้อง​กังวล​ ผล​กลับ​กลายเป็น​ว่า​ฝึก​ตน​ได้มา​แค่​แผนการ​แยบยล​อ้อมค้อม​พวก​นี้​เท่านั้น​หรือ​?

ชิงถงเอ่ย​อย่าง​กระจ่างแจ้ง​ “เฉิน​ชิงตู​เลือก​เจ้ามารับหน้าที่​เป็น​อิ่น​กวาน​คน​สุดท้าย​ ใช่ว่า​จะไม่มีเหตุผล​”

เสี่ยว​โม่เอ่ย​เตือน​ว่า​ “ชิงถง ให้​ความเคารพ​เซียน​กระบี่​ใหญ่​ผู้อาวุโส​หน่อย​”

ชิงถงได้ยิน​แล้วก็​รู้สึก​ประหลาดใจ​เล็กน้อย​ เจ้าที่​เป็น​ผู้ฝึก​กระบี่​เผ่า​ปีศาจ​ซึ่งเคย​ต่อสู้​เอาเป็นเอาตาย​กับ​หยวน​เซียง​ หลง​จวิน​มาก่อน​ เหตุใด​ถึงได้​เริ่ม​เคารพนับถือ​เฉิน​ชิงตู​เช่นนี้​ได้​

“กระตือรือร้น​ต้อน​รับแขก​ถึงเพียงนี้​ มีความหมาย​กว่า​ปี​นั้น​ที่​ผู้เยาว์​จับ​ผลัด​จับ​ผลู​หลง​เข้าไป​ใน​จุด​ลึก​ของ​พื้นที่​มงคล​ดอกบัว​เสีย​อีก​”

เฉิน​ผิง​อัน​ใช้ฝ่ามือ​เคาะ​ด้าม​ดาบ​เบา​ๆ “ผู้อาวุโส​ช่างทุ่มเท​สติปัญญา​วางแผน​ทุก​ก้าวย่าง​จริงๆ​”

พูดถึง​แค่​ฟ้าดิน​มายา​ภาพ​แรก​ จุด​ที่​สายตา​ของ​ฉีไต้​จ้าว​ผู้​นั้น​มอง​ไป​เห็น​ก็​คือ​ฟ้าดิน​ใหม่เอี่ยม​แห่ง​หนึ่ง​

ภาพ​ปราก​ฎการณ์​ใน​ฟ้าดิน​เปลี่ยน​จาก​ภาพ​น้ำหมึก​ที่​สะบัด​ตามใจชอบ​ กลาย​มาเป็น​ภาพวาด​ที่​เน้น​รายละเอียด​เห็น​ทุกอย่าง​ชัดเจน​ ขณะเดียวกัน​ก็​เปลี่ยน​จาก​ภาพวาด​ขุนเขา​สายน้ำ​สีขาว​ดำ​ กลาย​มาเป็น​ภาพวาด​ขุนเขา​เขียว​น้ำ​ใส

ภายหลัง​เจอ​กับ​หญิง​ชรา​ใน​ป่า​ซึ่งมีความหมายแฝง​ว่า​ ‘เหนือ​ฟ้ายังมี​ฟ้า เหนือ​คน​ยังมี​คน​’

นี่​จึงเป็นเหตุให้​หญิง​ชรา​และ​สตรี​ออกเรือน​แล้ว​ที่​เฉิน​ผิง​อัน​ใช้ตำรา​หมากล้อม​หลาก​สีสยบ​เอาไว้​ได้​กล่าว​ประโยค​ว่า​ ‘วิถี​แห่ง​หมากล้อม​ของ​คนรุ่นหลัง​สูงส่งถึงเพียงนี้​แล้ว​หรือ​’

เฉิน​ผิง​อัน​คร้าน​จะอ้อมค้อม​กับ​อีก​ฝ่าย​ จึงพูด​อย่าง​ไป​ตรง​ตรง​มาว่า​ ‘คิดดู​แล้ว​วิถี​แห่ง​หมากล้อม​ก็​คง​เป็น​เหมือน​วิถี​ทางโลก​ มักจะ​เดิน​ขึ้น​สู่ที่สูง​เสมอ​’

แล้ว​นับประสาอะไร​กับ​ที่​ชิงถงยังมี​เจตนา​ใน​ขั้น​ที่​ลึกซึ้ง​ยิ่งกว่า​

เฉิน​ผิง​อัน​คือ​หนึ่ง​นั้น​ คือ​ฉีไต้​จ้าว​ นี่​จึงเป็นเหตุให้​ได้​ครอบครอง​โชควาสนา​เลิศ​ล้ำ​ค้ำฟ้า​ที่​ ‘แค่​มอง​ทีเดียว​ ฟ้าดิน​ก่อกำเนิด​’ ได้​

ขณะเดียวกัน​ หนึ่ง​นั้น​ก็​เป็น​ ‘หนึ่ง​’ อีก​อย่างหนึ่ง​ของ​หญิง​ชรา​และ​สตรี​ออกเรือน​แล้ว​ที่​อาศัย​อยู่​ใน​ป่า​ลึก​ไม่สนใจ​โลก​ภายนอก​ แต่​เฉิน​ผิง​อัน​กลับ​กลายเป็น​คนรุ่นหลัง​ ทั้งสอง​กลับมา​พบ​เจอกัน​อีกครั้ง​ ฝ่าย​แรก​จึงรู้สึก​ไม่คุ้นเคย​กับ​วิถี​ทางโลก​ใน​ทุกวันนี้​

หลังจากที่​เฉิน​ผิง​อัน​แยก​กับ​เสี่ยว​โม่ ไปดู​ตำรา​บน​ถนน​เพียงลำพัง​ หนังสือ​แต่ละ​หน้า​ล้วน​ว่างเปล่า​ ตอนนั้น​เฉิน​ผิง​อัน​จึงเกิด​ความคิด​หนึ่ง​ขึ้น​มาอย่าง​เป็นธรรมชาติ​ รู้สึก​ว่า​วิธีการ​สร้าง​ฟ้าดิน​ของ​ต้น​อู๋ถง​ต้น​นี้​หยาบ​และ​เรียบง่าย​เกินไป​ ขุนเขา​สายน้ำ​แร้นแค้น​ หาก​เปลี่ยน​มาเป็น​ตน​ก็​มีแต่​จะรอบคอบ​รัดกุม​ยิ่งกว่า​นี้​…

และ​เดิมที​นี่​ก็​คือ​การ​หยั่งเชิง​และ​การ​บอกเป็นนัย​ที่​ลี้ลับ​อย่างหนึ่ง​ของ​ชิงถง ข้า​ชิงถงทำ​ไม่ได้​ เจ้าที่​เป็นหนึ่ง​นี้​กลับ​ทำได้​

เพียงแต่​เฉิน​ผิง​อัน​กลับ​มีความรู้สึก​ที่​พูดไม่ออก​บอก​ไม่ถูก​บางอย่าง​ ราวกับว่า​ชิงถงอยู่​ใน​สภาพการณ์​ที่​ขัดแย้ง​กันเอง​มาก​อย่างหนึ่ง​ ทั้ง​แน่​ใจมาตั้งแต่แรก​แล้ว​ว่า​ตน​คือ​หนึ่ง​นั้น​ แต่​ก็​ไม่กล้า​เชื่อ​อีก​ หรือ​ควรจะ​พูดว่า​ไม่ยินดี​จะให้​ตน​กลายเป็น​บุคคล​ผู้​นั้น​จริงๆ​

เฉิน​ผิง​อัน​ที่​หลัง​โก่ง​งุ้มจ้อง​ชิงถงที่อยู่​ห่าง​ไป​ไกล​เขม็ง​ จู่ๆ ก็​เอ่ย​ขึ้น​ว่า​ “ศักยภาพ​ของ​เจ้าใน​ตอนนี้​เป็น​อย่างไร​?”

เสี่ยว​โม่แค่​ฟังก็​รู้​ว่า​จะต้อง​น่าสนใจ​มาก​แน่ๆ​

เพราะ​เสี่ยว​โม่รู้​ว่า​คุณชาย​บ้าน​ตน​ เมื่อ​อยู่​ต่อหน้า​ผู้อาวุโส​บน​ภูเขา​ก็​มีน้อย​ครั้ง​นัก​ที่จะ​เปิดฉาก​เรียก​ว่า​ ‘เจ้า’

ชิงถงยิ้ม​บาง​ๆ เอ่ย​ว่า​ “น่าจะ​เทียบเท่า​ได้​กับ​บิน​ทะยาน​คน​หนึ่ง​ ผู้ฝึก​ยุทธ​เทพ​มาเยือน​ครึ่งตัว​ เขียน​ยันต์​ใหญ่​เป็น​สอง​สามอย่าง​”

เฉิน​ผิง​อัน​พยักหน้า​รับ​

ระหว่าง​คน​ทั้งสอง​พลัน​มีเส้นด้าย​สีแดง​ที่​ยาว​มาก​เส้น​หนึ่ง​ปรากฏ​ขึ้น​มา รวมถึง​ประโยค​ที่​น้ำเสียง​ยังคง​ล่องลอย​อยู่​กลางอากาศ​

“ถ้าอย่างนั้น​ข้า​ก็​ไม่ต้อง​กังวล​ว่า​จะฆ่าผู้อาวุโส​ตาย​แล้ว​”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด